พวกเรามาถึงโรมด้วยความว่างเปล่า ทำรายการจองห้องผ่านเน็ตกับเพื่อนที่อัมสเตอร์ดัมวันก่อนได้แค่ฟลอเรนซ์ ส่วนโรมเหมือน ๆ ว่าหาที่ราคาถูกใจไม่ได้หรือยังไงนี่แหล่ะครับ เลยคิดว่าไม่น่าจะยากถ้ามาหาเอาดาบหน้า อีกอย่างผมจดเบอร์โทรศัพท์ของหลาย ๆ โรงแรมจากหนังสือไกด์ไลน์มาด้วย แล้วก็ได้หนังสือเล่มนี้อีกเช่นกันที่บอกว่า ข้อมูลโรงแรมที่โรมจากในเวปไซด์ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เขายังบอกอีกว่ามีสมาคมโรงแรมเอชอาร์ คอยช่วยติดต่อหาห้องพักให้นักท่องเที่ยวฟรีอยู่ที่สถานีรถไฟแตร์มินี พวกเราจึงพากันมาทั้งอย่างนั้นด้วยความอุ่นใจ
แล้วก็หาไอ้สมาคมที่ว่านั่นไม่เจอครับ ถามใครก็ไม่มีคนรู้จัก เบอร์โทรศัพท์ของโรงแรมทุกเบอร์ที่จดมาด้วย พอโทรไปแล้วก็ได้คำตอบว่าห้องเต็มหมด หนังสือไกด์ไลน์ที่ว่าก็เอาทิ้งไว้ที่บ้านไม่ยอมหอบไปด้วยเพราะกลัวหนัก ร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ ๆ บริเวณนั้นก็ไม่มีซักที่ เห็นมีเคาท์เตอร์ของเอเจนซี่อยู่ 2-3 เจ้า ลองเข้าไปหาก็ได้รับคำตอบว่าห้องเต็มอีกเช่นกัน ช่วงที่เราไปดันตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์เสียด้วยสิครับ
อิตาลีเป็นชาติที่อุดมไปด้วยหนุ่ม-สาวหน้าตาดีก็จริง แต่เสียอยู่อย่างคือไม่ค่อยยิ้มแย้ม แม้แต่ตามเคาท์เตอร์บริการนักท่องเที่ยว หรือตามร้านอาหารอย่างแม็คโดนัลด์ จะเห็นเกือบทุกคนชอบทำหน้าเครียดหรือเบื่อหน่าย ดูไปแล้วเหมือนโดนบังคับให้มาทำงานมากกว่า ตัวผมเองยังเผลอโดนแม่บ้านในแม็คโดนัลด์ ยืนท้าวสะเอวมองหน้าด้วยความไม่พอใจที่เผลอเกือบ(แค่เกือบนะครับ)ไปเหยียบพื้นที่หล่อนพึ่งถูไป เจอแบบนี้เล่นเอาไม่มีอารมณ์จะเข้าไปติดต่อสอบถามอะไรที่ไหนอีก
คิดอะไรไม่ออกไม่รู้จะต่อไปทางไหนเลยลากกระเป๋าหาที่หลบนั่งพักเหนื่อย ส่วนเพื่อนผมยังไม่ละความพยายามลองเดินวน ๆ หาอยู่แถวนั้น และแล้วก็เป็นที่โรมนี่เองที่ผมได้เห็นคนไร้บ้านที่เป็นฝรั่งจริง ๆ เป็นครั้งแรก
สองคนผัวเมียในวัยเกือบบั้นปลาย เดินมาพร้อมกับรถเข็นที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า,เครื่องครัว และของใช้ตามมีตามเกิดเท่าที่จะหาได้ ผู้เฒ่าทั้งสองพากันเข็นรถคู่ชีพเข้ามาหลบสายฝนและลมหนาวในสถานี ดูท่าตาลุงจะไม่ค่อยสบายเห็นยายป้าต้องคอยป้อนข้าวและป้อนยาให้ เสร็จแล้วจึงเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แกเสร็จสรรพ นั่งแอบมองผัวเมียคู่นี้ซักพักเพื่อนก็มาเรียกด้วยความตื่นเต้นว่าหาห้องได้แล้ว
บริเวณโรมันฟอรั่ม
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราเถียงกันมาได้หลายวันแล้ว เพราะเพื่อนผมบอกว่าแลกตรงไหนก็ได้ไม่ต้องกลัวโดนชาร์จ หรือถ้าโดนก็คงไม่มากมายเท่าไหร่ ส่วนผมนั้นด้วยความงกขึ้นหัว เพราะเห็นว่าตอนซื้อก็โดนหักค่าธรรมเนียมไปแล้วรอบนึง พอจะมาขายยังจะต้องโดนชาร์จอีก ไม่อยากเสียเงินทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่เมื่อหาแลกที่ไหนไม่ได้สุดท้ายก็เลยยอมตามนั้น
ต้นสนที่ถือเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของโรม
และก็เป็นเคาท์เตอร์ในเอเจนซี่เดียวกันกับที่จองห้องนั่นเองที่เราเอาเช็คไปขาย พอแลกเสร็จรับเงินมาได้หน้ามืดลมแทบใส่เพราะโดนหักไปตั้ง 88 ยูโร (อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น 50 บาทต่อ 1 ยูโร คิดเป็นเงินไทยก็ 4,400 บาท) แค่เอาเช็คไปขายยังหักโหดขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดเป็นเงินกู้นอกระบบที่นี่จะโหดขนาดไหน เพื่อนทำท่าไม่พอใจจะไปขอแลกเช็คคืน แต่ผมไม่อยากมีเรื่องเลยบอกเขาว่าช่างเถ่อะถือว่าเป็นบทเรียนแล้วกัน อ้อยเข้าปากช้างไปแล้วมีหรือมันจะคายออกมาให้ เช็คกับใบรับเงินก็เซ็นให้เขาไปแล้ว พากันไปสะสางเรื่องห้องให้เสร็จก่อนดีกว่า
ตอนนี้ชักลังเลไม่ไว้ใจเอเจนซี่เจ้านี้เสียแล้วสิครับ ไม่รู้ว่าเขาจะตุกติกอะไรอีก ส่วนอีตาคนที่หาห้องให้ก็ดูกระตือรือร้นเกินเหตุ จะเพราะว่าเขากลัวพวกเราคิดว่าโดนโกงก็มีส่วน แกก็เลยพูดแล้วพูดอีกว่า "ไว้ใจเขาได้ 100% หากมีปัญหาอะไรให้มาหาเขาที่นี่ได้ทุกเมื่อ" เอาหล่ะครับเสี่ยงเป็นเสี่ยง เช็คเมื่อกี้ 600 แลกได้แค่ 512 ยูโร ต้องเอามาจ่ายค่าห้องไปเกือบหมด ถือว่าวัดดวงเลยแล้วกัน ไหน ๆ ก็เล่นเอาเกือบตันแล้ววันนี้
เสาหินจักรพรรดิโทรจัน
อนุเสาวรีย์พระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอล
ห้องน้ำในยุโรปมักจะมีอะไรแปลก ๆ ให้ได้สงสัยเสมอ เรื่องผ้า 3 ผื่นนั่นก็ใช่ แต่ที่นี่เขายังเพิ่มโถอะไรแปลก ๆ มาอีก 1 โถ ใกล้กับชักโครก จะว่าโถฉี่หรือก็หน้าตาเหมือนชักโครกแต่ไม่มีถังพักน้ำ ถ้าว่าเอาไว้ซักล้างเสื้อผ้าหรือก็เล็กเกินไป หรือว่าเอาไว้อาบน้ำเด็กก็ดูไม่น่าจะถนัดนัก แล้วก็ได้เพื่อนผมอีกหล่ะครับที่ช่วยเฉลยให้ว่าเขาเอาไว้ล้างน้อง(อีกแล้ว) คุณ ๆ จำได้มั้ยครับเรื่องผ้าเช็ดน้องจากฟลอเรนซ์ ที่นี่ก็มีเหมือนกันครับแต่ที่เพิ่มเข้ามาอีกอย่างคืออ่างล้างน้อง
ด้วยความที่อยู่เมืองหนาวพวกฝรั่งจึงไม่นิยมอาบน้ำกันโดยเฉพาะในหน้าหนาว เขาจะให้วิธีเช็ดล้างแต่เฉพาะตามซอกหลืบในร่างกายที่หมักหมมเท่านั้น ฝรั่งบางคนเลยติดนิสัยไม่ค่อยชอบอาบน้ำไม่ว่าจะหนาวหรือร้อน และนั่นคือที่มาของกลิ่นประจำเชื้อชาติที่คนไทยต่างรู้กิตติศัพท์กันดีนั่นเอง
ห้องอาบน้ำระบบนวดตัวที่ไม่เคยได้ใช้
ห้องน้ำเมื่อมองผ่านประตูเข้าไปจะเห็นอ่างล้างน้องที่หน้าตาคล้ายชักโครกติดตั้งอยู่ใกล้กัน
บ้านเรือนในโรมนิยมทาสีโทนอบอุ่นสดใส
จากโรงแรมต้องนั่งรถไฟใต้ดินมาที่สถานีแตร์มินี่ก่อน เสร็จแล้วจึงซื้อตั๋วรถได้จากเคาท์เตอร์หน้าสถานี ราคาตั่วตกคนละ 16 ยูโรต่อวัน โดยรถออกทุก 25 นาทีเวียนนำผู้โดยสานไปส่งตามจุดหลัก ๆ ของเมืองจนถึงประมาณ 3-4 ทุ่ม ถ้าจะให้คุ้มค่าที่สุดต้องรีบมาตั้งแต่เช้าครับ
รถไฟใต้ดินในโรมตอนนั้นเที่ยวละ 1 ยูโร ตั๋วมีอายุ 75 นาทีโดยไม่จำกัดระยะทางและการเปลี่ยนสาย ถ้าไปถึงปลายทางแล้วแต่เกิดเปลี่ยนใจ จะนั่งย้อนกลับไปทางอื่นก็ทำได้ครับ ขอเพียงอย่าพึ่งเดินออกไปจากสถานีเท่านั้น ผมยังนึกเล่น ๆ เลยว่าถ้าอย่างนั้นเราก็นั่งไปเพลิน ๆ ไปจนครบเวลาได้ แต่ก็คงไม่มีใครที่ไหนบ้าทำกัน ถ้าเป็นรถรางที่วิ่งอยู่บนดินว่าไปอย่างยังจะพอให้เห็นวิวบ้าง แต่นี่วิ่งไปในอุโมงค์มืด ๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอย่างนี้ อีกอย่างคนแน่นแทบจะไม่มีที่ยืนเลยหล่ะครับ ขึ้นไปได้ซักพักก็อยากลงแล้ว
วันนี้ทั้งวันเราวิ่งขึ้น-ลงรถ เดินเที่ยวกันแบบสบาย ๆ เสียดายที่โรมแดดแรงและร้อนไปหน่อยเลยต้องหลบนั่งชั้นล่าง สถานที่หลัก ๆ ที่พวกเราแวะก็มีน้ำพุเตรวี่ ที่อยู่ ๆ ก็เหมือนโผล่ออกมาจากผนังตึก มีคนบอกให้อธิษฐานแล้วโยนเหรียญข้ามไหล่ลงไปขอให้ได้กลับมาอีก แต่ที่อยากทำจริง ๆ คือลงไปงมเหรียญมากกว่าครับ น้ำในสระใสเสียจนเห็นหมดว่าเหรียญที่กอง ๆ อยู่ตามพื้นนั้นเป็นเหรียญอะไรบ้าง
น้ำพุเตรวี่
ต่อจากนั้นก็ไปแพนธีออน(Pantheon) ซึ่งเป็นวิหารโบราณจากยุคโรมันที่คงสภาพได้สมบูรณ์แบบที่สุด ลักษณะเด่นของอาคารหลังนี้คือหลังคาโดมขนาดใหญ่(กว้าง 43.3 เมตร) พร้อมช่องแสงตรงกลางที่เรียกว่าโอคูลัส(Oculus) มีข้อสันนิษฐานกันว่าจักรพรรดิเฮเดรียนเป็นสถาปนิคผู้ออกแบบ แต่พระองค์กลับยกเครดิตให้เป็นผลงานของอากริปปาชายอันเป็นที่รักแทน โดยให้จารึกไว้บนหน้าจั่วเป็นภาษาลาตินว่า "สร้างโดยอากริปปา" วิหารหลังนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วม 2,000 ปีแล้วครับ น่าทึ่งที่ยังยืนหยัดอยู่ได้โดยที่หลังคาโดมไม่พังทลายลงมา และที่สำคัญซึ่งพวกเราประทับใจกันมากก็คือวิหารแห่งนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีครับ
โอคูลัสที่ทำหน้าที่เป็นทั้งช่องแสงและรับ-กระจายน้ำหนักของหลังคาโดมของแพนธีออน
จากนั้นก็ไปต่อกันที่โคลอสเซียม(Colosseum) สนามกีฬาโบราณรูปวงรีที่ถือเป็นงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมโรมันอีกแห่งหนึ่ง พวกผมได้แต่เดินเที่ยวอยู่รอบ ๆ ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปดูข้างในหรอกครับ อาศัยว่าเคยเห็นบ่อย ๆ จากรายการโทรทัศน์ พอไปเห็นของจริงแล้วเลยไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ อีกทั้งที่เห็นในทีวีดูใหญ่โตกว่านี้มาก พอเห็นของจริงเหมือนจะเล็กกว่าเลยออกจะผิดหวังนิด ๆ
โคลอสเซียม
ประตูชัยจักรพรรดิคอนสแตนตินต้นแบบของประตูชัยอีกหลาย ๆ แห่งในยุโรป
ซากโบราณสถานบนเนินเขาพาลาติเน หนึ่งในเจ็ดเนินเขาที่เป็นที่ตั้งของกรุงโรม
วันนี้นั่งรถจนคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม พอแดดร่มลมตกก็พากันขึ้นไปนั่งบนชั้นสองวนดูเมืองยามค่ำที่ดูขลึมขลังมลังเมลือง จนเกือบหมดเวลาเดินรถเที่ยวสุดท้ายนั่นหล่ะครับ ถึงจะยอมกลับห้องไปนอนพักผ่อนกัน
บรรยากาศการตกแต่งประดับประดาแสงสีในตอนกลางคืน
รู้สึกซาบซึ้งใจมากเลยหล่ะครับ สิ่งเล็กน้อยแค่นี้มีความหมายต่อคนไกลบ้านเสมอ ดังนั้นเวลาอยู่เมืองไทยผมจึงพยายามให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทุกครั้งที่มีโอกาส โดยเฉพาะเวลาเห็นพวกเขาพยายามจะข้ามถนน เมืองไทยดูเหมือนจะดีกว่าเขาในทุกด้าน ยกเว้นแต่เรื่องการจราจรโดยเฉพาะสำหรับคนเดินเท้า ยังไงเสียเมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ให้ความสำคัญ เราก็คงต้องช่วยกันเท่าที่จะทำได้ครับ
ด้านหน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในวาติกัน
เสร็จธุระไปถึงวาติกันก็ค่อนสาย เห็นคนยืนรอต่อคิวแล้วอยากจะท้อ แต่วันนี้มีเวลาว่างทั้งวันอยู่แล้วเลยเป็นไงเป็นกัน กว่าจะฝ่าด่านตรวจค้นเข้าไปได้ก็ร่วมชั่วโมงเหมือนกันครับ ความรู้สึกแรกเมื่อผ่านเข้าไปในวิหารเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง เสมือนเดินผ่านประตุสวรรค์เข้าไปยังโลกของพระเจ้าอย่างแท้จริง เพดานวิหารสูงลิบทอดยาวไกลจนสุดลูกหูลูกตา ทั้งผนังและเพดานประดับประดาตกแต่งด้วยลวดลายละเอียดอ่อนช้อย มีรูปสลักหินอ่อนและรูปหล่อบรอนซ์ของพวกนักบุญหรือเทวทูต ประดับตกแต่งอยู่เป็นระยะ ชิ้นที่ดังหน่อยก็คงจะเป็นปิเอตา(Pieta)ของไมเคิล แอนเจโล เชื่อว่าใครหลายคนคงจะเคยผ่านตามาบ้างจากในหนังสือหรือโทรทัศน์ เป็นรูปสลักพระแม่มารีนั่งประคองร่างไร้วิญญาณของพระเยซูไว้บนตัก ครั้งหนึ่งเคยมีคนบ้าเอาฆ้อนหรือขวานมาจามรูปสลักหินอ่อนชิ้นนี้เสียหาย ตอนนี้เขาเลยต้องทำกระจกกันกระสุนกั้นไว้ด้านหน้าอีกชั้นหนึ่งครับ
ภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
ปิเอตา
หลังคาโดมในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และแท่นบูชาที่ว่ากันว่าได้มาจากการหลอมทำลายงานสำริดที่ประดับหน้าจั่ววิหารแพนธีออน
ปีกทางเดินที่โอบลานหน้าวิหารเซนต์ปีเตอร์เรียงรายไปด้วยเสาแบบโรมัน บนหลังคามีรูปสลักนักบุญตั้งอยู่โดยรอบ
ทรงผมนั้นถ้าเป็นรุ่นใหญ่หน่อยก็หวีจนเรียบแปล้ พวกที่หนุ่มลงมาก็ตัดทรงสั้นตามสมัย แต่อย่างหนึ่งที่นิยมเหมือนกัน ก็คือการเซ็ตผมด้วยน้ำมันหรือเจลจนดูเปียกฉ่ำเงาวับ ส่วนแฟชั่นและการแต่งกายของผู้หญิงนั้นขอสารภาพตามตรงว่าลืมดูครับ หรืออาจจะดูแต่ก็จำไม่ได้เสียแล้วหล่ะตอนนี้
นิทรรศการแสดงผลงานของวาเลนติโน (Valentino) ซึ่งเป็นดีไซน์เนอร์ชาวโรม
การจัดงานแต่งงานนอกสถานที่และการถ่ายรูปของ บ่าว-สาว สามารถพบเห็นได้ทั่วไป
ประสาทซานต์แองเจโลริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์
ขณะที่กำลังนั่งพักเหนื่อยกันอยู่นั่นเองเพื่อนก็เอะอะขึ้นว่าโดนกรีดกระเป๋า เดชะบุญที่ไม่มีของมีค่าอะไรในนั้น นอกจากกล้องถ่ายรูปรุ่นเก่าแบบใช้ฟิล์มซึ่งแม้แต่โจรก็คงจะไม่อยากได้ นึกสมน้ำหน้าไอ้หัวขโมยที่อุตส่าห์ลงแรงแต่ต้องกลับบ้านไปมือเปล่า มาอิตาลีเที่ยวนี้โดนเกือบครบแล้วหล่ะครับที่เขาเตือน ๆ กันมา ยังเหลือพรุ่งนี้ต่ออีกวันไม่รู้ว่าจะเจออะไรมั่ง ยังไงก็อย่าพึ่งคิดเผื่ออนาคตเลยครับ
เวลาผมไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง นอกจากการสวดมนต์ก่อนนอนแล้ว สิ่งที่ทำทุกครั้งเลยก็คือไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ใครจะว่าปอดอย่างไรไม่เถียงหล่ะครับเพื่อความสบายใจ เรื่องแบบนี้ถึงพิสูจน์ไม่ได้แต่ทำไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร ผมเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้วเป็นทุนเดิมเลยยิ่งทำให้ขวัญอ่อนไปใหญ่
อย่างที่เคยเล่าให้ฟังคราวก่อนว่าเพื่อนผมเป็นคนที่นอนกรนดังมาก แล้วที่หนักกว่านั้นก็คือเข้านอนเร็วครับ สองทุ่มสามทุ่มพี่แกหัวถึงหมอนก็หลับแล้ว ส่วนผมเป็นคนนอนดึกเป็นนิสัย กว่าจะง่วงจริง ๆ ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า นึกอยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอกคนเดียวก็กลัวโดนจี้ เลยใช้วิธีนั่งดูทีวีมันไปทั้งที่ไม่รู้เรื่อง รอให้ง่วงจริง ๆ ถึงค่อยเข้านอน
หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ครับ มาเริ่มรู้สึกตัวอีกทีกลางดึกเพราะความเงียบกริบ เสียงกรนที่ปกติจะดังเป็นเพื่อนให้ความอุ่นใจได้บ้าง มาบัดนี้เงียบกริบ ความเงียบสงัดเข้าครอบงำเสียจนน่าขนลุก สักพักผมก็ได้ยินเหมือนมีคนพยายามหมุนลูกบิดเบา ๆ ตอนแรกก็ยังไม่ดังมากแต่เป็นเสียงค่อย ๆ ช้า ๆ เบา ๆ อากาศตอนกลางคืนที่โรมเย็นเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ความรู้สึกขนลุกเกรียววูบวาบไปทั้งตัวตอนนั้น ผมสาบานได้ว่าไม่ใช่เพราะอากาศแน่ ๆ
ผมพยายามรวบรวมความกล้าค่อย ๆ หรี่ตามองฝ่าความมืดไปทางประตู อันเป็นที่มาของเสียง และแล้วในเงามืดนั้นเองผมก็ได้เห็นเงาราง ๆ ของใครคนหนึ่ง ร่างนั้นยืนตะคุ่มบิดลูกบิดเสียงดังแกร่ก ๆ อยู่อย่างนั้นอย่างไม่รู้จักเบื่อ เหมือนกับว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นพันธะที่ไม่อาจสลัดออกไปได้ ผมใจหายวาบแล้วพลันก็นึกกระหวัดไปถึงเรื่องที่เคยอ่านเจอทำนองนี้ ว่าวิญญาณหรือสัมภเวสีในยุโรปจะมีรูปแบบการแสดงตนแตกต่างจากทางบ้านเรามาก โดยเฉพาะวิญญาณของผู้ที่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ได้เคยอาศัยอยู่และผูกพันธ์กับสถานที่แห่งนั้นมาก่อน การปรากฏกายจึงมักจะออกมาในรูปแบบหรือกริยาอาการเดิม ๆ ซึ่งตอนที่ยังมีชีวิตชอบทำอยู่เสมอเหมือนพวกย้ำคิดย้ำทำ ในใจตอนนั้นถึงแม้จะกลัวมากแต่ก็คิดว่าที่เขามาปรากฏให้เห็น ก็แสดงว่าเขาคงต้องการความช่วยเหลืออะไรสักอย่างจากเราเป็นแน่ ผมเลยพยายามรวบรวมสมาธิแล้วกลั้นใจเสี่ยงถามไปทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาจะฟังเราเข้าใจหรือเปล่า
"ทำอะไรหน่ะ" ผมถาม ครับ ร่างนั้นคือเพื่อนผมเองไปทำบ้าอะไรกับประตูก็ไม่รู้ พอผละจากลูกบิดได้ก็กระหืดกระหอบถามผมใหญ่ว่า "เงิน เงินอยู่ไหน ลองเช็คดูซิว่ายังอยู่ครบดีหรือเปล่า ประตูห้องมันล็อคไม่ได้ไม่รู้ว่าใครแอบเข้ามาหยิบอะไรไปมั่ง"
จริง ๆ แล้วประตูห้องก็เป็นแบบมาตรฐานประตูโรงแรมทั่วไปแหล่ะครับ ลูกบิดเป็นแบบล็อคอัตโนมัติทเพียงแต่ไม่มีโซ่คล้องเท่านั้นเอง วิธีที่จะเปิดได้ก็คือต้องใช้กุญแจจากข้างนอกหรือหมุนเปิดจากข้างในเท่านั้น เพื่อนผมเลยเข้าใจว่าประตูมันล็อคไม่ได้ พออธิบายให้คลายกังวลแล้วจึงเอาเงินทองข้าวของออกมาเช็คดูให้เขาสบายใจ แล้วก็นอนต่อ
หลาย ๆ เหตุการณ์ในอิตาลี เล่นเอาเพื่อนผมหลอนถึงขั้นประสาทอ่อน ๆ ไปเลยหล่ะครับ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมเองต่างหากที่เป็นฝ่ายกลัวสารพัด เขาเสียอีกที่เป็นคนคอยบอกว่าอย่าคิดมาก มันคงไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นหรอกน่า และแล้วประสพการณ์ก็เปลี่ยนคน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเพื่อนผมในตอนนี้
เรายังเหลือเวลาพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันเต็มในโรม แต่ก็คิดกันว่าไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้วหากไม่ได้ไปดูหอเอนที่ปิซ่าก็เหมือนมาไม่ถึง มาอิตาลีทั้งทีน่าจะแวะไปถ่ายรูปเก็บไว้เสียหน่อยว่าเคยมาแล้ว เอาเป็นว่าบทหน้าจะมาว่ากันต่อด้วยเรื่องหอเอนปิซ่ากันนะครับ
สู้ๆ นะจ๊ะ...อิอิอิ
ตอบลบตลกดี ตอนเสียงดังที่ประตูอ่ะ เอิ๊กกกกก
อันด้านบนนี้ของดิฉันเองนะคะ
ตอบลบอ้อ คุณเจนนี่นิ๊เอง นึกว่าผู้อ่านนิรนามท่านไหน หุ หุ คนกันเองแท้ ๆ
ตอบลบตกใจอะไรกัน
ตอบลบงงกับคำถามครับคุณโอลาลิค
ตอบลบ