วันนี้ที่ฟลอเรนซ์ฝนตกปรอย ๆ แต่เช้า ทว่าพวกเรากำลังจะไปเที่ยวเวนีซกัน หวังว่าที่นั่นฝนคงจะยังไปไม่ถึง เดี๋ยวนี้เวลาพวกเราจะไปไหนมาไหนด้วยยูเรลพาสต์ เป็นต้องไม่ลืมที่จะสำรองที่นั่งพร้อมจ่ายค่าธรรมเนียมก่อนให้เรียบร้อย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้แต่ละครั้งไม่เท่ากันครับ เขาคิดตามระยะทาง ถ้าหากว่าไม่ไกลมากก็ไม่แพงเท่าไหร่
จากฟลอเรนซ์ไปเวนีซถ้านั่งรถด่วนยูโรสตาร์(อิตาเลีย)ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงกว่า เห็นชื่อคล้ายกันแต่จริง ๆ แล้วเป็นคนละอันกับยูโรสตาร์ที่วิ่งลอดอุโมงค์ใต้ช่องแคบอังกฤษนะครับ ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงใช้ชื่อเดียวกันได้ ระหว่างทางเห็นผู้โดยสารที่นั่งถัดไปเจอปัญหาเดียวกันกับพวกเราอีกแล้วเรื่องยูเรลพาสต์ ขนาดว่าเป็นฝรั่งแถมพูดอิตาเลียนได้เขายังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เลยโดนปรับกันไปตามระเบียบครับ
ถึงเวนีซแดดจ้าสมใจ แต่เสียอย่างคืออยู่ติดทะเลลมแรงเลยค่อนหนาวหน่อย ด้วยเห็นเป็นเมืองเล็กและนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ เราเลยพากันเดินดะโดยไม่หาซื้อแผนที่มากางให้ยุ่งยาก อีกอย่างตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเขามีแผนที่แจกฟรีตามเคาท์เตอร์อินฟอร์เมชั่น เห็นมีแต่ที่วางขายตามแผงหนังสือแผ่นละตั้ง 1.5 ยูโร เกิดนึกเสียดายตังค์เลยไม่ซื้อกัน อีกอย่างเราเห็นป้ายบอกทางไปจตุรัสซานต์มาร์โคมีติดอยู่ดาษดื่น ผ่านจตุรัสซอกเล็กซอยน้อยจะมีแผ่นกระดาษแปะบอกทางไปตลอด นึกว่ายังไงก็คงไม่หลงแน่ดังนั้นแผนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ ในเวนีซเป็นเขตปลอดรถยนต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ทางเดียวที่จะสัญจรไปมานอกจากการเดินคือทางเรือเท่านั้น
การสัญจรทางน้ำสำหรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก
ด้านหลังบ้านเรือนที่ติดกับคลองจะสังเกตว่าไม่มีตลิ่งคันดิน เลยเหมือนตึกตั้งอยู่ในน้ำ
หากจะนับแค่เรื่องคลองอย่างเดียวว่าผมว่าอัมสเตอร์ดัมยังเหมือนเวนีซมากกว่ากรุงเทพฯอีกครับ แต่คิดว่าผู้คนสมัยก่อนคงจะอยากหาจุดขายให้กรุงเทพฯ เลยมีการนำไปเปรียบกับเมืองนี้เพื่อที่จะได้สร้างความน่าสนใจขึ้น สำหรับผมแล้วกรุงเทพฯคือกรุงเทพฯ เวนีซคือเวนีซ หนึ่งเดียวไม่มีสองรองใคร
ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของผู้ชายอิตาเลียนคือเป็นคนเจ้าชู้กะลิ้มกะเหลี่ย พอเห็นผู้หญิงเดินมาไม่ว่าสาวว่าแก่เป็นต้องโดนแทะโลมกันไปไม่กี่มากน้อย ข้อเท็จจริงข้อนี้ผมเองก็อยากพิสูจน์แต่คงไม่มีโอกาสหรอกครับ จะมีก็แต่เพื่อนผมเท่านั้นที่บุคลิกชัดเจนแต่สถานภาพทางเพศคลุมเครือ ที่พอจะโดนอยู่บ้างให้หวือหวาเล่น อย่างที่โดนบ่อยเลยคือเวลาไปเข้าห้องน้ำครับ เข้าทีไรเป็นต้องโดนแซวตลอดว่าเข้าห้องน้ำผิด อีตาคนเฝ้าหน้าส้วมจะใช้ให้ไปเข้าห้องน้ำผู้หญิงทุกที เป็นอย่างนี้ตั้งแต่อยู่ที่ฟลอเรนซ์แล้วหล่ะครับ
แกรนด์คาแนล (Grand Canel) คลองสายหลักในเวนีซ
นึกแล้วผมยังรู้สึกเคืองพวกนักท่องเที่ยวที่มาบ้านเรา แล้วมาบ่นเรื่องค่าเข้าชมสถานที่ว่าเก็บไม่เป็นธรรมบ้างหล่ะ บ้างก็ว่าทำไมคนไทยถึงเข้าฟรีได้ หรือไม่ก็เสียค่าเข้าในอัตราที่ถูกมาก แต่ดันมาเก็บเอาจากพวกเขาแพง ๆ พวกนี้พูดอะไรช่างไม่นึกถึงหัวอกคนจน ๆ อย่างพวกเราเลยเถ่อะครับ เข้าวัดบ้านเราฟรีอยู่แล้วไม่มีค่าบัตร เข้าวังเข้าพิพิธภัณฑ์อย่างแพงสุดสำหรับต่างชาติก็ไม่เกิน 500 บาท ล่าสุดได้ยินว่ามีการยกเลิกค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าแล้วยังแถมประกันภัยให้อีก เสียค่าเข้าเท่านี้ ถือว่าจิ๊บ ๆ มากครับสำหรับพวกเขา ในขณะที่ทางยุโรปอย่างไม่มีอะไรเลยค่าตั๋ว 4-500 บาทไปแล้ว แถมไม่พอในหลาย ๆ ที่ ยังมีการแยกขายตั๋วยิบย่อยเป็นส่วน ๆ อีกต่างหาก อีกอย่างพวกเราในฐานะเจ้าของประเทศก็เสียภาษีกันทั้งทางตรงทางอ้อมอยู่แล้ว ถ้าใครมีเพื่อนเป็นต่างชาติแล้วได้ยินเขาบ่นทำนองนี้ก็ขอให้ช่วย ๆ กันชี้แจงด้วยนะครับ
ตึกและคลองหน้าตาคล้าย ๆ กันทำให้จับจุดสังเกตยากและมีคนหลงทางบ่อย ๆ
คนมาเที่ยวเวนีซอย่างกับมีงานวัด นี่ขนาดวันธรรมดาไม่ใช่งานเทศกาลคาร์นิวาลอะไรของเขานะครับ เห็นมีหน้ากากคาร์นิวาลหลากหลายแบบวางขายอยู่ทั่วไปแม้ไม่ใช่หน้าเทศกาล อีกอย่างที่เย๊อะพอกันหรืออาจจะมากกว่าก็คือนกพิราบ เวลาเดินต้องคอยระวังทั้งเท้าและหัวให้ดีครับ ระวังเท้าก็คืออย่าไปเหยียบเอาขี้มันเข้า ระวังหัวก็คือเผลอ ๆ มันชอบบินมาเกาะหรือไม่เวลาบินผ่านก็ทิ้งบอมบ์ซึ่งก็คือขี้มันนั่นแหล่ะครับใส่หัวเราเข้า นี่ถ้าไข้หวัดนกมาระบาดย่านนี้ เวนีซทั้งเมืองคงจะกลายเป็นเมืองร้างไปอีกหลายปี
นักท่องเที่ยวและฝูงนกพิราบ ที่เห็นเป็นแผงขนาบข้างมหาวิหารคือนั่งร้านที่กล่าวถึง
อีกอย่างที่ไม่อยากให้มีแต่เป็นไปไม่ได้เลยก็คือพวกหนามโลหะแหลม ๆ ที่เขาเอาเที่ยวไปติดไว้ตามหลังคาโบสถ์ วิหาร คาน ขื่อ ไม่เว้นแม้แต่ตามไหล่ หลัง ของพวกรูปปั้นรูปสลัก ทั่วไปหมดทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง นัยว่าป้องกันพวกนกโดยเฉพาะนกพิราบมาเกาะ เห็นเขาบอกว่านกประเภทนี้ขี้ของมันมีพิษสงร้ายกาจ สามารถกัดกร่อนทำลายได้แม้กระทั่งหินหรือปูน ถ้าหากไม่ทำอย่างนี้โบราณสถานของเขาก็จะมีแต่ขี้นกเขรอะ แถมยังจะโทรมทรุดก่อนเวลาอันควรอีกด้วยครับ
อยากจะเข้าไปชมความงามในวิหารแต่เห็นคิวยาว ๆ แล้วไม่เอาดีกว่า อย่างที่เคยบอกไปในบทก่อน ๆ ว่าเขาเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยมาก ถึงขนาดว่าถ้าจะเข้าไปตรงไหนเป็นต้องโดนตรวจค้นร่างกายและกระเป๋ามันทุกรอบ อย่างมีอยู่ที่นึงเขาค้นเจอเงินที่ผมเอาซ่อนไว้ในกางเกงด้านใน พี่แกยังขอให้ควักออกมาให้ดูอีก ดีอยู่นิดที่เขาไม่ขอให้นับดูด้วย ถ้าพวกมิจฉาชีพมันอยู่แถวนั้นคงไม่ยากเลยหล่ะครับในการเลือกเป้าหมาย งานนี้คงปลอดภัยเค้าแต่อันตรายดันมาตกที่เราแหล่ะครับ
นักท่องเที่ยวแถวยาวรอคิวเข้าไปชมภายในมหาวิหารซานต์มาร์โคและวังของเจ้าเมือง Doge Palace
ไม่น่าเชื่อว่าสินค้าหลักที่ทำเงินทำทองให้แก่เมืองนี้มหาศาลในอดีต ก่อนยุคผ้าไหมและเครื่องเทศก็คือเกลือ พวกเราในยุคนี้ได้ฟังแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ว่าเกลือสำคัญยังไง เอาเป็นว่าขอเล่าคร่าว ๆ แล้วกันนะครับ
ในฤดูหนาวอันแสนยาวนานของยุโรปนั้นเนื้อสัตว์เป็นสิ่งหายาก ส่วนพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ไม่สามารถเพาะปลูกได้ เกลือมีบทบาทสำคัญในการช่วยถนอมอาหารและทำให้รสชาติของเนื้อสัตว์ที่ใกล้เน่าดีขึ้น แต่การทำนาเกลือยังไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายและมีบางเมืองริมทะเลเท่านั้นที่รู้เคล็ดลับในการทำ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเวนีซครับ ดังนั้นถ้าเมืองไหนมีบ่อเกลือสินเธาว์หรือสามารถผลิตเกลือทะเลเป็นสินค้าส่งออกได้ ก็เหมือนกับมีบ่อเพชรบ่อพลอยเลยหล่ะครับ
บทบาทสำคัญของเกลือหมดลงเมื่อมีการมาถึงของสิ่งหนึ่ง ซึ่งรสชาติและคุณประโยชน์หลากหลายกว่า สิ่งนั้นก็คือเครื่องเทศครับ และก็ได้เครื่องเทศอีกเช่นกันมาเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจของเมืองให้รุ่งเรืองต่อมาอีกหลายร้อยปี ความสำคัญของเวนีซในฐานะประตูสู่โลกตะวันออกหมดลงเมื่อโปรตุเกสได้ค้นพบเส้นทางเดินทะเลสายใหม่สู่เมืองจีนและอินเดีย หลังจากนั้นเวนีซจึงซบเซาเรื่อยมาจนถึงยุคของการท่องเที่ยว เวนีซจึงเหมือนจะเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง แต่ความเสื่อมของเวนีซในโลกยุคใหม่ก็คือกาลเวลาและสภาวะโลกร้อนอย่างที่พวกเราทราบกัน ดังนั้นหากจะพอมีโอกาสซักครั้งในชีวิตก็อยากแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่ครับ ก่อนที่เมืองอันแสนงดงามแห่งนี้จะถูกท้องทะเลดูดกลืนหายไป
สินค้าหรูหราราคาแพงอีก 2 อย่างที่ใครมาเวนีสเป็นต้องซื้อหาติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ก็คือหน้ากากคาร์นิวาลและเครื่องแก้วมูราโน่ แต่เนื่องจากเวลาอันกระชั้นชิดและงบประมาณที่จำกัด พวกผมสองคนเลยต้องตัดรายการชมแต่ไม่ซื้อออกไปก่อนด้วยความเต็มใจครับ
วังของเจ้าเมือง Doge Palace
ชมความงามทั่วจัตตุรัสแล้วก็พากันกลับ โชคดีที่เผื่อเวลาเดินกลับไปสถานีก่อนเวลารถออกเกือบ 3 ชั่วโมง ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินดูนั่นดูนี่รายทางไปแบบสบาย ๆ แต่มารู้ตัวว่าหลงทางกันจริง ๆ ก็ตอนหาแผงขายผลไม้ที่เจอตอนขามาไม่พบ แล้วทีนี้พวกเรามาโผล่กันตรงไหนของเมืองก็ไม่รู้เสียแล้ว ถามชาวบ้านร้านตลาดเขาก็ใจดีชี้ทางให้แต่ก็แค่นั้นเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง พอคล้อยหลังลับช่วงตึกไปก็ไปต่อไม่ได้แล้ว ตามมุมตามเสามีป้ายบอกทางแปะอยู่ก็อ่านไม่ออก แต่ถึงจะอ่านออกก็เป็นชื่อสถานที่ท่องเที่ยวเสียส่วนใหญ่ เดินหลงไปหลงมาพอเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวลากกระเป๋าอยู่ ก็พากันวิ่งตามเขาไปนึกว่าเขาจะไปขึ้นรถ ที่ไหนได้พรรคพวกพากันเดินเข้าโรงแรมไปหน้าตาเฉย จนเมื่อมาเจอป้ายกระดาษเป็นรูปรถไฟแปะอยู่พร้อมลูกศรชี้ อารามดีใจพากันวิ่งตามทางนั้นไปแต่ซักพักป้ายก็หาย เจออีกทีเป็นรูปรถยนต์ก็มาเถียงกันอีกว่าตามผิดป้าย ยิ่งหลงยิ่งลนเพราะใกล้เวลารถไฟจะออกแล้ว พวกเราเลยใช้วิธีถามทางด่ะเอาเกือบทุกเลี้ยวเลยครับ คุยกันไม่รุ้เรื่องไม่เป็นไรใช้ชี้เอาก็พอ กว่าจะมาถึงสถานีรถไฟได้เล่นเอาใจสั่น ที่แท้ทั้งรถยนต์รถไฟเขาจอดในบริเวณหรือชุมทางเดียวกันหมด ไม่น่าเสียเวลาเถียงกันเรื่องป้ายเลยพับผ่า
ท่าจอดเรือกอนโดลาริมทะเล
จบวันในเวนีซด้วยความเหนื่อยอ่อนครับ พรุ่งนี้พวกเราจะมุ่งหน้าลงใต้สู่โรมกัน จะว่าไปแล้วรสชาติชีวิตในอิตาลีมีสีสันให้พอตื่นเต้นไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอพวกเราอยู่ที่โรมมั่ง ที่แน่ ๆ ยังไม่รู้เลยครับว่าจะพากันไปซุกหัวนอนที่ไหน แล้วเจอกันใหม่บทหน้าที่โรมครับ
Grand Canal
อ่านแล้วเพลินดี......
ตอบลบขอบคุณคร้าบบบบ คุณเอกมนตรี อิ อิ กลัวใครเขาจำไม่ได้หล่ะเน๊าะ มาซ๊ะเต็มยศเลย
ตอบลบขออ่านวันละหน้านะครับ วันนี้อ่านหน้าแรกจบไปแล้ว
ตอบลบเขียนได้ชวนติดตาม ภาพสวยแจ่มด้วยครับ - พี่ต่อ
ขอบคุณที่ติดตามนะครับพี่ต่อ บทแรก ๆ จะดูสะเปะสะปะหน่อยเพราะยังไม่รู้แนว ตอนแรกตั้งใจจะเขียนแนะนำแหล่งเที่ยวแต่เอาเข้าจริงลืมหมดแล้วครับ เลยเปลี่ยนแนวเป็นเรื่องเล่ารายทางแทน อิ อิ
ตอบลบ