ออกจากฮัมบูร์กตอนสาย ๆ โดยมีเพื่อนที่แสนดีมาส่งที่สถานีรถไฟ รถไฟขบวนตรงจากฮัมบูร์กถึงอัมสเตอร์ดัมรู้สึกว่าจะเต็มหรืออย่างไรไม่ทราบได้ พนักงานออกตั๋วบอกว่าเหลือแต่ขบวนที่ต้องไปต่อรถบัสเอากลางทาง เอาหล่ะสิทำยังไงกันดี เพื่อนร่วมคณะก็ดันเมารถเสียด้วย เลยอ้อม ๆ แอ้ม ๆ บอกเค้าไปว่าเพื่อนที่มาด้วยนั่งรถยนต์ไม่ได้เลย นั่งทีไรจะเมาและอ๊วกทุกครั้ง ได้ผลครับ พี่แกรีบจัดการหาขบวนใหม่ให้จนได้ ใจคอคงกลัวเราไปอ๊วกใส่รถหล่ะสิท่า แล้วก็ได้รถกลับอัมสเตอร์ดัมสมใจ ถึงแม้จะต้องแวะเปลี่ยนขบวนกลางทางก็ยังดีกว่าต้องไปต่อรถบัส ซึ่งคงจะทุลักทุเลกว่าเป็นหลายเท่า
คืนนี้พวกเรากลับมาพักเอาแรงกันที่บ้านเพื่อนที่อัมสเตอร์ดัมต่ออีกคืน เพื่อจัดเตรียมข้าวของ แพ็คกระเป๋าและสัมภาระสำหรับเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นทริปยาวสองสัปดาห์เต็ม ๆ รถไฟขบวนจากอัมสเตอร์ดัมเป็นรถด่วน ตาลีสต์ http://www.thalys.com/ (คนละอันกับเตเจเว,TGVนะครับ)ถึงแม้จะถือตั๋วยูเรลพาสต์อยู่แล้วแต่ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มซึ่งก็แพงพอดูเหมือนกัน(ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะคนละ 45 ยูโรครับ ก็ประมาณสองพันกว่าบาท)
ตู้โดยสารบนรถไฟตกแต่งเสียโก้หรู สมแล้วที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศเค้า เมื่อขึ้นไปนั่งแล้วก็รุ้สึกติดใจ อยากให้รถไฟบ้านเราเป็นอย่างนี้มั่ง แต่ก็อย่างว่าหล่ะครับ ถ้าจะทำให้ได้ดีขนาดนี้ราคาตั๋วคงจะต้องแพงอีกหลายเท่า ตั๋วรถไฟบ้านเราราคาหลักร้อยหรือแพงสุดแค่พันต้น ๆ ผลประกอบการยังขาดทุนสะสมเสียจนบางรัฐบาลในอดีตเกือบจะขายการรถไฟทิ้งได้สำเร็จ ถ้าไม่ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อน ตอนนี้ก็เห็นร่ำ ๆ ว่าจะให้จีนมาลงทุนทำรถไฟวิ่งตรงจากจีนจนถึงมาเลเซีย ก็ขอภาวนาให้สำเร็จโดยเร็วด้วยเถ่อะครับ พวกเราจะได้นั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองจีนกันเป็นว่าเล่น ตอนแรกเวียดนามเหมือนว่าจะแซงเราเรื่องโครงการนี้ แต่สุดท้ายก็ล้มพับไปด้วยปัญหาร้อยแปด หวยเลยมาตกที่เราหากไม่เจอปัญหาอะไรเสียก่อนอีกไม่นานคงได้เห็นครับ
บนตู้โดยสารชั้นหนึ่งเสิร์ฟอาหารมื้อย่อม ๆ ด้วยครับ ก่อนเสิร์ฟเพื่อนเดินมาบอกล่วงหน้าเพราะกลัวเราทำเปิ่น เขาบอกว่าไม่ต้องตกใจ ทุกอย่างได้รวมไว้ในค่าธรรมเนียมหมดแล้ว เป็นอาหารคอร์ทย่อม ๆ ประเภทขนมปัง สเต็ก ของหวาน แล้วก็ไวน์ ใช่แล้วครับเค้าเสิร์ฟไวน์ด้วย เป็นไวน์ขวดเล็ก ๆ น่ารักเสียจนผมไม่อยากเปิด เลยขอเค้าว่าไม่เปิดได้มั้ยอยากจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก (แต่หลังจากแบกไปแบกมาได้ไม่กี่วันก็เปิดดื่มเพราะขี้เกียจแบก ส่วนขวดก็เอาทิ้งไปเลยครับไม่ก่งไม่เก็บมันแล้ว)
แล้วรถก็วิ่งช้าไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ อ้อยสร้อยเป็นนานไม่เห็นจะเร็วเหมือนรถด่วนที่ตรงไหน ถ้าเทียบกับรถด่วน ICE ของเยอรมันแล้วคนละอย่างครับ ICE วิ่งเร็วและตรงเวลามากชนิดที่ว่าบนตั๋วเค้าจะบอกเลยว่า ขึ้นรถขบวนนี้โบกี้หมายเลขนั้นคุณต้องไปยืนที่ชานชาลานัมเบอร์นู้นตรงเสาร์ต้นที่มีอักษร...ทุกอย่างเป๊ะเสียจนคนเนเธอร์แลนด์กับฝรั่งเศสเอามาค่อนขอดได้ว่าคนเยอรมันไม่รุ้จักรีแลกซ์กับเรื่องอะไรเลย ฟังแบบนี้หลายคนคงคิดเหมือนกันว่า สู้คนไทยไม่ได้ใช่มั้ยหล่ะครับ
ปรากฏว่าเค้ามาวิ่งเร็วกันจริง ๆ ก็ช่วงจากบรัสเซลล์ถึงปารีส ซึ่งก็เลยมาครึ่งค่อนทางแล้ว จากอัมสเตอร์ดัมถึงบรัสเซลล์อาจจะวิ่งเร็วมากไม่ได้จะด้วยเพราะเหตุผลใดก็สุดจะคาดเดา แต่พอได้วิ่งเร็วของเขาก็เร็วจริง ๆ ครับ แค่ไม่ถึงชั่วโมงพวกเราก็มาถึงปารีส ออกจากสถานีก็จับแท็คซี่เข้าโรงแรมแล้วก็เดินเที่ยวต่อกันเลย
หน้าโรงโอเปร่า (Opera Comique)
ครั้งแรกในปารีสเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกครับมันตื่นตาตื่นใจไปหมด บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน ตึกรามทุกหลังคลุมโทนสี่ขาวเทาด้วยความสูงไล่เรี่ยกันที่ประมาณ 5-6 ชั้น ทุกหลังตกแต่งสวยงามด้วยปูนปั้นและระเบียงเหล็กดัดลวดลายอ่อนช้อย เอกลักษณ์อีกอย่างของบ้านเรือนในปารีสคือหลังคาครับ ลักษณะการมุงจะสอบเข้าหากันทั้งสี่ด้านเล็กน้อย สันหลังคาต่ำยอดตัดและมีหน้าต่างหรือช่องลมเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากหลังคาเป็นระยะทั้งสี่ด้านน่ารักมากเลยครับ
แต่สิ่งหนึ่งที่ผิดหวังนิด ๆ คือการแต่งกายของผู้คนซึ่งออกจะจืดชืดไม่เห็นจะเหมือนที่คาดหวังเอาไว้ นึกว่าจะมีแต่คนแต่งตัวเก๋ ๆ เดินเฉิดฉายเหมือนในหนัง ภาพแบบนั้นคงจะมีให้เห็นแต่ตามงานแฟชั่นโชว์หรือตามย่านหรู ๆ เท่านั้นหล่ะครับ ส่วนตามท้องถนนก็ใส่กันตามมีตามเกิดเหมือนบ้านเรา
ถ้าจะพูดถึงเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวแล้ว กลับเป็นที่อัมสเตอร์ดัมเสียอีกที่ดูจะแต่งตัวกันจัดกว่า แม้จะไม่ถึงกับแฟชั่นจ๋าแต่ก็ดูภูมิฐานและทันสมัย ทุกคนแต่งกายกันเต็มยศมีทั้งเสื้อตัวในตัวนอก ใส่ทับชุดกระโปรงหรือกางเกงและรองเท้าบู๊ต เสร็จแล้วก็ปั่นจักรยานกันหน้าตาเฉยกันทั้งอย่างนั้น เห็นแล้วนึกถึงตอนยังเด็ก เวลาปั่นจักรยานไปโรงเรียนจะต้องคอยพะวงว่าชุดจะเลอะดินเลอะโคลนหรือเลอะน้ำมันจากโซ่หรือเปล่า อีกภาพที่เห็นบ่อยก็คือผู้หญิงบางคนใส่กระโปรงบานประเภทกระโปรงยิปซีแต่ปั่นจักรยานคล่องปร๋อ แถมไม่พอยังเปิดหวอขอทางอีกต่างหาก ถ้าเป็นบ้านเราคงกลัวชายกระโปรงไปพันโซ่พันซี่ล้อให้รถต้องเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้า เขาถึงบอกไงครับว่าคนเราถ้ามัวแต่กลัวด้วยเงื่อนไขร้อยแปดก็อย่าทำมันเลยไม่ว่าเรื่องอะไร เพราะถ้าเรายิ่งกลัวมันก็เหมือนจะยิ่งเกิด ถ้าเราทำอะไรด้วยความประหม่าเสียแล้วโอกาสของความเสี่ยงย่อมสูงขึ้นเป็นธรรมดา
วกกลับมาที่ปารีสกันต่อนะครับ หลังจากเดินกันจนเมื่อยแล้ว สายตาของพวกเราก็เหลือบไปเห็นรถนำเที่ยวสองชั้นหลังคาเปิดโล่งแบบ Hop on Hob off จึงพากันซื้อตั๋วแล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งเล่นชมวิวรอบเมืองกัน สำหรับรถประเภทนี้ข้อดีคือเราไม่ต้องสับสนกับเรื่องเส้นทางหรือสถานที่ รถจะวิ่งซ้ำทั้งวันในเส้นทางเดิมไปตามแหล่งท่องเที่ยวหลัก ๆ เราพอใจจะลงตรงจุดไหนก็ลง เมื่อเดินเที่ยวเสร็จแล้วก็กลับมาขึ้นรถใหม่ไปที่จุดเดิม หรือจะเดินต่อเพื่อไปขึ้นในจุดอื่นก็ทำได้ครับ แต่ข้อเสียคือราคาแพงแถมยังไม่ได้อรรถรสในการเที่ยวชมแบบถึงแก่น ประเภทสัมผัสวิถีชีวิตของชาวเมืองเค้าจริง ๆ ประมาณนั้น
บ่ายนี้ทั้งวันเราเลยวิ่งขึ้น Hob on วิ่งลง Hob off กันจนหอบ แวะเที่ยวหอไอเฟล ประตูชัย แล้วก็โรงโอเปร่า พอค่ำ ๆ เพื่อนก็พาไปทานอาหารไทยที่ร้านของคนรู้จัก สี่คนหมดไปเกือบสองร้อยยูโร ก็ตกประมาณเก้าพันบาท นี่ถ้าให้มาทานกันเองคงเหงื่อตกกีบ โชคดีว่ามื้อนี้เพื่อนอาสาเป็นเจ้ามือเลยรอดตัวไปครับ
ทานข้าวเสร็จไม่รู้จะไปไหนกันต่อ นึกขึ้นได้ว่าในเรื่องดาวินชี่โค้ด(Davinci Code) พระเอกของเรื่องคืออีตาทอมแฮงค์แกไปทำอะไรซักอย่างที่หน้าลูฟท์ตอนกลางคืน เห็นฉากในหนังแล้วสวยมากเลยชวนกันเดินไปดู แล้วก็เป็นอย่างที่เคยเห็นในหนังจริง ๆ ลานโล่งข้างในมีปิรามิดแก้วรูปทรงทันสมัยเปิดไฟส่องสว่าง แสงไฟกระทบกับตึกทรงโบราณดูขรึมขลัง ช่างเป็นความงามที่แตกต่างแต่ก็ลงตัวมากครับ ของเก่าและของใหม่อยู่ด้วยกันอย่างไม่ขัดเขิน ต่างฝ่ายต่างช่วยขับให้อีกฝ่ายหนึ่งเด่นขึ้นมา หลังจากถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้จนหนำใจแล้วเพื่อนก็ชวนขึ้นไปมงมาร์ตร์ต่อ
มงมาร์ตร์(Montmartre)คือเนินเขาที่มีโบสถ์สีขาวเด่นตระหง่านด้วยโดมรูปไข่ตั้งอยู่ แล้วก็ยังเป็นย่านอันเป็นที่ตั้งของบาร์มูแลงค์รูจ(Moulin Rouge) อันแสนลือลั่นซึ่งเป็นที่มาของหนังเรื่องดังชื่อเดียวกัน เพราะยังไม่รู้ทางพวกเราเลยคิดว่าจะพากันนั่งแท็คซี่ขึ้นไป ช่วงที่ไปตอนนั้นเค้ามีแข่งฟุตบอลลีกสำคัญอะไรซักอย่าง เห็นพวกฮูลิแกนส์(Hooligansกองเชียร์คลั่งชาติชาวอังกฤษ)นุ่งกระโปรงสก็อตเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด แล้วตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ ก็จะมีทหารสะพายปืนกลยาว ๆ มาเดินลาดตระเวณป้องกันเหตุร้าย ไม่รู้ว่าฟุตบอลแมตช์นี้จะเป็นแมตช์เชื่อมความสัมพันธ์หรือว่าจะก่อสงครามจราจลกันแน่
ขณะที่พวกเราสี่คนพากันเดินมาหาแท็คซี่ ก็พอดีเจอกับขี้เมาฮูลิแกนส์สองคนยืนถือขวดเหล้ารอรถอยู่ก่อนแล้ว แต่พอรถมาถึงกลับไม่จอดที่สองคนนั่นดันมาจอดรับพวกเรา ทำให้มันไม่พอใจตะโกนด่าประมาณว่า "ไอ้สารเลวเอ้ยย ตูมาก่อนนะว่ะ" เพื่อนผมก็เลยสวนตอบไปว่า "เธอสองคนมาในสภาพนี้ ไม่มีรถแท็คซี่ที่ไหนเค้าอยากรับหรอก ไม่เชื่อถามเค้าดูสิ" แล้วสองคนนั้นก็เดินมาถามคนขับ ซึ่งคนขับก็ส่ายหน้าปฏิเสธลูกเดียวสองคนนั้นก็เลยยอม นี่แหละครับคนพวกนี้เวลาไปบ้านไหนเมืองไหนก็สร้างความวุ่นวายจนเขาเอือมระอา เชียร์บอลพอเห็นทีมตัวเองแพ้ก็โมโหทุบทำลายข้าวของ บางทีถึงขนาดจุดไฟเผาบ้านเผาเมืองกันเลยก็มีครับ คำว่ากีฬาคือยาวิเศษหรือน้ำใจนักกีฬาคงไม่มีอยู่ในสาระบบของพวกเขากันหรอก
ขึ้นไปบนเนินมงมาร์ตร์(Montmartre) ก็จะมองลงไปเห็นวิวปารีสได้ทั้งเมืองครับ ในส่วนของตัวโบสถ์ตอนนี้ปิดแล้วแต่ถ้าอยากเข้าต้องมาช่วงกลางวัน หลังจากเดินดูวิวและถ่ายรูปเสร็จก็พากันอ้อมมาข้างหลังซึ่งเป็นย่านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว ร้านค้าแถบนี้มีแต่ร้านแขก ใช่แล้วครับแขกอินเดียโพกผ้าแบบพาหุรัดนั่นเลย มีทั้งร้านขายผ้าและร้านขายของที่ระลึกกระจุ๋มกระจิ๋ม เจอพวงกุญแจสวยราคาไม่แพงแค่สองยูโรเลยเลือกซื้อกันใหญ่ แต่พอหยิบเดินไปจ่ายตังค์ที่เคาท์เตอร์อีตาลุงเจ้าของร้านดันจะคิดตั้งสี่ยูโรต่ออัน ผมก็เถียงไปว่าอันนี้มันสองยูโรนะ แกก็ไม่เชื่อแล้วก็ไล่ผมออกมาบอกไม่ขายราคานั้น ผมเลยจูงมือเด็กแขกอีกคนซึ่งก็คงเป็นพนักงานร้านแกมาดู ว่าตรงที่เราหยิบมาหน่ะเค้าติดป้ายไว้แค่สองยูโรจริง ๆ เด็กคนนั้นเลยกลับไปบอกแกเป็นภาษาแขกเถียงกันนิดหน่อยแล้วเรียกเราไปจ่ายตังค์ ตกลงได้มาในสองยูโรสมใจครับ ส่วนอีตาแขกพอลับหลังพวกเราคงรีบให้เด็กเอาป้ายไปเปลี่ยน จะว่าไปของที่ระลึกพวกนี้ทั้งหมดทำในจีนครับ แล้วคนขายก็ดันเป็นแขกไปเสียอีก ซื้อมาแล้วก็ได้ชื่อแค่ว่าซื้อมาจากที่นั่นเท่านั้น ยังดีหน่อยที่ของแบบนี้ถ้าทำเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไหนก็ขายแต่ที่เมืองนั้น ไม่ได้ขายกันสะเปะสะปะให้คนเอาไปโมเมเล่นว่าได้ไปเหยียบที่นั่นที่นี่มาแล้วทั้งที่ยังไม่เคย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคุณค่าสุดท้ายที่เหลืออยู่ในตัวของมันคงหมดไป แล้วคงไม่มีใครหน้าไหนอยากจะซื้อกลับไปให้หนักกระเป๋าอีกหล่ะครับ
ขากลับพวกเราชวนกันเดินลง ถามทางกับตำรวจรูปหล่อแถวนั้นซึ่งพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้เลยแต่ก็พยายามให้ความช่วยเหลือเต็มที่ พอจะเดาออกจากท่าทางว่าไม่ไกลมากและหาทางได้ไม่ยากเท่าไหร่ ผ่านย่านโคมแดงตรงเชิงเขาซึ่งแถวนี้จะดูเป็นส่วนตัวกว่าที่อัมสเตอร์ดัมและฮัมบูร์ก ผับบาร์แต่ละแห่งปิดประตูหน้าต่างมิดชิดเพื่อป้องกันสายตาอยากรู้อยากเห็นจากคนแบบพวกเรา ทางเดียวที่พอจะเดาได้ว่าเขาเปิดเป็นกิจการประเภทไหนก็คือสังเกตเอาจากป้ายและใบปิดหน้าร้านกันครับ
แล้วก็มาถึงโรงแรมแบบไม่ได้ตั้งใจ ถนนหนทางในปารีสมันคดเคี้ยวซับซ้อนจนเราหลง แต่พอรู้ทางแล้วจะพบว่ามันกลับมีทางลัดเย๊อะแย๊ะไปหมด เสียดายว่าอยู่กันแค่สองคืน ถ้าอยู่นานกว่านี้คงคล่องปร๋อ
เช้าวันถัดมาตกลงกันว่าจะไปเดินห้างลาร์ฟาแยต(Lafayette)ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่พัก ตัวห้างเป็นตึกเก่าดูกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมโดยรอบ ในส่วนของห้างกินอาณาบริเวณครอบคลุมอาคารประมาณ 3-4 หลัง เวลาเดินจะงงนิดหน่อยเพราะถ้าเกิดเราไปถามหาแผนกสินค้าที่ไม่มีในตึกนี้เค้าจะบอกให้เราเดินข้ามถนนไปอีกตึกหนึ่งซึ่งถ้าหลงกันคงงงน่าดู เพราะไม่รู้ว่าอีกคนจะอยู่ตึกไหนแผนกอะไรแน่ พอเห็นอะไรสวย ๆ ประมาณว่าเพดานห้างหรือดิสเพลย์ผมก็จะถามเพื่อนว่าถ่ายรูปได้มั้ย จนฝรั่งงงว่าทำไมต้องถาม เลยบอกไปว่าที่เมืองไทยเค้าห้าม ไปไหนมาไหนจะเที่ยวเดินถ่ายรูปสุ่มสี่สุ่มห้าโดนด่าตาย ฝรั่งได้ฟังก็ยิ่งงงใหญ่ถามว่าทำไมถึงด่าหล่ะ เราก็ตอบไปตามความเข้าใจว่า "ที่เมืองไทยนั้น คนมีหัวครีเอทคอยออกแบบตกแต่งอะไรได้คงมีน้อย พอเห็นเขาทำอะไรสวย ๆ ออกมา ก็คอยจะมีแต่คนไปก๊อปไอเดียเขา พวกก็เลยตัดปัญหาด้วยการห้ามถ่ายรูปเสียเลยมั้ง" อธิบายเขาไปหน้าก็ชาไปด้วยความอาย นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องของชื่อเสียงด้านลบของคนไทยซึ่งเราพยายามจะทำเป็นลืม ๆ กัน อธิบายเสร็จก็ใช้ยิ้มสยามอันเป็นอีกแง่มุมในด้านบวกช่วยกลบเกลื่อน แล้วก็ทำเป็นหันเหความสนใจไปทางอื่นแก้เก้อเสียอย่างนั้นหล่ะครับ
เดินผ่านร้านหลุยส์ วิตตองค์ แล้วต้องตะลึง ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกวูบวาบเหมือนโดนยาสั่งอยากเสียตังค์อะไรหรอกนะครับ แต่ตะลึงวิธีการจัดวางสินค้า คือเขาจะเอากระเป๋าวางเรียง ๆ กันไปตามชั้นตามตู้ เสร็จแล้วก็เอาโซ่เส้นยาวเส้นเดียวโต ๆ ร้อยล่ามทุกใบไว้เป็นพวงอย่างนั้น ใครอยากดูใบไหนก็เรียกพนักงานเขาจะมาปลดโซ่ให้ วิธีนี้ง่ายและได้ผลในการป้องกันขโมย 100% ครับ แต่อาจจะดูขัดตานิดหน่อยสำหรับบางคน
ที่ฝรั่งเศสและตามเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรป กระเป่าหลุยส์ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องไม่ต่างจากทองคำและไอโฟน คุณ ๆ ที่ชอบหิ้วหลุยส์เดินที่นู่นต้องคอยระวังตัวหน่อยนะครับ พวกมิจฉาชีพมันจ้องกันเหลือเกิน อย่างที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันบ่อย ๆ เรื่องดาราหรือไฮโซเมืองไทยไปเที่ยวแล้วโดนฉกกระเป๋าหลุยส์ ขนาดบางทีวางไว้ในรถยังโดนพวกมันทุบกระจกฉกเอาไปได้ เสร็จแล้วพี่แกก็จะเอากระเป๋าที่ขโมยได้นี่แหล่ะครับไปเดินหลอกขายพวกนักท่องเที่ยวตามแหล่งอีกที โชคดีที่ผมรู้สึกเฉย ๆ กับแบร์นด์เนม เลยไม่ตกเป็นเหยื่อต้องเสียตังค์ให้ทั้งเจ้าของแบรนด์หรือว่าพวกมิจฉาชีพ
ตกบ่ายเราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟว์(Louvre)กันครับ มาปารีสแล้วไม่ได้เที่ยวลูฟว์กับแวร์ซาย(Versailles)ก็เหมือนมาไม่ถึง แต่แวร์ซายน์อยู่นอกเมืองถ้าจะไปก็คงจะเสียเวลาอีกเป็นวันเลยต้องตัดออกจากแผนไปก่อน เวลาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์หรือปราสาทราชวังในยุโรปค่าเข้าถือว่าแพงมากสำหรับคนไทยครับ ถ้าใครมีบัตรนักศึกษาอย่าลืมพกไปด้วยเพราะสามารถใช้เป็นส่วนลดได้ประมาณ 25-40% แต่ได้ยินมาว่ายกเว้นที่ลูฟท์ที่เดียวที่ใช้ไม่ได้ ผมนั้นหมดสถานภาพนักศึกษามาหลายปีดีดักแล้ว เวลาไปซื้อตั๋วพอได้ยินเขาถามว่าเป็นนักเรียนหรือเปล่าก็จะแอบดีใจว่าหน้าคงยังเด็กอยู่เขาเลยถาม แต่ในความเป็นจริงแล้วที่ยุโรปมีคนไปเรียนต่อปริญญาโทหรือเอกมากมาย แล้วเขาก็เหมาเรียกรวมกันว่านักเรียน(student)หมด ฉนั้นถ้าเกิดมีใครถามคุณบ้างก็ไม่ต้องปลื้มทำเคลิ้มไปให้เสียเวลาเหมือนผมนะครับ
ในลูฟว์แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ให้เราเลือกชมซึ่งถ้าจะดูให้ทั่วถึงต้องใช้เวลากันเป็นวัน ๆ ส่วนผมใช้วิธีเดินผ่านเอาครับ พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปก็ไม่มี ไม่รู้จะมัวพินิจพิเคราะห์กันทำไม เลือกดูเอาแต่งานที่ชอบดีกว่า ผมชอบงานปฏิมากรรมมากกว่าภาพเขียน โดยเฉพาะงานยุคกรีกและโรมัน รู้สึกทึ่งที่เค้าสามารถแกะสลักหินได้อ่อนช้อยราวมีชีวิต ส่วนภาพเขียนจะชอบงานยุคอาร์ตนูโวกับอิมเพรสชั่นนิสต์มากกว่า ซึ่งดูเหมือนว่าจะจัดแสดงแยกต่างหากอีกที่หนึ่งในพิพิธภัณฑ์อื่น ในลูฟท์วันนี้เลยเน้นดูงานของพวกกรีก-โรมัน อียิปต์แล้วก็เปอร์เซียแทน แค่นี้ก็คุ้มค่าทั้งค่าตั๋วและคุ้มแรงเหนื่อยแล้วหล่ะครับ
ออกมาจากลูฟว์แล้วก็พากันเดินมาตามสวนหน้าพิพิธภัณฑ์(สวนตุยเลอรรี,Tuileries) มาเจอชิงช้าสวรรค์ก็ชวนกันขึ้น ไหน ๆ ก็ไม่ได้ขึ้นหอไอเฟลเพราะทนรอคิวไม่ไหวขึ้นชิงช้าสวรรค์เอาดีกว่า แต่พอขึ้นไปแล้วจริง ๆ ดันเกิดกลัวความสูงซะอีก ชิงช้าสวรรค์สูงมากครับ สูงประมาณตึกสิบชั้น แถมวันนั้นลมแรงมากเสียอีกด้วย ลมพัดจนชิงช้าแกว่ง พวกเราแต่ละคนนั่งตัวเกร็งเกาะราวแน่น จะถ่ายรูปยังไม่กล้าจะเอี้ยวตัว ทนนั่งอยู่อย่างนั้นจนหมดรอบ พอลงมาได้แข้งขาสั่นไปหมดครับ
พากันเดินเล่นกันเรื่อยเปื่อยลัดเลาะไปตามแม่น้ำแซน(Seine) เดินข้ามสะพานไปเกาะกลางแม่น้ำชื่อเกาะลาซิเต้(Ile de la Cite) ซึ่งก็คือเมืองย่อม ๆ อยู่กลางน้ำอันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารโนตร์ดาม(Notre Dame Cathedral) เกาะที่ว่านี้เดิมก็คือที่ตั้งของเมืองจากยุคแรกเริ่มเลยครับ จากนั้นมาผ่านไปหลายยุคหลายสมัยเข้า ด้วยความหนาแน่นของประชากรและความเจริญ ขนาดของเมืองเลยขยายใหญ่ขึ้นครอบคลุมอาณาเขตกว้างขวางเหมือนดังเช่นปัจจุบันครับ
ไปถึงหน้าวิหารก็พอดีกับที่เขาทำพิธีข้างในเสร็จ แล้วเลยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมฟรีไม่มีค่าตั๋ว พวกโบสถ์หรือวิหารเหล่านี้ดีอย่างตรงที่ไม่เก็บค่าเข้าชมครับ หรือถ้าจะเก็บก็นับว่าถูกมากหากจะเทียบกับพิพิธภัณฑ์หรือปราสาทราชวัง นักท่องเที่ยวอย่างเราหากจะถือเป็นมารยาทอันดีก็อย่าลืมบริจาคซักเล็กซักน้อยลงตู้รับบริจาคนะครับ จะได้เป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาโบราณสถาน ซึ่งก็น่าจะใช้เงินสิ้นเปลืองมากกว่าตอนสร้างเสียอีก
ค่ำนี้เพื่อนจะพาไปกินอาหารไทยอีกแล้วครับ อาหารไทยในยุโรปถือว่าเป็นลาภลอยเสียยิ่งกว่าถูกหวย จะให้หาซื้อกินเองคงจนปัญญา ร้านตั้งอยู่ในแถบย่านชุมชนยิวเก่าซึ่งปัจจุบันกลายเป็นชุมชนเกย์แทน กลางทางเจอร้านขายของไอเดียเก๋อารมณ์ประมาณร้านลอฟท์บ้านเรา เลยพากันเข้าไปเดินดูตามประสาผู้ชมที่ดี (คือชมอย่างเดียวแต่ไม่ซื้อ) สายตาพลันไปสะดุดกับสิ่งหนึ่งที่แสนจะคุ้นเคย นั่นคือตุ๊กตาพันด้ายแบบที่ทำขายกันเกร่อที่ถนนคนเดินเชียงใหม่ครับ หน้าตาเหมือนของบ้านเรามาก ๆ แต่ราคาแพงกว่าเป็นยี่สิบเท่า ถ้าจะคิดในแง่ดีก็คือคงมีฝรั่งไปเจอที่เชียงใหม่แล้วสั่งมาขายที่นี่แถมมีออเดอร์ต่อเนื่อง แต่ถ้าคิดในแง่ร้ายก็คือไม่ใครก็ใครคงจะก๊อปปี้กัน ได้ข่าวว่าที่ถนนคนเดินเองก็มีการแจ้งจับกันเรื่องการเลียนแบบ เพราะคนต้นคิดที่ทำออกขายแต่แรกได้ไปยื่นจดลิขสิทธิ์ไว้เรียบร้อยแล้ว เลยขอพูดพาดพิงถึงกฏหมายลิขสิทธิ์อีกซักหน่อย หากบ้านเรามีการบังคับใช้จริงจังคงวุ่นวายน่าดู เพราะเหตุว่าคนไทยไม่ถนัดคิดเองกันนั่นแหล่ะครับ พอเห็นใครทำอะไรประสบความสำเร็จก็ทำตามกันให้เอิกเกริก ไอ้ที่พอขายได้แต่แรกก็เลยพลอยขายไม่ได้ เพราะมันเกร่อล้นตลาดไปหมดแล้ว
วันนี้จบวันที่สองในปารีสด้วยความเหนื่อยอ่อน พรุ่งนี้ก็จะต้องไปต่อแล้ว ใจคอยังไม่อยากจากไปไหนเลยครับ ยังไปได้ไม่ทั่วถึงครึ่งเมืองเลยด้วยซ้ำ คืนนี้ก่อนนอนเลยจัดกระเป๋าด้วยความอิดออด เฮ้ออ ปารีสหนอปารีส ความงดงามอันแสนเย็นชา ถึงคราวจะลาแล้วใจมันหาย
เช้าวันสุดท้ายในปารีสพวกเราตกลงกันว่าจะไปหาซื้อน้ำหอมกัน ไหน ๆ ก็มาเที่ยวถึงเมืองแห่งน้ำหอมกันแล้ว เพื่อนเลยพาไปร้านหนึ่งซึ่งเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ทำงานที่นั่น เป็นร้านขนาดสามคูหาตั้งอยู่บริเวณใกล้ ๆ กันกับห้างลาแฟแยตที่เราพากันไปเดินวันก่อน ภายในร้านมีของพวกเครื่องสำอางและน้ำหอมดัง ๆ หลากหลายยี่ห้อ แต่พอดูจากป้ายราคาแล้วก็ไม่เห็นจะต่างจากบ้านเราตรงไหน สอบถามคนขายซึ่งเป็นคนไทยอยู่หลายคน เขาก็เอาเครื่องคิดเลขมาจิ้มให้ดูจากป้ายว่าจะมีส่วนลดให้ ลดเสร็จแล้วก็หักภาษีให้อีก คิดไปคิดมาก็งงแต่ก็ซื้อครับ เลยไม่รู้ว่าได้ของถูกหรือของแพงเพราะต้องคอยบวกลบกันในใจเป็นนานกว่าจะเลือกได้
จ่ายเงินเสร็จแล้วด้วยเงินสดยังมีการขอหมายเลขบัตรเครดิตเราไว้อีกเพื่อประกันเรื่องภาษี โดยมีใบเรียกคืนภาษีออกให้แล้วกำชับแน่นหนาว่า เราต้องไปทำเรื่องเคลมภาษีที่สนามบินก่อนกลับเมืองไทยให้ได้ ถ้าหากว่าไม่ทำหรือลืมทำเขาจะชาร์จเราเพิ่มตรงภาษีที่เอามาเป็นส่วนลด โดยจะหักจากบัตรเครดิตอีกที สรุปแล้วกว่าจะซื้อได้ยุ่งยากซับซ้อนครับ สู้ไปซื้อตามดิวตี้ฟรีในสนามบินก่อนกลับดีกว่า ราคาที่โชว์คือราคาจริงหักส่วนลดและภาษีเรียบร้อย ไม่ต้องเคลมต้องอะไรให้วุ่นวายแบบนี้
ยังพอมีเวลาเดินเล่นอีกหลายชั่วโมงจึงพากันเดินขึ้นไปบนมงมาร์ตร์อีกรอบ อยากจะไปเก็บบรรยากาศก่อนลาอีกครั้ง ขากลับลงมาพากันแยกย้ายแวะหาซื้อขนมและของว่างขึ้นไปกินบนรถ ผมเดินเข้าเดินออกร้านผลไม้หลายร้านเพราะอยากได้แอ๊ปเปิ้ลแต่ราคาแพงมาก เจออยู่เจ้าหนึ่งราคาพอจะซื้อได้หน่อย พอถามคนขายเพื่อความแน่ใจกลับโดนแกทำหน้ายักษ์ใส่ ปรากฏว่าป้ายราคาที่เห็นถูก ๆ นั้นเป็นของอีกอันหนึ่งข้างล่าง ไอ้ที่เราอยากได้คือราคานี้ป้ายนี้ ซึ่งก็คือแพงจนซื้อไม่ลงนั่นแหล่ะครับ เลยเดินออกมาโดยไม่ซื้ออะไรเลยพร้อมสายตาหยามเหยียดนิด ๆ จากคนขาย เออหนอที่เขาบอกว่าคนปารีสหยิ่งและเย็นชา พึ่งจะมารู้สึกเอาวันสุดท้ายนี่เอง
แล้วในที่สุดด้วยความเพียร ทำให้ผมดั้นด้นมาเจอแผงขายผักผลไม้ในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งจนได้ อย่างนี้สิค่อยยังชั่ว ราคาพอจะจับต้องได้หน่อย แอบเห็นเพื่อนซื้อไก่ย่างเป็นตัว ๆ จะเอาขึ้นไปกินบนรถเลยคิดว่าเดี๋ยวก็หาซื้อพวกขนมปังหรือไม่ก็แซนด์วิชเอาไปกินด้วยดีกว่า มื้อนี้อย่างน้อยก็ครบหมู่แล้วหล่ะทั้งแป้ง เนื้อสัตว์ ไขมันและผลไม้
เสียความรู้สึกไปนิดหน่อยยังไม่ทันทำใจได้ ก็มาเจออีกรอบที่สถานีรถไฟ ตอนไปเดินหาซื้อขนมปังนั่นเอง ด้วยความเปิ่นทำให้ยืนเลือกของนานหน่อยเลยโดนคนขายเชิดใส่อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่หันมามองผมอีกเลยเหมือนเป็นอากาศธาติ ตอนแรกก็ว่าคิดไปเองแต่ซักพักเริ่มแน่ใจเลยเดินออกมา พลางในใจก็คิดว่าช่างมันเถ่อะเดี๋ยวบนรถก็คงจะเสิร์ฟอะไรให้กินกลางทางอีก วันสุดท้ายในปารีสเลยจบลงด้วยความห่อเหี่ยว ที่สุดก็ต้องตัดใจและไม่เอามาเป็นอารมณ์เพราะคิดว่าเรายังต้องไปอีกไกล อย่าให้เรื่องแค่นี้มาบั่นทอนความสุขในการเดินทางดีกว่า
ผลปรากฏว่าการณ์ไม่เป็นไปดังคิดครับ รถด่วนจากปารีสไปซูริค,สวิสเซอร์แลนด์กลับเป็นคนละเจ้ากับขามา ตอนมาเป็นสายเหนือรถด่วนคือตาลีสต์(Thalys) แต่ไปสวิสเป็นสายใต้และสายตะวันออกคือรถด่วนเตเจเว(TGV) ซึ่งค่าธรรมเนียมถูกกว่ามากแต่ก็ไม่เสิร์ฟอะไรให้กินเลยแม้แต่น้ำดื่ม ตอนกำลังนั่งคิดว่าจะเอาไงไม่เอาไงดีอยู่นั่นเอง ก็มีสองคนผัวเมียอุ้มลูกอ่อนเดินมาหาที่นั่ง ดูท่าทางปอน ๆ เหมือนคนต่างด้าวจากยุโรปตะวันออก ตอนแรกเห็นเขาไปถามคนผิวดำใส่สูทโก้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ พร้อมเอาตั๋วให้ดู แล้วคนผิวดำคนนั้นก็ตอบกลับมาด้วยเสียงอันดังแต่เย็นชาว่า "ตรงนี้สำหรับตั๋วเฟิร์สคลาสเท่านั้น!" พูดเสร็จก็หันหน้าหนีไม่ดูดำดูดีอีก เขาเลยหันรีหันขวางเดินมาถามผมต่อ ด้วยความสงสารและเห็นที่นั่งสำรองว่างอยู่เลยบอกเขาว่า"พวกคุณนั่งกันตรงนี้ก่อนก็ได้นะ เข้าใจว่ารถขบวนนี้คงเต็มจริง ๆ เพราะผมสองคนยังต้องนั่งที่นั่งคนพิการเลย แล้วพอนายตั๋วมาค่อยถามเขาอีกทีว่าจะให้ไปตรงไหน"
เขาได้ฟังแล้วก็ทำท่าลังเลพูดขอบคุณเสร็จก็พากันเดินจากไปครับ พอพูดถึงเรื่องที่นั่งที่เรา ตอนจองตั๋วเห็นเพื่อนอีกคนเกริ่น ๆ เอาไว้เหมือนกันว่ารถเต็มมาก แต่พี่แกก็สามารถวิ่งเต้นหาให้ได้ ที่แท้ก็ได้ที่นั่งคนพิการนี่เอง ก็ไม่เลวครับที่นั่งคนพิการกว้างขวางกว่าของคนปกติเสียอีก จะนั่งจะนอนก่ายแข้งก่ายขายังไงก็ได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นพวกหัวโบราณคงไม่กล้านั่ง พวกนี้เค้าถือกันครับว่าเป็นลางไม่ดี เหมือนแช่งตัวเองยังไงยังงั้น
วกมาที่เรื่องกินกันต่อดีกว่าครับ พอนั่งไปได้สักพักเพื่อนคนที่ซื้อไก่ย่างมาก็ควักออกมานั่งกินหน้าตาเฉย กลิ่นไก่ลอยตลบอบอวนไปทั้งโบกี้ ไอ้เราจะไปร่วมวงโภชนาด้วยก็กระดาก ไม่รู้ไอ้ผิวดำคนโก้เมื่อตะกี้มันจะโพล่งอะไรออกมาให้สะเทือนใจอีก เลยบอกปฏิเสธเพื่อนไปแล้วตัวเองก็มานั่งกินแต่แอ๊ปเปิล กินไปสองลูกก็แล้วสามลูกก็แล้วก็ยังไม่รู้สึกอิ่ม เพื่อนอีกสองคนก็ดันมาอยู่คนบะโบกี้เสียอีก จะเดินไปขออะไรกินก็เกรงใจเพราะเห็นเขาซื้อมาแค่พอกินกันเองเท่านั้น จะไปตู้สเบียงก็ไม่กล้าเพราะกลัวแพง เลยต้องนั่งทนหิวไปอย่างนั้นจนถึงปลายทาง วันสุดท้ายในปารีสของผมจึงจบลงด้วยความห่อเหี่ยวและหิวโหย
ที่หมายต่อไปของผมคือฟลอเรนซ์ครับ คณะของเราจะไปพักที่ซูริคหนึ่งคืนก่อนจะแยกกัน โดยอีกสองคนจะไปเที่ยวเมืองสปาแห่งหนึ่งในชนบทของสวิสฯอันแสนห่างไกล ส่วนผมกับเพื่อนจะไปเที่ยวฟลอเรนซ์กันต่อเพราะอยากไปเก็บแต้มตามเมืองหลัก ๆ ของยุโรปมากกว่า เรื่องราวที่ปารีสนั้นไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องร้ายนะครับ ผมได้มีโอกาสแวะไปเที่ยวที่นั่นอีกครั้งในสองปีถัดมา ซึ่งอรรถรสที่ได้ก็แตกต่างจากคราวแรกอย่างสิ้นเชิง เอาไว้ถ้ามีโอกาสจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับปารีสในอีกแง่มุมให้ฟังนะครับ ถ้าเล่าตรงนี้หมดคงเบื่อกันแย่ เดี๋ยวบทใหม่เราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวฟลอเรนซ์,อิตาลี่กันต่อนะครับ สวัสดีครับ
แต่สิ่งหนึ่งที่ผิดหวังนิด ๆ คือการแต่งกายของผู้คนซึ่งออกจะจืดชืดไม่เห็นจะเหมือนที่คาดหวังเอาไว้ นึกว่าจะมีแต่คนแต่งตัวเก๋ ๆ เดินเฉิดฉายเหมือนในหนัง ภาพแบบนั้นคงจะมีให้เห็นแต่ตามงานแฟชั่นโชว์หรือตามย่านหรู ๆ เท่านั้นหล่ะครับ ส่วนตามท้องถนนก็ใส่กันตามมีตามเกิดเหมือนบ้านเรา
ถ้าจะพูดถึงเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวแล้ว กลับเป็นที่อัมสเตอร์ดัมเสียอีกที่ดูจะแต่งตัวกันจัดกว่า แม้จะไม่ถึงกับแฟชั่นจ๋าแต่ก็ดูภูมิฐานและทันสมัย ทุกคนแต่งกายกันเต็มยศมีทั้งเสื้อตัวในตัวนอก ใส่ทับชุดกระโปรงหรือกางเกงและรองเท้าบู๊ต เสร็จแล้วก็ปั่นจักรยานกันหน้าตาเฉยกันทั้งอย่างนั้น เห็นแล้วนึกถึงตอนยังเด็ก เวลาปั่นจักรยานไปโรงเรียนจะต้องคอยพะวงว่าชุดจะเลอะดินเลอะโคลนหรือเลอะน้ำมันจากโซ่หรือเปล่า อีกภาพที่เห็นบ่อยก็คือผู้หญิงบางคนใส่กระโปรงบานประเภทกระโปรงยิปซีแต่ปั่นจักรยานคล่องปร๋อ แถมไม่พอยังเปิดหวอขอทางอีกต่างหาก ถ้าเป็นบ้านเราคงกลัวชายกระโปรงไปพันโซ่พันซี่ล้อให้รถต้องเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้า เขาถึงบอกไงครับว่าคนเราถ้ามัวแต่กลัวด้วยเงื่อนไขร้อยแปดก็อย่าทำมันเลยไม่ว่าเรื่องอะไร เพราะถ้าเรายิ่งกลัวมันก็เหมือนจะยิ่งเกิด ถ้าเราทำอะไรด้วยความประหม่าเสียแล้วโอกาสของความเสี่ยงย่อมสูงขึ้นเป็นธรรมดา
วกกลับมาที่ปารีสกันต่อนะครับ หลังจากเดินกันจนเมื่อยแล้ว สายตาของพวกเราก็เหลือบไปเห็นรถนำเที่ยวสองชั้นหลังคาเปิดโล่งแบบ Hop on Hob off จึงพากันซื้อตั๋วแล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งเล่นชมวิวรอบเมืองกัน สำหรับรถประเภทนี้ข้อดีคือเราไม่ต้องสับสนกับเรื่องเส้นทางหรือสถานที่ รถจะวิ่งซ้ำทั้งวันในเส้นทางเดิมไปตามแหล่งท่องเที่ยวหลัก ๆ เราพอใจจะลงตรงจุดไหนก็ลง เมื่อเดินเที่ยวเสร็จแล้วก็กลับมาขึ้นรถใหม่ไปที่จุดเดิม หรือจะเดินต่อเพื่อไปขึ้นในจุดอื่นก็ทำได้ครับ แต่ข้อเสียคือราคาแพงแถมยังไม่ได้อรรถรสในการเที่ยวชมแบบถึงแก่น ประเภทสัมผัสวิถีชีวิตของชาวเมืองเค้าจริง ๆ ประมาณนั้น
โรงโอเปร่า (Opera Comique)
ถนนชอมค์เอลิเซต์และประตูชัย(Av. des Champs Elysees, Arc de Triomphe)
ประตูชัย (Arc de Triomphe)
หอไอเฟลมองจากสะพานข้ามแม่น้ำแซน
บรรยากาศหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ยามค่ำคืน
การตกแต่งอาคารด้วยศิลปการปิดกระจกแบบ Stained Glass
โบสถ์ Sacre Coeur บนมงมาร์ตร์
ทิวทัศน์ปารีสตอนกลางคืนมองลงมาจากมงมาร์ตร์
ค่ำคืนในปารีส
แล้วก็มาถึงโรงแรมแบบไม่ได้ตั้งใจ ถนนหนทางในปารีสมันคดเคี้ยวซับซ้อนจนเราหลง แต่พอรู้ทางแล้วจะพบว่ามันกลับมีทางลัดเย๊อะแย๊ะไปหมด เสียดายว่าอยู่กันแค่สองคืน ถ้าอยู่นานกว่านี้คงคล่องปร๋อ
ร้าน Budha Bar การตกแต่งมีการนำพระพุทธรูปมาประดิษฐานเป็นองค์ประธานอยู่ข้างใน เป็นร้านอาหารกึ่งผับมีการเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอร์ฮอล์และเต้นรำ ชาวพุทธอย่างพวกเราเห็นแล้วรู้สึกเคืองแต่ฝรั่งกลับเห็นเป็นสิ่งเก๋
บรรยากาศยามเย็นริมฝั่งแม่น้ำแซน
เดินผ่านร้านหลุยส์ วิตตองค์ แล้วต้องตะลึง ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกวูบวาบเหมือนโดนยาสั่งอยากเสียตังค์อะไรหรอกนะครับ แต่ตะลึงวิธีการจัดวางสินค้า คือเขาจะเอากระเป๋าวางเรียง ๆ กันไปตามชั้นตามตู้ เสร็จแล้วก็เอาโซ่เส้นยาวเส้นเดียวโต ๆ ร้อยล่ามทุกใบไว้เป็นพวงอย่างนั้น ใครอยากดูใบไหนก็เรียกพนักงานเขาจะมาปลดโซ่ให้ วิธีนี้ง่ายและได้ผลในการป้องกันขโมย 100% ครับ แต่อาจจะดูขัดตานิดหน่อยสำหรับบางคน
ที่ฝรั่งเศสและตามเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรป กระเป่าหลุยส์ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องไม่ต่างจากทองคำและไอโฟน คุณ ๆ ที่ชอบหิ้วหลุยส์เดินที่นู่นต้องคอยระวังตัวหน่อยนะครับ พวกมิจฉาชีพมันจ้องกันเหลือเกิน อย่างที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันบ่อย ๆ เรื่องดาราหรือไฮโซเมืองไทยไปเที่ยวแล้วโดนฉกกระเป๋าหลุยส์ ขนาดบางทีวางไว้ในรถยังโดนพวกมันทุบกระจกฉกเอาไปได้ เสร็จแล้วพี่แกก็จะเอากระเป๋าที่ขโมยได้นี่แหล่ะครับไปเดินหลอกขายพวกนักท่องเที่ยวตามแหล่งอีกที โชคดีที่ผมรู้สึกเฉย ๆ กับแบร์นด์เนม เลยไม่ตกเป็นเหยื่อต้องเสียตังค์ให้ทั้งเจ้าของแบรนด์หรือว่าพวกมิจฉาชีพ
ตกบ่ายเราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟว์(Louvre)กันครับ มาปารีสแล้วไม่ได้เที่ยวลูฟว์กับแวร์ซาย(Versailles)ก็เหมือนมาไม่ถึง แต่แวร์ซายน์อยู่นอกเมืองถ้าจะไปก็คงจะเสียเวลาอีกเป็นวันเลยต้องตัดออกจากแผนไปก่อน เวลาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์หรือปราสาทราชวังในยุโรปค่าเข้าถือว่าแพงมากสำหรับคนไทยครับ ถ้าใครมีบัตรนักศึกษาอย่าลืมพกไปด้วยเพราะสามารถใช้เป็นส่วนลดได้ประมาณ 25-40% แต่ได้ยินมาว่ายกเว้นที่ลูฟท์ที่เดียวที่ใช้ไม่ได้ ผมนั้นหมดสถานภาพนักศึกษามาหลายปีดีดักแล้ว เวลาไปซื้อตั๋วพอได้ยินเขาถามว่าเป็นนักเรียนหรือเปล่าก็จะแอบดีใจว่าหน้าคงยังเด็กอยู่เขาเลยถาม แต่ในความเป็นจริงแล้วที่ยุโรปมีคนไปเรียนต่อปริญญาโทหรือเอกมากมาย แล้วเขาก็เหมาเรียกรวมกันว่านักเรียน(student)หมด ฉนั้นถ้าเกิดมีใครถามคุณบ้างก็ไม่ต้องปลื้มทำเคลิ้มไปให้เสียเวลาเหมือนผมนะครับ
ศิลปวัตถุที่จัดแสดงในลูฟว์
ตามสวนสาธารณะเราจะเห็นฝรั่งหน้าตาดีมานอนอาบแดดกันเป็นเรื่องธรรมดา
ชิงช้าสวรรค์ที่สูงมาก สูงประมาณตึกสิบชั้นได้
เนินเขามงมาร์ตร์มองจากบนชิงช้าสวรรค์
สวนตุยเลอรีและพิพิธภัณฑ์ลูฟว์มองลงมาจากชิงช้าสวรรค์
พากันเดินเล่นกันเรื่อยเปื่อยลัดเลาะไปตามแม่น้ำแซน(Seine) เดินข้ามสะพานไปเกาะกลางแม่น้ำชื่อเกาะลาซิเต้(Ile de la Cite) ซึ่งก็คือเมืองย่อม ๆ อยู่กลางน้ำอันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารโนตร์ดาม(Notre Dame Cathedral) เกาะที่ว่านี้เดิมก็คือที่ตั้งของเมืองจากยุคแรกเริ่มเลยครับ จากนั้นมาผ่านไปหลายยุคหลายสมัยเข้า ด้วยความหนาแน่นของประชากรและความเจริญ ขนาดของเมืองเลยขยายใหญ่ขึ้นครอบคลุมอาณาเขตกว้างขวางเหมือนดังเช่นปัจจุบันครับ
เกาะลาซิเต้
มหาวิหารโนตร์ดามและการตกแต่งภายใน
ศูนย์วัฒนธรรมปองปิดู (Pompidue Centre)
วันนี้จบวันที่สองในปารีสด้วยความเหนื่อยอ่อน พรุ่งนี้ก็จะต้องไปต่อแล้ว ใจคอยังไม่อยากจากไปไหนเลยครับ ยังไปได้ไม่ทั่วถึงครึ่งเมืองเลยด้วยซ้ำ คืนนี้ก่อนนอนเลยจัดกระเป๋าด้วยความอิดออด เฮ้ออ ปารีสหนอปารีส ความงดงามอันแสนเย็นชา ถึงคราวจะลาแล้วใจมันหาย
เช้าวันสุดท้ายในปารีสพวกเราตกลงกันว่าจะไปหาซื้อน้ำหอมกัน ไหน ๆ ก็มาเที่ยวถึงเมืองแห่งน้ำหอมกันแล้ว เพื่อนเลยพาไปร้านหนึ่งซึ่งเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ทำงานที่นั่น เป็นร้านขนาดสามคูหาตั้งอยู่บริเวณใกล้ ๆ กันกับห้างลาแฟแยตที่เราพากันไปเดินวันก่อน ภายในร้านมีของพวกเครื่องสำอางและน้ำหอมดัง ๆ หลากหลายยี่ห้อ แต่พอดูจากป้ายราคาแล้วก็ไม่เห็นจะต่างจากบ้านเราตรงไหน สอบถามคนขายซึ่งเป็นคนไทยอยู่หลายคน เขาก็เอาเครื่องคิดเลขมาจิ้มให้ดูจากป้ายว่าจะมีส่วนลดให้ ลดเสร็จแล้วก็หักภาษีให้อีก คิดไปคิดมาก็งงแต่ก็ซื้อครับ เลยไม่รู้ว่าได้ของถูกหรือของแพงเพราะต้องคอยบวกลบกันในใจเป็นนานกว่าจะเลือกได้
จ่ายเงินเสร็จแล้วด้วยเงินสดยังมีการขอหมายเลขบัตรเครดิตเราไว้อีกเพื่อประกันเรื่องภาษี โดยมีใบเรียกคืนภาษีออกให้แล้วกำชับแน่นหนาว่า เราต้องไปทำเรื่องเคลมภาษีที่สนามบินก่อนกลับเมืองไทยให้ได้ ถ้าหากว่าไม่ทำหรือลืมทำเขาจะชาร์จเราเพิ่มตรงภาษีที่เอามาเป็นส่วนลด โดยจะหักจากบัตรเครดิตอีกที สรุปแล้วกว่าจะซื้อได้ยุ่งยากซับซ้อนครับ สู้ไปซื้อตามดิวตี้ฟรีในสนามบินก่อนกลับดีกว่า ราคาที่โชว์คือราคาจริงหักส่วนลดและภาษีเรียบร้อย ไม่ต้องเคลมต้องอะไรให้วุ่นวายแบบนี้
ยังพอมีเวลาเดินเล่นอีกหลายชั่วโมงจึงพากันเดินขึ้นไปบนมงมาร์ตร์อีกรอบ อยากจะไปเก็บบรรยากาศก่อนลาอีกครั้ง ขากลับลงมาพากันแยกย้ายแวะหาซื้อขนมและของว่างขึ้นไปกินบนรถ ผมเดินเข้าเดินออกร้านผลไม้หลายร้านเพราะอยากได้แอ๊ปเปิ้ลแต่ราคาแพงมาก เจออยู่เจ้าหนึ่งราคาพอจะซื้อได้หน่อย พอถามคนขายเพื่อความแน่ใจกลับโดนแกทำหน้ายักษ์ใส่ ปรากฏว่าป้ายราคาที่เห็นถูก ๆ นั้นเป็นของอีกอันหนึ่งข้างล่าง ไอ้ที่เราอยากได้คือราคานี้ป้ายนี้ ซึ่งก็คือแพงจนซื้อไม่ลงนั่นแหล่ะครับ เลยเดินออกมาโดยไม่ซื้ออะไรเลยพร้อมสายตาหยามเหยียดนิด ๆ จากคนขาย เออหนอที่เขาบอกว่าคนปารีสหยิ่งและเย็นชา พึ่งจะมารู้สึกเอาวันสุดท้ายนี่เอง
แล้วในที่สุดด้วยความเพียร ทำให้ผมดั้นด้นมาเจอแผงขายผักผลไม้ในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งจนได้ อย่างนี้สิค่อยยังชั่ว ราคาพอจะจับต้องได้หน่อย แอบเห็นเพื่อนซื้อไก่ย่างเป็นตัว ๆ จะเอาขึ้นไปกินบนรถเลยคิดว่าเดี๋ยวก็หาซื้อพวกขนมปังหรือไม่ก็แซนด์วิชเอาไปกินด้วยดีกว่า มื้อนี้อย่างน้อยก็ครบหมู่แล้วหล่ะทั้งแป้ง เนื้อสัตว์ ไขมันและผลไม้
เสียความรู้สึกไปนิดหน่อยยังไม่ทันทำใจได้ ก็มาเจออีกรอบที่สถานีรถไฟ ตอนไปเดินหาซื้อขนมปังนั่นเอง ด้วยความเปิ่นทำให้ยืนเลือกของนานหน่อยเลยโดนคนขายเชิดใส่อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่หันมามองผมอีกเลยเหมือนเป็นอากาศธาติ ตอนแรกก็ว่าคิดไปเองแต่ซักพักเริ่มแน่ใจเลยเดินออกมา พลางในใจก็คิดว่าช่างมันเถ่อะเดี๋ยวบนรถก็คงจะเสิร์ฟอะไรให้กินกลางทางอีก วันสุดท้ายในปารีสเลยจบลงด้วยความห่อเหี่ยว ที่สุดก็ต้องตัดใจและไม่เอามาเป็นอารมณ์เพราะคิดว่าเรายังต้องไปอีกไกล อย่าให้เรื่องแค่นี้มาบั่นทอนความสุขในการเดินทางดีกว่า
ผลปรากฏว่าการณ์ไม่เป็นไปดังคิดครับ รถด่วนจากปารีสไปซูริค,สวิสเซอร์แลนด์กลับเป็นคนละเจ้ากับขามา ตอนมาเป็นสายเหนือรถด่วนคือตาลีสต์(Thalys) แต่ไปสวิสเป็นสายใต้และสายตะวันออกคือรถด่วนเตเจเว(TGV) ซึ่งค่าธรรมเนียมถูกกว่ามากแต่ก็ไม่เสิร์ฟอะไรให้กินเลยแม้แต่น้ำดื่ม ตอนกำลังนั่งคิดว่าจะเอาไงไม่เอาไงดีอยู่นั่นเอง ก็มีสองคนผัวเมียอุ้มลูกอ่อนเดินมาหาที่นั่ง ดูท่าทางปอน ๆ เหมือนคนต่างด้าวจากยุโรปตะวันออก ตอนแรกเห็นเขาไปถามคนผิวดำใส่สูทโก้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ พร้อมเอาตั๋วให้ดู แล้วคนผิวดำคนนั้นก็ตอบกลับมาด้วยเสียงอันดังแต่เย็นชาว่า "ตรงนี้สำหรับตั๋วเฟิร์สคลาสเท่านั้น!" พูดเสร็จก็หันหน้าหนีไม่ดูดำดูดีอีก เขาเลยหันรีหันขวางเดินมาถามผมต่อ ด้วยความสงสารและเห็นที่นั่งสำรองว่างอยู่เลยบอกเขาว่า"พวกคุณนั่งกันตรงนี้ก่อนก็ได้นะ เข้าใจว่ารถขบวนนี้คงเต็มจริง ๆ เพราะผมสองคนยังต้องนั่งที่นั่งคนพิการเลย แล้วพอนายตั๋วมาค่อยถามเขาอีกทีว่าจะให้ไปตรงไหน"
เขาได้ฟังแล้วก็ทำท่าลังเลพูดขอบคุณเสร็จก็พากันเดินจากไปครับ พอพูดถึงเรื่องที่นั่งที่เรา ตอนจองตั๋วเห็นเพื่อนอีกคนเกริ่น ๆ เอาไว้เหมือนกันว่ารถเต็มมาก แต่พี่แกก็สามารถวิ่งเต้นหาให้ได้ ที่แท้ก็ได้ที่นั่งคนพิการนี่เอง ก็ไม่เลวครับที่นั่งคนพิการกว้างขวางกว่าของคนปกติเสียอีก จะนั่งจะนอนก่ายแข้งก่ายขายังไงก็ได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นพวกหัวโบราณคงไม่กล้านั่ง พวกนี้เค้าถือกันครับว่าเป็นลางไม่ดี เหมือนแช่งตัวเองยังไงยังงั้น
วกมาที่เรื่องกินกันต่อดีกว่าครับ พอนั่งไปได้สักพักเพื่อนคนที่ซื้อไก่ย่างมาก็ควักออกมานั่งกินหน้าตาเฉย กลิ่นไก่ลอยตลบอบอวนไปทั้งโบกี้ ไอ้เราจะไปร่วมวงโภชนาด้วยก็กระดาก ไม่รู้ไอ้ผิวดำคนโก้เมื่อตะกี้มันจะโพล่งอะไรออกมาให้สะเทือนใจอีก เลยบอกปฏิเสธเพื่อนไปแล้วตัวเองก็มานั่งกินแต่แอ๊ปเปิล กินไปสองลูกก็แล้วสามลูกก็แล้วก็ยังไม่รู้สึกอิ่ม เพื่อนอีกสองคนก็ดันมาอยู่คนบะโบกี้เสียอีก จะเดินไปขออะไรกินก็เกรงใจเพราะเห็นเขาซื้อมาแค่พอกินกันเองเท่านั้น จะไปตู้สเบียงก็ไม่กล้าเพราะกลัวแพง เลยต้องนั่งทนหิวไปอย่างนั้นจนถึงปลายทาง วันสุดท้ายในปารีสของผมจึงจบลงด้วยความห่อเหี่ยวและหิวโหย
ที่หมายต่อไปของผมคือฟลอเรนซ์ครับ คณะของเราจะไปพักที่ซูริคหนึ่งคืนก่อนจะแยกกัน โดยอีกสองคนจะไปเที่ยวเมืองสปาแห่งหนึ่งในชนบทของสวิสฯอันแสนห่างไกล ส่วนผมกับเพื่อนจะไปเที่ยวฟลอเรนซ์กันต่อเพราะอยากไปเก็บแต้มตามเมืองหลัก ๆ ของยุโรปมากกว่า เรื่องราวที่ปารีสนั้นไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องร้ายนะครับ ผมได้มีโอกาสแวะไปเที่ยวที่นั่นอีกครั้งในสองปีถัดมา ซึ่งอรรถรสที่ได้ก็แตกต่างจากคราวแรกอย่างสิ้นเชิง เอาไว้ถ้ามีโอกาสจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับปารีสในอีกแง่มุมให้ฟังนะครับ ถ้าเล่าตรงนี้หมดคงเบื่อกันแย่ เดี๋ยวบทใหม่เราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวฟลอเรนซ์,อิตาลี่กันต่อนะครับ สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น