ถึงสถานีรถไฟเมืองซูริคก็เกือบสี่ทุ่ม เป็นการนั่งรถไฟทางไกลที่ค่อนข้างทรหดครับ ตอนแรกที่ออกจากปารีสผ่านย่านชนบทชานเมืองฝรั่งเศสก็ยังไม่รู้สึกอะไร เพราะมัวเพลินกับวิวสองข้างทางยามโพล้เพล้ที่สวยเหมือนความฝัน เนินทุ่งนาทุ่งปศุสัตว์กว้างไกลสุดสายตานั้น เล่นสีและเงาตามแสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ต่อเมื่อความมืดมาเยือนเท่านั้นแหล่ะครับ ภาพวิวทิวทัศน์ที่พอจะช่วยให้เพลินใจได้ บัดนี้กลับมองไม่เห็นอะไรเสียแล้ว ส่วนกระจกหน้าต่างก็กลับกลายเป็นกระจกเงาบานใหญ่ ที่สะท้อนให้เห็นแต่สภาพภายในห้องโดยสารอันแสนจะน่าอึดอัดและเงียบเหงา
แล้วความมืด ความเหงา ก็มาพร้อมกับความหิว ขนาดว่ากินแอ๊ปเปิ้ลไปตั้งหลายลูกก็ยังไม่รุ้สึกอิ่ม ถึงจะยัดเข้าไปจนจุกแต่ก็ยังรู้สึกแสบท้องอยู่ ไก่ย่างของเพื่อนนั้นเป็นอะไรที่ไม่อยากแตะเพราะกลิ่นแรงครับอย่างที่บอก เอาหล่ะสิทีนี้ เห็นทีจะต้องใช้ความง่วงกับความเงียบสะกดความหิวให้ได้เสียแล้ว
สวิสเซอร์แลนด์นั้นไม่ได้อยู่ในโปรแกรมตั้งแต่ต้น เหตุเพราะยังมีเมืองอีกหลายเมืองที่ใฝ่ฝันอยากจะได้เห็นครับ ด้วยเวลาอันจำกัดผมกับเพื่อนอีกคนจึงเลือกเดินทางต่อไปฟลอเรนซ์ โดยทิ้งอีกสองคนไว้ที่ที่นี่ พวกเขาจะพากันไปพักผ่อนนอนแช่น้ำแร่กันที่ไหนซักแห่งซึ่งผมฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ขอไม่เอาดีกว่าครับอุตส่าห์ลงทุนบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลขนาดนี้ เรื่องอะไรจะมัวเสียเวลานั่ง ๆ นอนอยู่กลางป่ากลางเขา ใจผมตอนนั้นคิดแต่เพียงว่าฉากวิวข้างทางสวย ๆ นั้นเหมาะสำหรับนั่งรถผ่านก็พอครับ เราไม่จำเป็นต้องไปขลุกอยู่ทั้งวันทั้งคืนหรอก อีกอย่างคือผมคิดว่าไหน ๆ ก็นั่งรถไฟวิ่งไปวิ่งมาระหว่างเมืองต่าง ๆ คงจะได้เห็นวิวภูเขาสวย ๆ จนเจนตาไปเอง แต่ความคิดนี้กำลังจะเปลี่ยนไปในวันรุ่งขึ้นครับ
ห้องพักเกรดประมาณนี้ในยุโรปราคาค่อนข้างแพงทีเดียว
ซูริคก็เป็นอีกเมืองของยุโรปที่สำหรับผมและใครหลาย ๆ คนแล้ว เมื่อได้มีโอกาสมาเยือนครั้งแรกก็คงเห็นว่าแปลกเหมือนกัน ที่นี่มีโรงหนังที่ฉายหนังโป๊ระดับฮาร์ดคอร์โดยเฉพาะ แต่ดูจากใบปิดหน้าโรงแล้วไม่เห็นจะน่าดูเท่าไหร่ เป็นหนังเอ็กซ์เกรดต่ำ ๆ แบบที่ปั๊มขายกันเกร่อแถวบ้านเรา อยู่เมืองไทยแอบซื้อแอบดูที่บ้านดีกว่า ไม่เห็นจะต้องตากหน้ามาทำลับ ๆ ล่อ ๆ เดินเข้าก็หลบเดินออกก็หลบแบบนี้ให้คนเขาขำเล่น
เพื่อนผมจากอัมสเตอร์ดัมดูท่าจะเคยมาซูริคหลายครั้งอยู่ เพราะพี่แกพาเดินเข้าซอยนู้นออกซอยนี้อย่างช่ำชอง พาไปดูบาร์โฮสต์ ร้านเซ็กส์ชอป เธคเกย์และบาร์เกย์ซึ่งแต่ละแห่งจะคล้าย ๆ กันคือเป็นห้องหับมิดชิดอยู่ตามตึกหน้าตาโบราณหลังเล็ก ๆ เหมือนบ้านตุ๊กตา แทบจะเรียกได้ว่าถ้าไม่ใช่ขาประจำไม่มีทางรู้เลยว่าข้างในเขาเปิดเป็นกิจการประเภทไหนกัน
บ้านเมืองในยุโรปพอตกกลางคืนเงียบเชียบไร้ผู้คน ถ้าให้เดินคนเดียวผมคงไม่กล้า ถึงเขาจะบอกว่าปลอดภัยแค่ไหนก็ตามเถ่อะครับ พวกเราพากันเดินไปได้ซักพักก็มาเจอร้านขายของทอดประเภทเนื้อสัตว์ เฟรนซ์ฟรายและเครื่องเคียงต่าง ๆ เฮ้อ! ในที่สุดก็มีอะไรตกถึงท้องซักที สั่งอาหารเสร็จจัดแจงจะจ่ายตังค์ ปรากฏว่าดันไม่รับเงินยูโรเสียอีก โชคดีที่คนพามาเขารู้เลยเตรียมแลกตังค์มาก่อนแล้ว หลังจากได้ของกินมาบรรเทาความหิวเสร็จ พวกเราก็พากันกลับห้องแยกย้ายไปนอน
บรรยากาศเมืองซูริคยามสาย
กว่าผมจะเสร็จธุระเตรียมจะนอนเพื่อนก็หลับไปแล้ว และที่สำคัญคือกรนดังมากเสียด้วยสิครับ ความจริงก็นอนร่วมห้องกันมาหลายคืนแล้ว แต่การนอนกรนของพี่แกนับวันเหมือนจะหนักข้อขึ้นไปทุกที คืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมเริ่มรู้สึกเครียด อารามคงเพราะทั้งเหนื่อย,ง่วงแล้วก็เพลียแต่นอนไม่ได้ จะหลบเข้าไปนอนในห้องน้ำก็ทำเปียกเลอะเทอะหมดแล้ว เลยต้องข่มตาให้หลับแต่กว่าจะหลับลงได้ก็ค่อนสาง
เช้านี้เพื่อน ๆ พากันไปเดินเล่นชมเมืองกันแต่ผมตื่นไม่ไหว พอเจอกันอีกทีตอนสาย ๆ ที่ห้องอาหาร ทุกคนพูดคุยกันออกรสด้วยความสนุกสนานว่าไปเจอไปเห็นอะไรมาบ้าง แต่ผมกลับนั่งทำหน้าบึ้งด้วยความไม่สบอารมณ์ พอเขาคะยั้นคะยอถามว่าเป็นอะไรก็ได้แต่ตอบว่าไม่มีอะไรหรอกแค่เบลอ ๆ เพราะนอนน้อยเท่านั้น
ด้วยความเข้าใจว่าถึงจะพูดไปก็คงไม่มีประโยชน์ แถมยังจะทำให้เพื่อนที่นอนกรนต้องลำบากใจอีก ถึงยังไงโรคแบบนี้มันก็ไม่มีทางแก้ คิดว่าทำกลบเกลื่อนไปเสียดีกว่าเดี๋ยวก็ลืมกัน แต่จริง ๆ แล้วในใจก็แอบเคืองอยู่นิดหน่อยที่ตื่นไม่ไหว เลยอดได้ไปชมวิวชมเมืองกับเขา ความในใจนั้นสามารถเก็บซ่อนไม่ให้แพร่งพรายได้ก็จริง แต่สีหน้าแววตาของผมหน่ะสิครับกลับไม่สามารถเก็บได้ เวลามีเรื่องหงุดหงิดอารมณ์เสียเพื่อนเป็นจับได้ทุกครั้ง และมันกำลังจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ในอีกไม่ช้านี้
นอนอาบแดดริมธาร
คณะของเรามาแยกกันที่สถานีรถไฟ ผมกับเพื่อน(คนที่กรน)จะไปฟลอเรนซ์กันต่อ ส่วนอีกสองคนเขาจะไปสปากันแล้วค่อยนัดเจอกันอีกทีที่สเปน โดยมีเพื่อนคนไทยจากอัมสเตอร์ดัมอีกสองคนไปสมทบที่นั่น เมื่อไปติดต่อสำรองที่นั่งก็ต้องแอบดีใจเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเราไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมครับ โดยเจ้าหน้าที่เขาแจ้งว่าในสวิสเซอร์แลนด์ถ้ามีตั๋วยูเรลพาสต์แล้ว สามารถขึ้นรถขบวนไหนเวลาใดก็ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่จำเป็นต้องสำรองที่นั่งอีกด้วย (ยกเว้นขบวนพิเศษบางขบวนเช่น ขึ้นยุงค์เฟราด์ยอร์คต้องซื้อตั๋วแยกต่างหากใช้ยูเรลพาสต์ไม่ได้) เพื่อนผมขอแวะกลางทางที่ลูการ์โนซึ่งได้ยินมาว่าสวยมากผมก็ตกลงตามนั้น ทั้งที่ใจคอตอนนี้ไปรออยู่ที่ฟลอเรนซ์เรียบร้อยแล้ว
บ้านเรือนตามชนบทในสวิสฯ บางหลังเรียบง่ายคล้ายแถบบ้านเรา
และเป็นตอนนี้เองที่ผมได้รู้ซึ้งว่าอาจจะตัดสินใจพลาดไปที่ไม่แวะที่นี่ให้นานกว่านี้ แต่ก็เอาเถ่อะครับ หากว่ามีบุญวาสนาต่อกัน ซักวันเราจะต้องกลับมาเที่ยวที่นี่อีกให้ได้ แล้วสวิสจะไม่เป็นแค่เพียงทางผ่านอีกต่อไป
จ่ายเงินเสร็จเดินไปเจอเพื่อน พอเขารุ้เรื่องเท่านั้นหล่ะครับเอ็ดใส่ผมจนหูชาเลย เอาหล่ะสิครับตอนนี้ ในคณะของเราซึ่งเหลืออยู่แค่เพียงสองคน ความเห็นแตกเป็นสองฝ่ายเสียแล้ว ใจผมก็อยากจ่าย ๆ ให้จบไป ขอให้มีที่นั่งสบายไปตลอดสายก็พอ ส่วนเพื่อนก็บอกว่าไม่ต้องจ่ายก็ได้แพงขนาดนี้ ถึงยังไงบนรถก็น่าจะมีที่นั่งว่างเหลืออยู่บ้าง แล้วเลยต่อว่าผมอีกหลายเรื่องทั้งเรื่องกินเรื่องอยู่ ว่าผมชอบทำหน้าหงิกหน้างอ ว่าผมไม่รู้จักฟังใคร ฯลฯ ความรู้สึกผมตอนนั้นมันอัดอั้นจนสะกดไว้ไม่อยู่ เลยเดินหลีกไปนั่งหลบอยุ่ตรงตู้กระจกที่เค้าทำไว้ให้นั่งหลบลมรอรถ คิดแต่ว่าถ้าหายตัวไปจากตรงนั้นได้คงจะดีไม่น้อย เริ่มคิดถึงบ้าน เริ่มเหงา เริ่มมาท้อเอากลางทางเสียแล้ว
ผมเคยเล่าไปแล้วในบทก่อน ๆ ว่าการรถไฟบางประเทศนั้นเขาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มสำหรับตั๋วยูเรลพาสต์ ซึ่งอิตาลีก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมแพงครับ แถมบนขบวนรถก็สกปรกและผุ้โดยสารแออัดที่สุดเสียด้วย พวกเราโดนปรับบนรถจากลูการ์โนมามิลานประมาณ 30 ยูโรก็นึกว่าจบแล้ว พอถึงสถานีหลักที่มิลานเราเลยวิ่งขึ้นอีกขบวนเพื่อจะต่อไปฟลอเรนซ์โดยไม่ได้สำรองอีก ผู้โดยสารบนรถขบวนนั้นแน่นจนล้น เวลาตอนนี้ใกล้มืดค่ำ พวกผมเลยเอาไงเอากันเพราะเห็นฝรั่งอีกหลาย ๆ คนก็ไม่มีที่นั่งเหมือนเรา บ้างก็นั่งทับกระเป๋าบ้างก็ยืนไปทั้งอย่างนั้น ผมกับเพื่อนเลยพากันไปยืนแถวหน้าห้องน้ำหรือไม่ก็ตรงช่วงต่อระหว่างโบกี้ ย้ายกันไปย้ายกันมาสุดแล้วแต่ว่าใครจะมาเบียดมาไล่
แล้วกระเป๋ารถหรือนายตั๋วก็เดินมาครับ พอเขารู้ว่าพวกผมไม่ได้สำรองและไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมมาก่อนเท่านั้นแหล่ะ เขาก็รัวใส่เป็นชุด ๆ ด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาลีกระท่อนกระแท่น จับใจความได้ว่าต้องเสียค่าปรับเพิ่ม ทีนี้แกก็ใช้วิธีจดตัวเลขใส่กระดาษให้ดู เพื่อนผมเห็นก็ตกใจหน้าซีดร้องเสียงหลง ตกใจคิดว่าเขาเรียกเก็บตั้งสี่หมื่นหกพันยูโร พี่แกเล่นเอาคอมมาร์มาใช้แทนจุดทศนิยมแบบนี้ครับ 46,00 Euro แต่ผมมาสังเกตได้ตรงเลขศูนย์ซึ่งเขียนแค่สองตัวจึงเข้าใจว่าไม่น่าจะใช่(ยุโรปกับบ้านเราใช้สลับกันครับระหว่างคอมมาร์และจุดทศนิยม) เบ็ดเสร็จเสียค่าปรับตลอดสายเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นเกือบ 100 ยูโร จากเดิมที่ถ้ายอมจ่ายแค่ 50 ยูโรเรื่องก็จบแล้ว ก็เลยพูดเล่น ๆ ขำ ๆ ว่านี่คงเป็นตั๋วยืนที่แพงที่สุดในชีวิต
เรื่องสำรองที่นั่งจำเป็นหรือไม่จำเป็นนั้นต่อให้เถียงกันแทบตายยังไง แต่ถ้าไม่เจอแบบนี้คงจะยังหาทางลงไม่ได้ และตอนนี้มติที่แตกเป็นสองฝั่งก็ได้บทสรุปเป็นเอกฉันท์แล้วครับโดยปราศจากเงื่อนไข
และแล้วก็มาถึงฟลอเรนซ์จนได้ เรื่องวุ่น ๆ ของวันนี้ยังไม่จบนะครับ ยังมีความเปิ่นความฮาอีกนิดหน่อย ไว้แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกทีในบทต่อไปครับ
ตามความคิดนะ EuroRail อะแพงมาก ถ้าเทียบกับราคาตั๋วภายในประเทศนะของแต่ละประเทศ
ตอบลบตอบคุณโอลาริก ช่ายครับตั๋วภายในประเทศถูกมากแต่ก็เป็นรถ IC และที่นั่งชั้นสองใช่มั้ยครับ อันนั้นถ้าใช้ยูเรลไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเลย แต่ส่วนใหญ่ผมวิ่งระหว่างประเทศอ่ะครับตั๋วจะแพงกว่าแถมราคาจะแกว่งขึ้นลงเหมือนดัชนีตลาดหุ้น รอบที่แล้วผมซื้อตั๋ว 21 วัน 562 euro * 45 baht = 25,290/21 = 1,204 บาท ต่อวัน ถือว่าคุ้มมากครับเพราะใช้ทุกวัน วันละหลายเที่ยวโดยไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและตารางเวลา แถมมีบางวันขึ้นรถผิดขบวนยังนั่งกลับไปกลับมาสบายใจไปเลยครับ แล้วก็ประเทศที่เก็บค่าธรรมเนียมแพงมีแค่ฝรั่งเศสกับอิตาลีเท่านั้น เยอรมันเก็บไม่แพง นอกนั้นฟรีหมด ที่สำคัญได้นั่งเฟิร์สคลาสครับ (อย่าลืมว่าพวกผมต้องลากกระเป๋าสองใบหนักร่วม 30 กิโลกรัม ตลอดการเดินทาง จะให้ไปแย่งที่กับผู้โดยสารชั้นสองซึ่งแน่นมากคงไม่ไหว)
ตอบลบ