นั่งรถด่วน ICE จากเบอร์ลินถึงฮัมบูร์กใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ต้องยอมรับเลยหล่ะครับเรื่องความสมบูรณ์แบบของบริษัทการรถไฟเยอรมัน ทั้งเรื่องการตรงเวลา, ความสะอาด ตลอดจนความใส่ใจในทุกรายละเอียดไม่เว้นแม้กระทั่งตำแหน่งที่มาร์คไว้ตรงชานชาลา ซึ่งเราสามารถเช็คได้ว่าตู้โดยสารที่เราต้องนั่งนั้นจะจอดตรงกับเสาต้นไหน เพื่อที่จะได้ไปยืนตรงจุดนั้นถูก เมื่อรถไฟมาก็ขึ้นประตูนั้นไปแล้วก็หาที่นั่งเจอได้โดยง่าย ไม่ต้องเสียเวลาลากกระเป๋าหากันนาน
ในแพลนที่วางเอาไว้ก็คือจะแวะพักที่ฮัมบรูกแค่คืนเดียวครับ จริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะไปเที่ยวแต่อยากแวะไปเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าซึ่งนาน ๆ จะเจอกันทีเท่านั้น ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับที่ท่องเที่ยวเลยไม่มีอยู่ในหัวเลย ก็งานนี้มีเจ้าภาพรออยู่นี่ครับ ก็ต้องขอใช้สิทธิ์ให้เต็มที่เลยแล้วกัน
ตึกที่ทำการเทศบาลเมืองฮัมบูร์ก
อาคารหลังนี้แหล่ะครับที่แต่เดิมเป็นแทงค์น้ำเก่าแล้วนำมาดัดแปลงทำโรงแรมหรู
ผลงานการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่จัดแสดง
พอตกบ่ายพวกเราก็ขอให้เพื่อนพาไปเที่ยวชมเมือง ชมจตุรัส และย่านการค้า ฮัมบูร์กมีสถานะเป็นนครรัฐอิสระ มีชื่อเต็มว่า 'นครอิสระและฮันเซียติกแห่งฮัมบูร์ก' เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเยอรมันรองจากเบอลิน แต่เป็นรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุดจากทั้งหมด 16 สหพันธรัฐของเยอรมนี ที่นี่ยังมีสถานะเป็นเมืองท่าสำคัญด้วยครับ โดยเป็นที่ตั้งของท่าเรือใหญ่เป็นอันดับสองของสหภาพยุโรป
วันนี้มีเวลาเดินเที่ยวแค่เพียงครึ่งวัน หลังจากที่ให้เพื่อนพาเดินตามแหล่งช็อปปิ้งจนทั่วแล้ว ผมจึงขอให้เขาพาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองครับ น่าเสียดายที่มีเวลาจำกัด การเดินชมจึงต้องทำอย่างเร่งรีบ ข้างในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานหลากหลาย ทั้งโบราณวัตถุจากยุคโรมัน เครื่องกระเบื้องเคลือบโบราณทั้งจากจีนและจากยุโรป รวมถึงผลงานศิลปร่วมสมัยและคอลเลคชั่นเปียโนโบราณ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าค่อนข้างแปลกและไม่นึกว่าจะได้มาเห็นที่นี่ก็คือ ศิลปการพับกระดาษแบบญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่าโอริกามิ(origami)ครับ แรกที่เห็นก็นึกว่าเป็นงานจากญี่ปุ่นมาจัดแสดงไว้ แต่พออ่านในรายละเอียดจากป้ายที่กำกับไว้ ถึงได้รู้ว่าเป็นฝีมือของศิลปินชาวตะวันตกนั่นเองครับ
ผลงานโอริงามิที่จัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์บางส่วน
ผลงานที่จัดแสดงไว้ถือได้ว่าชั้นครูครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถพับกระดาษให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างกับมีชีวิตได้ บางชิ้นก็เล่นกับรูปทรงจนน่าพิศวง ที่พับเป็นคนเป็นสัตว์ก็มีรายละเอียดที่ซับซ้อนจนเห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้ มีทั้งหน้า ตา จมูก ปาก หรือแม้กระทั่งนิ้วมือนิ้วเท้า เรียกได้ว่าถ้าไม่รักไม่ชอบจริง ๆ ไม่มีใครอุตสาหะนั่งพับกันจนได้ขนาดนี้แน่ ๆ เลยหล่ะครับ ความมหัศจรรย์ของศาสตร์แขนงนี้ก็คือ การใช้กระดาษสี่เหลี่ยมธรรมดา ๆ พับไปพับมาอย่างมีแบบแผนจนออกมาเป็นงานลอยตัว 3 มิติที่มีความซับซ้อนของรูปทรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แล้วการพับแบบนี้ก็ไม่ใช่จะพับกันสะเปะสะปะนะครับ กูรูหลายคนถึงกับเขียนตำรากันขึ้นมาเป็นเล่ม ๆ เลยทีเดียว และนับวันช่างพับกระดาษรุ่นใหม่ ๆ ก็มีการพัฒนาเทคนิคให้มีความซับซ้อนขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว จนอาจจะพูดได้ว่า ศิลปแขนงนี้ได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าที่นักพับกระดาษจากชาติต้นตำรับในยุคแรก ๆ จะคาดฝันไว้เสียอีกแหล่ะครับ
นางเงือกตัวนี้สูงประมาณซักคืบเห็นจะได้
ตกค่ำทานข้าวเย็นเสร็จแล้วไม่รู้เป็นไง นึกอยากจะเห็นแสงสีแหล่งบันเทิงของที่นี่กัน เลยไหว้วานขอเพื่อนพาไปเดินเที่ยวซักหน่อย เวลามาเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองอย่างนี้ จะให้ไปเดินเที่ยวกลางคืนดุ่ม ๆ กันเองเหมือนอย่างบ้านเรานั้นไม่กล้าหรอกครับ ต่อให้เป็นเมืองที่เจริญและใหญ่อย่างที่ยุโรปนี้ก็ตามเห่อะ ยังไงเสียนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราก็มักจะเป็นที่หมายปองของมิจฉาชีพอยู่วันยังค่ำ ให้เจ้าบ้านเป็นคนพาไปหน่ะดีแล้วครับ ปลอดภัยหายห่วงเพื่อนผมเขาบอกว่าที่นี่คนเค้าเที่ยวดึกกัน กว่าบรรดาผีเสื้อราตรีจะออกโบยบินก็ดึกดื่นค่อนคืนเป็นต้นไป แต่อย่างพวกเราจะให้รอขนาดนั้นคงไม่ไหว เสร็จจากอาหารมื้อเย็นแล้วก็ขอออกเดินกันเลย อากาศที่นี่ต้นเดือนกันยาตอนกลางคืนเริ่มหนาวแล้ว เสื้อกันหนาวตัวบางจ๋อยจากเมืองไทยดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรซักเท่าไหร่ ดีหน่อยที่ตามร้านรวงต่าง ๆ ที่พวกเราแวะเค้าเริ่มเปิดฮีทเตอร์กันแล้ว การเดินเล่นฝ่าความหนาวของพวกเราจึงไม่ได้ลำบากเท่าที่ควรครับ
สิ่งคู่กันอีกอย่างหนึ่งสำหรับเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรป ชนิดที่ว่าต้องมีมาพร้อมกันเสมอเหมือนปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ นั่นก็คือแหล่งโลกีย์หรือว่าย่านโคมแดงครับ และตามความคิดของผมแล้ว ผมว่าที่นี่ดูจะใหญ่โตและทำกันเป็นล่ำเป็นสันกว่าที่อัมสเตอร์ดัมอีกนะครับ มีทั้งบาร์โชว์ บาโฮส เซ็กส์ชอป ซึ่งตั้งเรียงรายไปจนสุดปลายถนน แต่ของทางยุโรปดีหน่อยตรงที่มีการจัดระเบียบให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนในพื้นที่ที่ทางการกำหนด ไม่ใช่ปล่อยให้เปิดกันสเปะสปะทั่วบ้านทั่วเมืองจนควบคุมไม่ได้เหมือนบ้านเราหรอกนะครับ
ฮิปปี้ที่ยืนขอตังค์นักท่องเที่ยวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีครับ ลักษณะของพวกนี้คือไม่ใช่ขอทาน, พวกไร้บ้านหรือยิปซี แต่เป็นหนุ่มสาวรูปร่างหน้าตาดีแต่งตัวออกแนวพังค์เปรี้ยวเข็ดฟัน บางคนก็เจาะตาเจาะจมูกโชว์รอยสักใส่ชุดยีนส์หรือชุดหนังดูทะมัดทะแมง พวกนี้จะยืนกันเป็นกลุ่มในมือถือขันโลหะ พอเห็นเราเดินผ่านก็ยื่นขันมาเขย่าขอกันเงินเฉย เพื่อนผมบอกว่าไม่ต้องให้ไม่ต้องสนใจ พวกนี้มันจะหาตังค์ไปกินเหล้ากินยาไปตามเรื่อง งานการไม่คิดจะทำคอยแต่จะเป็นภาระให้รัฐต้องดูแล คุณ ๆ อ่านถึงตรงนี้แล้วคิดเห็นอย่างไรครับ บ้านเค้ากับเมืองเรานับวันก็ชักจะไปกันใหญ่ ปัญหาเรื่องการว่างงานดูจะไม่น่าหนักใจเท่าพวกไม่ยอมทำงาน และนับวันคนประเภทนี้ก็ชักจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นปัญหาระดับชาติที่น่าหนักใจไม่แพ้ปัญหาเรื่องปากท้องในประเทศยากจนเลยทีเดียว
ย่านช็อปปิ้งร้านค้าหรูหราแถวริมทะเลสาบ
เดินชื่นชมดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนไปเรื่อยเปื่อย พอเริ่มหนาวก็แวะเข้าไปหลบหาอะไรดื่มในบาร์แถวนั้น ส่วนใหญ่แล้วผับบาร์แถบนี้ก็จะเป็นเหมือนอย่างที่เห็นกันบ่อย ๆ ในหนังนั่นแหล่ะครับ เฉิ่มเชยแล้วก็ประดับประดาด้วยไฟวับ ๆ แวม ๆ พวกผมเลยใช้วิธีเดินเข้าเดินออกย้ายร้านไปเรื่อย ๆ บางร้านก็เปิดเพลงโฟล์คซอง บางร้านก็เปิดเพลงแดนซ์ กลางทางเจอนักท่องเที่ยวท่าทางเมาแอ๋เดินเข้ามาถามว่าจะหาของ(ยาเสพติด)ได้ที่ไหน ก็ได้แต่ส่ายหน้าบอกไม่รู้แล้วรีบเดินผละออกมา นี่หน้าตาพวกเราคงจะเข้าข่ายไม่มากก็น้อยพวกถึงได้ดุ่มเข้ามาถามแบบนั้น
จนเริ่มดึกเริ่มเมาเพื่อนผมบอกว่าจะพาไปที่บาร์อีกแห่งหนึ่งซึ่งนับว่าเด็ดสุด เป็นแหล่งเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่เค้านิยมมาจับคู่กันนั่นเอง พอได้ยินเขาบอกอย่างนี้ก็ตาโตกันเลยสิครับ ชอบจริง ๆ เลยเรื่องอย่างนี้ ต่อมความอยากรู้อยากเห็นมันได้รับการกระตุ้นจนยั้งใจไว้ไม่อยู่เสียแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็จัดแจงเรียกแท็คซี่ไปกันเลยครับ พอไปถึงแล้วก็ค่อยรู้สึกคึกคักขึ้นมาหน่อย เป็นบาร์ขนาดไม่ใหญ่มากถึงแม้การตกแต่งจะเดิม ๆ แต่ที่มีสีสันกว่าคือผู้คนในนั้นซึ่งดูหลากหลาย มีทั้งฝรั่ง เอเชียและพวกออกแขก(หมายถึงหน้าตาออกไปทางแขกนะครับ ไม่ใช่พวกมาคอยนั่งจับแขก)
จนล่วงเข้าเกือบตีสองพวกเราทั้งเมาแล้วก็ง่วงมากแล้ว ก่ะว่านั่งดื่มต่ออีกสักพักแล้วค่อยพากันกลับก็พอดีมีคน(ออกแขก)เดินเข้ามาคุยด้วย อย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อยเพราะการมาเที่ยวลักษณะนี้ ถ้าไม่มีใครสนใจจะเข้ามาคุยด้วยเลยคงน่ากลุ้มใจ ว่าในตัวเราคงจะต้องมีอะไรบกพร่องซักอย่างแล้วหล่ะที่ทำให้ใครเค้าเมินขนาดนั้น ปรากฏว่าพี่แขกคนนี้แกพูดอังกฤษไม่ได้เลยครับ แต่ก็พยายามใช้ภาษาใบ้กันน่าดู พี่แกก็เอามือจิ้มที่หน้าอกตัวเองเสร็จก็เอามาจิ้มอกผมต่อ แล้วเอามือประกบกันสองข้างทำท่ากระดึ๊บ ๆ ให้ดู เท่านั้นหล่ะครับ...วงแตก
หลังจากแย่งกันกับเพื่อนแล้ว(หมายถึงแย่งกันเขี่ยนะครับ ผมสะกิดบอกเขาให้ไปคุยกับเพื่อน ส่วนเพื่อนก็เดินหนี) แกตื๊ออยู่ได้สักพักเมื่อเห็นว่าความพยายามคงไม่เป็นผลแล้วเลยตัดใจเดินจากไป นี่ถ้าหากว่าทำให้มันโรแมนติคกว่านี้ เช่นชวนไปดูหนัง ทานข้าว หรืออาสานั่งรถชมเมือง ก็คงจะไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะครับ แต่เล่นสะกิดชวนกันโต้ง ๆ อย่างนี้บอกได้คำเดียวว่า...แรงส์
เล่ามายืดยาวขนาดนี้สุดท้ายแล้วอยากจะสารภาพว่ามันมีเหตุครับ ที่ผมคะยั้นคะยอให้เพื่อนพาเที่ยวจนเมาแอ๋ขนาดนี้ก็เพราะว่ากลัวผีนั่นเอง ก็ไอ้อพาร์ทเมนต์ของเขานั่นแหล่ะครับ บรรยากาศของมันทั้งเก่าทั้งน่ากลัวขนาดนั้น ถ้าอยากรู้ว่าอารมณ์ประมาณไหนให้นึกถึงหนังผีฝรั่งเอานะครับ ได้อารมณ์ประมาณนั้นเลย อีกทั้งเฟอร์นิเจอร์ในห้องเขาก็ไปขนมาจากแหล่งที่มีคนเอาไปทิ้ง เสร็จแล้วถึงเอามาซ่อมแซมแล้วนำมาใช้ต่อ คนมีจินตนาการสูงอย่างผมเลยกลัวไงหล่ะครับ บ้านก็เก่าของใช้ก็เก่า ไม่รู้ว่าเจ้าของเดิมเค้าจะตามมาหวงหรือเปล่า ถึงใครจะบอกว่าผีฝรั่งไม่น่ากลัวเท่าผีไทยก็เห่อะครับ ถ้าจะให้ผมนอนโดยไม่คิดอะไรแล้วหล่ะก็ ขอกินเหล้าย้อมใจก่อนดีกว่า
เอาเป็นว่าราตรีนี้ที่ฮัมบูร์กก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีโดยไม่มีเรื่องทั้งกับผีและกับคนนะครับ พอตกสายของอีกวันเพื่อนก็พามาส่งที่สถานีรถไฟ เมื่อร่ำลากันเสร็จแล้วจึงออกเดินทางกลับไปอัมสเตอร์ดัม พวกผมมีโปรแกรมไปปารีสกันต่อครับ โดยทริปนี้จะมีเพื่อนอีกสองคนจากอัมสเตอร์ดัมไปด้วยจึงนัดให้กลับไปเจอกันที่นั่น แล้วบทหน้ามาว่ากันต่อด้วยเรื่องเมืองปารีสนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น