วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โรมในคืนหลอน....(Haunted Night at Rome) Rome,Italy


      พวกเรามาถึงโรมด้วยความว่างเปล่า ทำรายการจองห้องผ่านเน็ตกับเพื่อนที่อัมสเตอร์ดัมวันก่อนได้แค่ฟลอเรนซ์ ส่วนโรมเหมือน ๆ ว่าหาที่ราคาถูกใจไม่ได้หรือยังไงนี่แหล่ะครับ เลยคิดว่าไม่น่าจะยากถ้ามาหาเอาดาบหน้า อีกอย่างผมจดเบอร์โทรศัพท์ของหลาย ๆ โรงแรมจากหนังสือไกด์ไลน์มาด้วย แล้วก็ได้หนังสือเล่มนี้อีกเช่นกันที่บอกว่า ข้อมูลโรงแรมที่โรมจากในเวปไซด์ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เขายังบอกอีกว่ามีสมาคมโรงแรมเอชอาร์ คอยช่วยติดต่อหาห้องพักให้นักท่องเที่ยวฟรีอยู่ที่สถานีรถไฟแตร์มินี พวกเราจึงพากันมาทั้งอย่างนั้นด้วยความอุ่นใจ
       แล้วก็หาไอ้สมาคมที่ว่านั่นไม่เจอครับ ถามใครก็ไม่มีคนรู้จัก เบอร์โทรศัพท์ของโรงแรมทุกเบอร์ที่จดมาด้วย พอโทรไปแล้วก็ได้คำตอบว่าห้องเต็มหมด หนังสือไกด์ไลน์ที่ว่าก็เอาทิ้งไว้ที่บ้านไม่ยอมหอบไปด้วยเพราะกลัวหนัก ร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ ๆ บริเวณนั้นก็ไม่มีซักที่ เห็นมีเคาท์เตอร์ของเอเจนซี่อยู่ 2-3 เจ้า ลองเข้าไปหาก็ได้รับคำตอบว่าห้องเต็มอีกเช่นกัน ช่วงที่เราไปดันตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์เสียด้วยสิครับ
       อิตาลีเป็นชาติที่อุดมไปด้วยหนุ่ม-สาวหน้าตาดีก็จริง แต่เสียอยู่อย่างคือไม่ค่อยยิ้มแย้ม แม้แต่ตามเคาท์เตอร์บริการนักท่องเที่ยว หรือตามร้านอาหารอย่างแม็คโดนัลด์ จะเห็นเกือบทุกคนชอบทำหน้าเครียดหรือเบื่อหน่าย ดูไปแล้วเหมือนโดนบังคับให้มาทำงานมากกว่า ตัวผมเองยังเผลอโดนแม่บ้านในแม็คโดนัลด์ ยืนท้าวสะเอวมองหน้าด้วยความไม่พอใจที่เผลอเกือบ(แค่เกือบนะครับ)ไปเหยียบพื้นที่หล่อนพึ่งถูไป เจอแบบนี้เล่นเอาไม่มีอารมณ์จะเข้าไปติดต่อสอบถามอะไรที่ไหนอีก


        คิดอะไรไม่ออกไม่รู้จะต่อไปทางไหนเลยลากกระเป๋าหาที่หลบนั่งพักเหนื่อย ส่วนเพื่อนผมยังไม่ละความพยายามลองเดินวน ๆ หาอยู่แถวนั้น และแล้วก็เป็นที่โรมนี่เองที่ผมได้เห็นคนไร้บ้านที่เป็นฝรั่งจริง ๆ เป็นครั้งแรก
       สองคนผัวเมียในวัยเกือบบั้นปลาย เดินมาพร้อมกับรถเข็นที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า,เครื่องครัว และของใช้ตามมีตามเกิดเท่าที่จะหาได้ ผู้เฒ่าทั้งสองพากันเข็นรถคู่ชีพเข้ามาหลบสายฝนและลมหนาวในสถานี ดูท่าตาลุงจะไม่ค่อยสบายเห็นยายป้าต้องคอยป้อนข้าวและป้อนยาให้ เสร็จแล้วจึงเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แกเสร็จสรรพ นั่งแอบมองผัวเมียคู่นี้ซักพักเพื่อนก็มาเรียกด้วยความตื่นเต้นว่าหาห้องได้แล้ว

บริเวณโรมันฟอรั่ม

       เพื่อนเล่าว่าไปเจอเอเจนซี่อยู่เจ้าหนึ่ง เขาหาห้องให้ได้ 4 คืนรวด ค่าห้องคืนละร้อยกว่ายูโรแต่ต้องแยกเป็นสองที่ คืนแรกพักที่หนึ่งส่วนคืนที่เหลือก็ย้ายไปอีกที่หนึ่ง ถ้าจะเอาต้องจ่ายเงินสดเดี๋ยวนั้นและไม่รับบัตรเครดิตเสียด้วยสิครับ ตอนนั้นเงินในมือดันมีแต่แทรเวลเช็ค เคยอ่านเจอจากหนังสือไกด์ไลน์อีกเช่นกันว่า ไม่ควรแลกเงินจากเคาท์เตอร์รับแลกที่ตั้งอยู่ตามสถานีรถไฟ อีกอย่างในใบคู่มือของธนาคารที่ออกเช็คให้คือ AMEX จะบอกไว้เสร็จสรรพเลยว่าสามารถแลกกับธนาคารไหนได้บ้างโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม แต่ก็อีกนั่นแหล่ะครับแถวนั้นไม่มีธนาคารมาตั้งแม้แต่เจ้าเดียว เหลียวไปแลมาก็เห็นมีแต่เคาท์เตอร์ผีเต็มไปหมด
        เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราเถียงกันมาได้หลายวันแล้ว เพราะเพื่อนผมบอกว่าแลกตรงไหนก็ได้ไม่ต้องกลัวโดนชาร์จ หรือถ้าโดนก็คงไม่มากมายเท่าไหร่ ส่วนผมนั้นด้วยความงกขึ้นหัว เพราะเห็นว่าตอนซื้อก็โดนหักค่าธรรมเนียมไปแล้วรอบนึง พอจะมาขายยังจะต้องโดนชาร์จอีก ไม่อยากเสียเงินทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่เมื่อหาแลกที่ไหนไม่ได้สุดท้ายก็เลยยอมตามนั้น

ต้นสนที่ถือเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของโรม

       และก็เป็นเคาท์เตอร์ในเอเจนซี่เดียวกันกับที่จองห้องนั่นเองที่เราเอาเช็คไปขาย พอแลกเสร็จรับเงินมาได้หน้ามืดลมแทบใส่เพราะโดนหักไปตั้ง 88 ยูโร (อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น 50 บาทต่อ 1 ยูโร คิดเป็นเงินไทยก็ 4,400 บาท) แค่เอาเช็คไปขายยังหักโหดขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดเป็นเงินกู้นอกระบบที่นี่จะโหดขนาดไหน เพื่อนทำท่าไม่พอใจจะไปขอแลกเช็คคืน แต่ผมไม่อยากมีเรื่องเลยบอกเขาว่าช่างเถ่อะถือว่าเป็นบทเรียนแล้วกัน อ้อยเข้าปากช้างไปแล้วมีหรือมันจะคายออกมาให้ เช็คกับใบรับเงินก็เซ็นให้เขาไปแล้ว พากันไปสะสางเรื่องห้องให้เสร็จก่อนดีกว่า
       ตอนนี้ชักลังเลไม่ไว้ใจเอเจนซี่เจ้านี้เสียแล้วสิครับ ไม่รู้ว่าเขาจะตุกติกอะไรอีก ส่วนอีตาคนที่หาห้องให้ก็ดูกระตือรือร้นเกินเหตุ จะเพราะว่าเขากลัวพวกเราคิดว่าโดนโกงก็มีส่วน แกก็เลยพูดแล้วพูดอีกว่า "ไว้ใจเขาได้ 100% หากมีปัญหาอะไรให้มาหาเขาที่นี่ได้ทุกเมื่อ" เอาหล่ะครับเสี่ยงเป็นเสี่ยง เช็คเมื่อกี้ 600 แลกได้แค่ 512 ยูโร ต้องเอามาจ่ายค่าห้องไปเกือบหมด ถือว่าวัดดวงเลยแล้วกัน ไหน ๆ ก็เล่นเอาเกือบตันแล้ววันนี้

เสาหินจักรพรรดิโทรจัน

      เมื่อได้ใบจองพร้อมแผนที่และพิกัดจากตาคนนี้เสร็จ พวกเราก็พากันลากข้าวลากของออกมา ซักพักก็มีอีตาลุงอีกคนเดินเข้ามาหา พร้อมโชว์ป้ายห้อยคอว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอะไรซักอย่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นสมาคมโรงแรมอะไรนั่นหรือเปล่านะครับ ตอนนั้นไม่สนใจอะไรแล้ว แกมาถามว่าพวกผมหาห้องพักกันอยู่หรือ แล้วยังทำท่าตกใจอีกเมื่อรู้ว่าเราได้ห้องเรียบร้อยแล้วผ่านเอเจนซี่เจ้านั้น แกพูดอะไรอีกยืดยาวไม่รู้แต่ผมก็ตัดบทไปว่า "ไม่รู้หล่ะ เมื่อกี้ลุงไปอยู่ไหนมาหล่ะครับ พวกเราเดินวนหาตั้งนานกว่าจะได้" แล้วเลยเอาใบจองห้องให้แกดูว่าเรียบร้อยดีหรือเปล่า พอแกดูเสร็จก็บอกว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเลยกล่าวขอบคุณแล้วแยกออกมา

อนุเสาวรีย์พระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอล

       ที่พักแห่งแรกของคืนนี้หาไม่ยากครับ อยู่บริเวณใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟนั่นเอง ตอนเช็คอินพวกเราถามที่เคาท์เตอร์อีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าได้จ่ายค่าห้องเรียบร้อยหรือยัง แล้วยังจะมีค่าอะไรตามมาอีกหรือเปล่า เมื่อได้รับคำตอบอันเป็นที่น่าพอใจว่าจ่ายเรียบร้อยแล้วก็ค่อยเบาใจหน่อย แต่ห้องพักนี่สิครับทางขึ้นแยกต่างหากมานอกทางหลัก แถมขึ้นลิฟท์ไปจนสุดแล้วยังต้องลากกระเป๋าขึ้นบันไดต่อไปอีกชั้น มีเด็กช่วยลากกระเป๋าไปส่งคนนึงไม่รู้ว่าควรจะให้ทิปเท่าไหร่ดี เลยลองให้ไป 5 ยูโร ท่าทางแกดีใจใหญ่ สำหรับพวกเราแล้ว 2 ยูโรก็เท่ากับร้อยบาท แต่พอคิดเป็นเงินเขาแล้วเหมือนจะไม่มีค่า เพราะข้าวปลาอาหารหรือแม้กระทั่งน้ำดื่มมันแพงกว่านั้นมาก



       ห้องพักคืนแรกถึงจะไม่กว้างมากแต่ก็ดูหรูหรา แต่ห้องน้ำสิครับกว้างเกือบเท่ากับห้องนอน แถมปูด้วยหินแกรนิตสีดำและมีห้องอาบน้ำระบบนวดตัวเสียด้วย แต่ด้วยความที่อยู่สูงแรงดันน้ำจึงไม่พอ ลองเปิดดูน้ำกลับพุ่งเบา ๆ เอื่อย ๆ เหมือนซึมออกจากตาน้ำ ยังดีที่ฝักบัวและชักโครกใช้การได้เลยไม่เอามาเป็นปัญหาครับ
       ห้องน้ำในยุโรปมักจะมีอะไรแปลก ๆ ให้ได้สงสัยเสมอ เรื่องผ้า 3 ผื่นนั่นก็ใช่ แต่ที่นี่เขายังเพิ่มโถอะไรแปลก ๆ มาอีก 1 โถ ใกล้กับชักโครก จะว่าโถฉี่หรือก็หน้าตาเหมือนชักโครกแต่ไม่มีถังพักน้ำ ถ้าว่าเอาไว้ซักล้างเสื้อผ้าหรือก็เล็กเกินไป หรือว่าเอาไว้อาบน้ำเด็กก็ดูไม่น่าจะถนัดนัก แล้วก็ได้เพื่อนผมอีกหล่ะครับที่ช่วยเฉลยให้ว่าเขาเอาไว้ล้างน้อง(อีกแล้ว) คุณ ๆ จำได้มั้ยครับเรื่องผ้าเช็ดน้องจากฟลอเรนซ์ ที่นี่ก็มีเหมือนกันครับแต่ที่เพิ่มเข้ามาอีกอย่างคืออ่างล้างน้อง
       ด้วยความที่อยู่เมืองหนาวพวกฝรั่งจึงไม่นิยมอาบน้ำกันโดยเฉพาะในหน้าหนาว เขาจะให้วิธีเช็ดล้างแต่เฉพาะตามซอกหลืบในร่างกายที่หมักหมมเท่านั้น ฝรั่งบางคนเลยติดนิสัยไม่ค่อยชอบอาบน้ำไม่ว่าจะหนาวหรือร้อน และนั่นคือที่มาของกลิ่นประจำเชื้อชาติที่คนไทยต่างรู้กิตติศัพท์กันดีนั่นเอง

ห้องอาบน้ำระบบนวดตัวที่ไม่เคยได้ใช้

ห้องน้ำเมื่อมองผ่านประตูเข้าไปจะเห็นอ่างล้างน้องที่หน้าตาคล้ายชักโครกติดตั้งอยู่ใกล้กัน

       เพราะความหนาวอันทารุณและอากาศที่แห้งอย่างร้ายกาจ คนไทยหลาย ๆ คนที่ไปอยู่ที่นู่นใหม่ ๆ จึงปรับตัวกันไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะเรื่องการอาบน้ำ ด้วยความเคยชินหลายคนยังพยายามอาบเช้าอาบเย็น หรืออย่างน้อยก็ขอให้ได้ซักวันละครั้งก็ยังดี ผลที่ตามมาก็คืออาการคันคะเยอ ผิวหนังแตกหลุดร่อนทั้งตัวเหมือนคนเป็นโรคสะเก็ดเงิน พอเป็นแล้วไปหาหมอทาหยูกทายายังไงก็ไม่หาย วิธีเดียวที่จะรักษาได้คือต้องเลิกอาบน้ำเท่านั้นครับ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ถ้าเขาล้างกันเท่านี้เราก็ควรล้างเท่านี้ ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นเดี๋ยวก็ชินไปเอง แล้วก็ไม่ต้องกลัวใครมาเหม็นเพราะต่างก็เหม็นกันถ้วนหน้า กลิ่นเขากลบกลิ่นเรา กลิ่นเรากลบกลิ่นเขา หักล้างกันไปถือว่าหยวน ๆ เลยแล้วกันครับ


       โชคดีที่ตอนนั้นเป็นช่วงปลายร้อน แล้วหน้าร้อนที่อิตาลีก็ร้อนเอาเรื่องเสียด้วย จึงพลาดโอกาสทดลองใช้เจ้าอ่างเอกประสงค์อันนั้นด้วยความเต็มใจครับ เมื่อจัดข้าวของเข้าที่เข้าทางเสร็จก็พากันไปเดินเล่นใกล้ ๆ กับสถานีแตร์มินี่ บริเวณนั้นมีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ โรมันฟอรั่ม แล้วก็โคลอสเซียม จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้เสียทีเดียวหรอกครับ แต่ความที่บ้านเมืองในยุโรปตึกรามไม่สูงบดบังกันมาก จากจุดหนึ่งเราสามารถมองเห็นได้ไกลจนสุดปลายถนน หากคะเนด้วยสายตาก็ดูเหมือนใกล้ แต่พอเดินไปจริง ๆ ถึงรู้ว่าไกลมาก จะหันหลังกลับก็ไม่ทันแล้ว เลยเดินไปให้ถึงให้ทั่วทั้งบริเวณนั้นเสียเลยจะได้ไม่ค้างคา อีกอย่างยุโรปหน้าร้อน 2-3 ทุ่ม ฟ้าก็ยังสว่างอยู่ เราเดินกันเพลินจนมืดค่ำถึงค่อยพากันกลับ

บ้านเรือนในโรมนิยมทาสีโทนอบอุ่นสดใส

       เช้าวันถัดมาพวกเราต้องย้ายห้องใหม่ด้วยความทุลักทุเล โรงแรมใหม่ที่จะย้ายไปพักไม่มีใครรู้จักเลย ลองโทรไปตามเบอร์โทรฯที่ให้ไว้ มีคนรับสายแต่คุยกันแทบไม่รู้เรื่องเพราะภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนของเขา แต่อย่างน้อยก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งว่ามีโรงแรมนี้อยู่จริงไม่ได้โดนหลอก ชาวบ้านแถบนั้นถึงจะหน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตร แต่ก็พยายามให้ความช่วยเหลือเต็มที่ครับ พวกเราลากของไปพะรุงพะรังทำให้ช้า ตกลงกันว่าจะทิ้งของไว้ให้ผมนั่งเฝ้า แล้วให้เพื่อนเป็นคนไปเดินหา นั่นหล่ะครับถึงจะได้ ตอนเช็คอินก็ยังไม่วายถามย้ำกับรีเซฟชั่นอีกครั้ง ว่าค่าห้องได้จัดการผ่านเอเจนซี่เรียบร้อยทั้ง 3 คืนแล้วใช่มั้ย เมื่อได้คำตอบว่าใช่ก็ค่อยหายใจได้เต็มปอดหน่อย ต่อจากนี้ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีกแล้ว วันนี้ลองขึ้นรถบัสสองชั้นแบบ Hop On Hop Off เที่ยวแบบสบาย ๆ กันดีกว่า


      จากโรงแรมต้องนั่งรถไฟใต้ดินมาที่สถานีแตร์มินี่ก่อน เสร็จแล้วจึงซื้อตั๋วรถได้จากเคาท์เตอร์หน้าสถานี ราคาตั่วตกคนละ 16 ยูโรต่อวัน โดยรถออกทุก 25 นาทีเวียนนำผู้โดยสานไปส่งตามจุดหลัก ๆ ของเมืองจนถึงประมาณ 3-4 ทุ่ม ถ้าจะให้คุ้มค่าที่สุดต้องรีบมาตั้งแต่เช้าครับ
       รถไฟใต้ดินในโรมตอนนั้นเที่ยวละ 1 ยูโร ตั๋วมีอายุ 75 นาทีโดยไม่จำกัดระยะทางและการเปลี่ยนสาย ถ้าไปถึงปลายทางแล้วแต่เกิดเปลี่ยนใจ จะนั่งย้อนกลับไปทางอื่นก็ทำได้ครับ ขอเพียงอย่าพึ่งเดินออกไปจากสถานีเท่านั้น ผมยังนึกเล่น ๆ เลยว่าถ้าอย่างนั้นเราก็นั่งไปเพลิน ๆ ไปจนครบเวลาได้ แต่ก็คงไม่มีใครที่ไหนบ้าทำกัน ถ้าเป็นรถรางที่วิ่งอยู่บนดินว่าไปอย่างยังจะพอให้เห็นวิวบ้าง แต่นี่วิ่งไปในอุโมงค์มืด ๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอย่างนี้ อีกอย่างคนแน่นแทบจะไม่มีที่ยืนเลยหล่ะครับ ขึ้นไปได้ซักพักก็อยากลงแล้ว
       วันนี้ทั้งวันเราวิ่งขึ้น-ลงรถ เดินเที่ยวกันแบบสบาย ๆ เสียดายที่โรมแดดแรงและร้อนไปหน่อยเลยต้องหลบนั่งชั้นล่าง สถานที่หลัก ๆ ที่พวกเราแวะก็มีน้ำพุเตรวี่ ที่อยู่ ๆ ก็เหมือนโผล่ออกมาจากผนังตึก มีคนบอกให้อธิษฐานแล้วโยนเหรียญข้ามไหล่ลงไปขอให้ได้กลับมาอีก แต่ที่อยากทำจริง ๆ คือลงไปงมเหรียญมากกว่าครับ น้ำในสระใสเสียจนเห็นหมดว่าเหรียญที่กอง ๆ อยู่ตามพื้นนั้นเป็นเหรียญอะไรบ้าง


น้ำพุเตรวี่

       คิดในทางอกุศลได้ซักพัก ก็มีเสียงหนึ่งดังแหวกอากาศเข้ามาในมโนสำนึกด้วยความคุ้นเคย พอมองตามเสียงนั้นไป ก็เห็นสาวไทยในมาดพิธีกรกำลังยืนบรรยายสถานที่อยู่หน้ากล้อง แต่แรกก็นึกว่าเป็ฯรายการอะไรซักอย่างจากเมืองไทยมาถ่ายทำ แต่ไหงกล้องที่พวกน้องใช้ถ่ายถึงได้เล็กจิ๋วเป็นของเล่นขนาดนั้น ช่างดูไม่สมกับมาดพิธีกรของน้องเลย พวกผมเห็นดังนั้นจึงรีบสะกิดกันเดินหนี กลัวน้องเขาจะรู้ว่าเป็นคนไทยแล้วเข้ามาขอสัมภาษณ์หน่ะสิครับ
       ต่อจากนั้นก็ไปแพนธีออน(Pantheon) ซึ่งเป็นวิหารโบราณจากยุคโรมันที่คงสภาพได้สมบูรณ์แบบที่สุด ลักษณะเด่นของอาคารหลังนี้คือหลังคาโดมขนาดใหญ่(กว้าง 43.3 เมตร) พร้อมช่องแสงตรงกลางที่เรียกว่าโอคูลัส(Oculus) มีข้อสันนิษฐานกันว่าจักรพรรดิเฮเดรียนเป็นสถาปนิคผู้ออกแบบ แต่พระองค์กลับยกเครดิตให้เป็นผลงานของอากริปปาชายอันเป็นที่รักแทน โดยให้จารึกไว้บนหน้าจั่วเป็นภาษาลาตินว่า "สร้างโดยอากริปปา"  วิหารหลังนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วม 2,000 ปีแล้วครับ น่าทึ่งที่ยังยืนหยัดอยู่ได้โดยที่หลังคาโดมไม่พังทลายลงมา และที่สำคัญซึ่งพวกเราประทับใจกันมากก็คือวิหารแห่งนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีครับ



โอคูลัสที่ทำหน้าที่เป็นทั้งช่องแสงและรับ-กระจายน้ำหนักของหลังคาโดมของแพนธีออน

      ว่าภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนฟังยากแล้ว ยังต้องชิดซ้ายเมื่อมาเจอสำเนียงญี่ปุ่น ช่วงที่กำลังนั่งพักหน้าวิหารนั้นเอง ได้มีชายหนุ่มหน้าตาเอเชียคนหนึ่งมาถามผมว่า "รู้มั้ยว่านอร์ดสึอยู่ทางไหน" ทีแรกผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าหมายถึงอะไร แล้วแกก็พยายามอธิบายต่อ "นอร์ดสึ,ซาวด์สึ" พร้อมทำท่าทางประกอบ อ้อ!! ที่แท้ถามหาทิศทางนั่นเอง ผมเลยเอาแผนที่มากางให้ดูโดยใช้วิหารเป็นหลักแล้วชี้ทิศเหนือในแผนที่ให้ดูว่าน่าจะเป็นทางไหน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนญี่ปุ่นต้องห้อย สึ ห้อย ขุ หรืออะไรต่อมิอะไรไปท้ายคำในภาษาต่างชาติด้วย แล้วอย่างนี้พี่แกจะไปคุยกับใครเขารู้เรื่องกันหล่ะครับ
       จากนั้นก็ไปต่อกันที่โคลอสเซียม(Colosseum) สนามกีฬาโบราณรูปวงรีที่ถือเป็นงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมโรมันอีกแห่งหนึ่ง พวกผมได้แต่เดินเที่ยวอยู่รอบ ๆ ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปดูข้างในหรอกครับ อาศัยว่าเคยเห็นบ่อย ๆ จากรายการโทรทัศน์ พอไปเห็นของจริงแล้วเลยไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ อีกทั้งที่เห็นในทีวีดูใหญ่โตกว่านี้มาก พอเห็นของจริงเหมือนจะเล็กกว่าเลยออกจะผิดหวังนิด ๆ


โคลอสเซียม

       โคลอสเซียมแห่งนี้แสดงให้เห็นทั้งความศิวิไลซ์ และในด้านมืดที่สุดของชาวโรมันเอาไว้ เหตุเพราะที่แห่งนี้ในอดีตใช้เป็นที่จัดแสดงโชว์ที่โหดเหี้ยม มีทั้งการต่อสู้ฆ่าฟันกันถึงตายของเหล่านักรบกลาดิเอเตอร์, มีการต่อสู้ของคนกับสัตว์ร้ายเช่นเสือ,สิงห์โตหรือฮิปโป รวมทั้งในช่วงเริ่มต้นของคริสต์ศาสนา ก็มีการใช้ที่แห่งนี้แหล่ะครับไว้ทรมานพวกคริสเตียน ด้วยการปล่อยสัตว์ร้ายออกมาฆ่าและกัดกินพวกเขาทั้งเป็นอีกด้วยครับ

ประตูชัยจักรพรรดิคอนสแตนตินต้นแบบของประตูชัยอีกหลาย ๆ แห่งในยุโรป

ซากโบราณสถานบนเนินเขาพาลาติเน หนึ่งในเจ็ดเนินเขาที่เป็นที่ตั้งของกรุงโรม

       ในโรมนั้นซากปรักหักพังของโบราณสถานมีอยู่กลาดเกลื่อนทั่วไป จนใคร ๆ ต่างก็ขนานนามว่าที่นี่คือพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก โบสถ์วิหารส่วนใหญ่เปิดให้เข้าชมฟรี ดังนั้นถ้าคุณมีงบน้อยแล้วก็ไม่ได้ต้องการศึกษาอะไรลึกซึ้งนัก ก็ใช้วิธีดูผ่าน ๆ เหมือนพวกผมก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ เสียดายที่ไม่ได้พกหนังสือไกด์ไลน์เล่มนั้นไปด้วย ไม่งั้นตอนเดินเที่ยวชมเมืองคงจะรู้เรื่องกว่านี้ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยผมก็ได้โยนเหรียญอธิษฐานลงน้ำพุเตรวี่แล้ว หากพรสำฤทธิ์ผลได้กลับมาจริงค่อยว่ากันใหม่
       วันนี้นั่งรถจนคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม พอแดดร่มลมตกก็พากันขึ้นไปนั่งบนชั้นสองวนดูเมืองยามค่ำที่ดูขลึมขลังมลังเมลือง จนเกือบหมดเวลาเดินรถเที่ยวสุดท้ายนั่นหล่ะครับ ถึงจะยอมกลับห้องไปนอนพักผ่อนกัน       


บรรยากาศการตกแต่งประดับประดาแสงสีในตอนกลางคืน

       เช้าวันที่สามในโรมเราตกลงกันว่าลองนั่งรถไฟใต้ดินเที่ยวกันดีกว่า วันนี้นึกอยากจะไปเที่ยววิหารเซนต์ปีเตอร์ที่วาติกัน แต่ก่อนอื่นคงต้องหาที่แลกเงินก่อน ตอนนั่งรถชมเมืองเมื่อวานแอบเห็นสำนักงานของ AMEX อยู่แถวในเมือง เลยตั้งใจว่าจะไปแลกเงินที่นั่นกันก่อน รถไฟใต้ดินคนแน่นเหมือนเคย กว่าจะไปถึงที่หมายเล่นเอาตัวลีบไปหมด ไปถึง AMEX ด้วยความไม่รู้ก็เข้าไปต่อคิวมั่วซั่ว พอเห็นอีกช่องหนึ่งว่างผมก็ผละจากช่องเดิมไป และก็เป็นอีกครั้งที่ต้องเสียความรู้สึก กับพนักงานชาวอิตาเลียนที่ไม่ได้ทำงานด้วยใจ เขาทำหน้าบึ้งใส่แล้วไล่ให้กลับไปต่อช่องเดิมครับ กลับกลายเป็นนักท่องเที่ยวด้วยกันเสียอีกที่มีน้ำใจให้ โดยคนในแถวที่เคยยืนหลังผมเรียกให้กลับเข้าไปในแถวใหม่ในลำดับเดิมก่อนหน้าเขา
       รู้สึกซาบซึ้งใจมากเลยหล่ะครับ สิ่งเล็กน้อยแค่นี้มีความหมายต่อคนไกลบ้านเสมอ ดังนั้นเวลาอยู่เมืองไทยผมจึงพยายามให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทุกครั้งที่มีโอกาส โดยเฉพาะเวลาเห็นพวกเขาพยายามจะข้ามถนน เมืองไทยดูเหมือนจะดีกว่าเขาในทุกด้าน ยกเว้นแต่เรื่องการจราจรโดยเฉพาะสำหรับคนเดินเท้า ยังไงเสียเมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ให้ความสำคัญ เราก็คงต้องช่วยกันเท่าที่จะทำได้ครับ

ด้านหน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในวาติกัน

      เสร็จธุระไปถึงวาติกันก็ค่อนสาย เห็นคนยืนรอต่อคิวแล้วอยากจะท้อ แต่วันนี้มีเวลาว่างทั้งวันอยู่แล้วเลยเป็นไงเป็นกัน กว่าจะฝ่าด่านตรวจค้นเข้าไปได้ก็ร่วมชั่วโมงเหมือนกันครับ ความรู้สึกแรกเมื่อผ่านเข้าไปในวิหารเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง เสมือนเดินผ่านประตุสวรรค์เข้าไปยังโลกของพระเจ้าอย่างแท้จริง เพดานวิหารสูงลิบทอดยาวไกลจนสุดลูกหูลูกตา ทั้งผนังและเพดานประดับประดาตกแต่งด้วยลวดลายละเอียดอ่อนช้อย มีรูปสลักหินอ่อนและรูปหล่อบรอนซ์ของพวกนักบุญหรือเทวทูต ประดับตกแต่งอยู่เป็นระยะ ชิ้นที่ดังหน่อยก็คงจะเป็นปิเอตา(Pieta)ของไมเคิล แอนเจโล เชื่อว่าใครหลายคนคงจะเคยผ่านตามาบ้างจากในหนังสือหรือโทรทัศน์ เป็นรูปสลักพระแม่มารีนั่งประคองร่างไร้วิญญาณของพระเยซูไว้บนตัก ครั้งหนึ่งเคยมีคนบ้าเอาฆ้อนหรือขวานมาจามรูปสลักหินอ่อนชิ้นนี้เสียหาย ตอนนี้เขาเลยต้องทำกระจกกันกระสุนกั้นไว้ด้านหน้าอีกชั้นหนึ่งครับ

ภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์

ปิเอตา

       ที่สุดทางอีกด้านหนึ่งมีแท่นบูชาสี่เสา เป็นงานหล่อด้วยสำริดตั้งอยู่ภายใต้หลังคาโดมใหญ่(ว่ากันว่าหลอมมาจากรูปสัมริดยุคโรมันที่ประดับหน้าบันวิหารแพร์กามอน) สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับวิหารของคาทอลิกก็คือการสร้างบรรยากาศนี่แหล่ะครับ ทุกรายละเอียดสร้างขึ้นมาโอ่อ่าอลังการ ราวกับต้องการจะข่มผู้คนที่ผ่านเข้ามา ให้สำนึกตนว่าตัวเองต่ำต้อยเพียงไหนในอาณาจักรแห่งพระเจ้า การปล่อยให้แสงธรรมชาติ สาดส่องเข้ามาเป็นลำทางช่องแสงบนเพดาน ก็ให้ความรู้สึกเหมือนราวกับว่าประตูสวรรค์กำลังจะเปิด เหมือนเวลาเรามองไปยังหมู่เมฆที่บดบังดวงอาทิตย์ แล้วจะเห็นรัศมีพวยพุ่งออกมาจากขอบเมฆยังไงยังงั้นเลยครับ คำบรรยายนี้อาจจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ถ้าลองคุณ ๆ ได้มีโอกาสมาเห็นด้วยตา ก็คงจะคิดอะไรไม่ต่างไปจากผมเป็นแน่ครับ




หลังคาโดมในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และแท่นบูชาที่ว่ากันว่าได้มาจากการหลอมทำลายงานสำริดที่ประดับหน้าจั่ววิหารแพนธีออน

       ในบริเวณนครรัฐวาติกันมีโบสถ์ วิหาร และพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง แต่ด้วยเวลาอันจำกัดพวกผมเลยไม่ได้ไปครับ อาคารแต่ละหลังแยกจากกันเป็นเอกเทศ ถ้าหากจะดูตรงไหนก็ต้องไปเข้าแถวรอคิวกันอีกเป็นชั่วโมง  ส่วนหลังคาโดมเซนต์ปีเตอร์ที่เขาบอกว่าเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปได้ ก็ไม่ได้ขึ้นไปครับเพราะกลัวความสูง และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือเหนื่อยนั่นเอง ตอนนี้เลยนึกเสียดายอยู่ไม่หาย ยิ่งได้มาเห็นในหนังเรื่องดาวินชี่โค้ดภาคสองก็ยิ่งเสียดายใหญ่ ในเมื่อมีโอกาสไปถึงที่แล้วก็น่าจะให้ถึงที่สุด

ปีกทางเดินที่โอบลานหน้าวิหารเซนต์ปีเตอร์เรียงรายไปด้วยเสาแบบโรมัน บนหลังคามีรูปสลักนักบุญตั้งอยู่โดยรอบ

       วันนี้เราเที่ยวชมเมืองกันแบบไม่เร่งรีบครับ สถานที่หลัก ๆ ที่อยากเห็นก็ไปดูมาหมดแล้วเมื่อวานนี้ แต่ก็น่าเสียดายหลาย ๆ ที่เพราะไปแล้วต้องผิดหวังกับนั่งร้านที่คลุมไว้ บันไดสเปนก็เป็นอีกที่หนึ่งที่พวกเราดั้นด้นเดินไปแล้วก็ต้องผิดหวัง การเดินเที่ยวแบบนี้ดีอยู่อย่างตรงที่เราได้สัมผัสชีวิตผู้คนอย่างใกล้ชิด ผมสังเกตว่าผู้ชายชาวอิตาเลี่ยนนั้นนอกจากจะเจ้าชู้กะลิ้มกะเหลี่ยแล้ว ยังทำตัวเจ้าสำอางจนเกินเหตุไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ แต่ละคนแต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยเสื้อผ้ารัดรูปจนน่าอึดอัด ส่วนหน้าตาก็หมดจดเกลี้ยงเกลา หนวดเคราและคิ้วมีการกันแต่งเสียจนคมกริบ
       ทรงผมนั้นถ้าเป็นรุ่นใหญ่หน่อยก็หวีจนเรียบแปล้ พวกที่หนุ่มลงมาก็ตัดทรงสั้นตามสมัย แต่อย่างหนึ่งที่นิยมเหมือนกัน ก็คือการเซ็ตผมด้วยน้ำมันหรือเจลจนดูเปียกฉ่ำเงาวับ ส่วนแฟชั่นและการแต่งกายของผู้หญิงนั้นขอสารภาพตามตรงว่าลืมดูครับ หรืออาจจะดูแต่ก็จำไม่ได้เสียแล้วหล่ะตอนนี้


นิทรรศการแสดงผลงานของวาเลนติโน (Valentino) ซึ่งเป็นดีไซน์เนอร์ชาวโรม

การจัดงานแต่งงานนอกสถานที่และการถ่ายรูปของ บ่าว-สาว สามารถพบเห็นได้ทั่วไป

       นวัตกรรมอย่างหนึ่งที่ล้ำสมัยมาก ๆ ในโรมันยุคโบราณ ก็คือส้วมสาธารณะและโรงอาบน้ำนั่นเองครับ ผมเห็นซากอยู่ตามข้างทาง 2-3 แห่งหน้าตาคล้าย ๆ กัน กล่าวคือเป็นที่นั่งสูงระดับเข่ายาวต่อกันไปบนรางน้ำ ส่วนฝารองนั่งก็เจาะช่องเป็นรูเรียงไปให้พอนั่งได้ไม่เบียดกันมากแต่ก็ไม่มีฝากั้น เวลานั่งทำธุระคงประดักประเดิดน่าดูทั้งเสียงและกลิ่น ผมเคยดูในสารคดีเกี่ยวกับวิธีทำความสะอาดหลังเสร็จธุระแล้วยิ่งอกสั่น กล่าวคือเขาจะมีไม้สำหรับเช็ดแขวนไว้ให้ใช้ร่วมกัน เป็นไม้ด้ามยาวผูกปลายด้านหนึ่งด้วยฟองน้ำ ใครเช็ดเสร็จแล้วก็ส่งให้คนอื่นใช้ต่อได้เลยครับ

ประสาทซานต์แองเจโลริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์

       ขณะที่กำลังนั่งพักเหนื่อยกันอยู่นั่นเองเพื่อนก็เอะอะขึ้นว่าโดนกรีดกระเป๋า เดชะบุญที่ไม่มีของมีค่าอะไรในนั้น นอกจากกล้องถ่ายรูปรุ่นเก่าแบบใช้ฟิล์มซึ่งแม้แต่โจรก็คงจะไม่อยากได้ นึกสมน้ำหน้าไอ้หัวขโมยที่อุตส่าห์ลงแรงแต่ต้องกลับบ้านไปมือเปล่า มาอิตาลีเที่ยวนี้โดนเกือบครบแล้วหล่ะครับที่เขาเตือน ๆ กันมา ยังเหลือพรุ่งนี้ต่ออีกวันไม่รู้ว่าจะเจออะไรมั่ง ยังไงก็อย่าพึ่งคิดเผื่ออนาคตเลยครับ


       เวลาผมไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง นอกจากการสวดมนต์ก่อนนอนแล้ว สิ่งที่ทำทุกครั้งเลยก็คือไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ใครจะว่าปอดอย่างไรไม่เถียงหล่ะครับเพื่อความสบายใจ เรื่องแบบนี้ถึงพิสูจน์ไม่ได้แต่ทำไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร ผมเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้วเป็นทุนเดิมเลยยิ่งทำให้ขวัญอ่อนไปใหญ่
       อย่างที่เคยเล่าให้ฟังคราวก่อนว่าเพื่อนผมเป็นคนที่นอนกรนดังมาก แล้วที่หนักกว่านั้นก็คือเข้านอนเร็วครับ สองทุ่มสามทุ่มพี่แกหัวถึงหมอนก็หลับแล้ว ส่วนผมเป็นคนนอนดึกเป็นนิสัย กว่าจะง่วงจริง ๆ ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า นึกอยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอกคนเดียวก็กลัวโดนจี้ เลยใช้วิธีนั่งดูทีวีมันไปทั้งที่ไม่รู้เรื่อง รอให้ง่วงจริง ๆ ถึงค่อยเข้านอน
       หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ครับ มาเริ่มรู้สึกตัวอีกทีกลางดึกเพราะความเงียบกริบ เสียงกรนที่ปกติจะดังเป็นเพื่อนให้ความอุ่นใจได้บ้าง มาบัดนี้เงียบกริบ ความเงียบสงัดเข้าครอบงำเสียจนน่าขนลุก สักพักผมก็ได้ยินเหมือนมีคนพยายามหมุนลูกบิดเบา ๆ ตอนแรกก็ยังไม่ดังมากแต่เป็นเสียงค่อย ๆ ช้า ๆ เบา ๆ อากาศตอนกลางคืนที่โรมเย็นเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ความรู้สึกขนลุกเกรียววูบวาบไปทั้งตัวตอนนั้น ผมสาบานได้ว่าไม่ใช่เพราะอากาศแน่ ๆ


       ผมพยายามรวบรวมความกล้าค่อย ๆ หรี่ตามองฝ่าความมืดไปทางประตู อันเป็นที่มาของเสียง และแล้วในเงามืดนั้นเองผมก็ได้เห็นเงาราง ๆ ของใครคนหนึ่ง ร่างนั้นยืนตะคุ่มบิดลูกบิดเสียงดังแกร่ก ๆ อยู่อย่างนั้นอย่างไม่รู้จักเบื่อ เหมือนกับว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นพันธะที่ไม่อาจสลัดออกไปได้ ผมใจหายวาบแล้วพลันก็นึกกระหวัดไปถึงเรื่องที่เคยอ่านเจอทำนองนี้ ว่าวิญญาณหรือสัมภเวสีในยุโรปจะมีรูปแบบการแสดงตนแตกต่างจากทางบ้านเรามาก โดยเฉพาะวิญญาณของผู้ที่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ได้เคยอาศัยอยู่และผูกพันธ์กับสถานที่แห่งนั้นมาก่อน  การปรากฏกายจึงมักจะออกมาในรูปแบบหรือกริยาอาการเดิม ๆ ซึ่งตอนที่ยังมีชีวิตชอบทำอยู่เสมอเหมือนพวกย้ำคิดย้ำทำ ในใจตอนนั้นถึงแม้จะกลัวมากแต่ก็คิดว่าที่เขามาปรากฏให้เห็น ก็แสดงว่าเขาคงต้องการความช่วยเหลืออะไรสักอย่างจากเราเป็นแน่ ผมเลยพยายามรวบรวมสมาธิแล้วกลั้นใจเสี่ยงถามไปทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาจะฟังเราเข้าใจหรือเปล่า


       "ทำอะไรหน่ะ" ผมถาม ครับ ร่างนั้นคือเพื่อนผมเองไปทำบ้าอะไรกับประตูก็ไม่รู้ พอผละจากลูกบิดได้ก็กระหืดกระหอบถามผมใหญ่ว่า "เงิน เงินอยู่ไหน ลองเช็คดูซิว่ายังอยู่ครบดีหรือเปล่า ประตูห้องมันล็อคไม่ได้ไม่รู้ว่าใครแอบเข้ามาหยิบอะไรไปมั่ง"
        จริง ๆ แล้วประตูห้องก็เป็นแบบมาตรฐานประตูโรงแรมทั่วไปแหล่ะครับ ลูกบิดเป็นแบบล็อคอัตโนมัติทเพียงแต่ไม่มีโซ่คล้องเท่านั้นเอง วิธีที่จะเปิดได้ก็คือต้องใช้กุญแจจากข้างนอกหรือหมุนเปิดจากข้างในเท่านั้น เพื่อนผมเลยเข้าใจว่าประตูมันล็อคไม่ได้ พออธิบายให้คลายกังวลแล้วจึงเอาเงินทองข้าวของออกมาเช็คดูให้เขาสบายใจ แล้วก็นอนต่อ
       หลาย ๆ เหตุการณ์ในอิตาลี เล่นเอาเพื่อนผมหลอนถึงขั้นประสาทอ่อน ๆ ไปเลยหล่ะครับ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมเองต่างหากที่เป็นฝ่ายกลัวสารพัด เขาเสียอีกที่เป็นคนคอยบอกว่าอย่าคิดมาก มันคงไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นหรอกน่า และแล้วประสพการณ์ก็เปลี่ยนคน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเพื่อนผมในตอนนี้
       เรายังเหลือเวลาพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันเต็มในโรม แต่ก็คิดกันว่าไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้วหากไม่ได้ไปดูหอเอนที่ปิซ่าก็เหมือนมาไม่ถึง มาอิตาลีทั้งทีน่าจะแวะไปถ่ายรูปเก็บไว้เสียหน่อยว่าเคยมาแล้ว เอาเป็นว่าบทหน้าจะมาว่ากันต่อด้วยเรื่องหอเอนปิซ่ากันนะครับ
      
      
      
      
      
      
      
     

5 ความคิดเห็น:

  1. สู้ๆ นะจ๊ะ...อิอิอิ
    ตลกดี ตอนเสียงดังที่ประตูอ่ะ เอิ๊กกกกก

    ตอบลบ
  2. อันด้านบนนี้ของดิฉันเองนะคะ

    ตอบลบ
  3. อ้อ คุณเจนนี่นิ๊เอง นึกว่าผู้อ่านนิรนามท่านไหน หุ หุ คนกันเองแท้ ๆ

    ตอบลบ
  4. งงกับคำถามครับคุณโอลาลิค

    ตอบลบ