วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เบอร์ลิน แบ่งแยกแล้วหลอมรวม Berlin, Germany

      
       หลังจากพักผ่อนและเที่ยวอย่างสบาย ๆ ที่อัมสเตอร์ดัม วันนี้จะเป็นวันแรกที่พวกเราจะต้องออกผจญภัยกันเองแล้วหล่ะครับ กับเพื่อนผมดูท่าเขาคงจะไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ นั่นเป็นเพราะว่าเคยมาเที่ยวลักษณะนี้หลายทีแล้ว แต่สำหรับผมนั้นค่อนข้างตื่นเต้นทีเดียว เพราะนี่ถือเป็นการเดินทางไกลต่างบ้านต่างเมืองครั้งแรกในชีวิตเลยหล่ะครับ      
       อย่างที่เคยแจ้งให้ทราบในบทก่อน ๆ ว่าการมาเที่ยวยุโรปแบบวางแผนไปกันเองนั้น การเลือกซื้อตั๋วยูเรลพาสต์จากเมืองไทย ดูจะเป็นตัวเลือกที่สะดวกที่สุด เพราะว่าเราสามารถที่จะเดินทางไปที่ไหนเวลาใดก็ได้ และที่สำคัญไม่จำกัดจำนวนเที่ยวเสียด้วยสิครับ จากที่แจ้งไปแล้วว่าในการใช้ตั๋วแต่ละครั้ง เราจำเป็นจะต้องสำรองที่นั่งก่อน เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะได้นั่งไปจนถึงปลายทาง ซึ่งในบางประเทศที่เขาไม่เคร่งครัดนักก็ไม่จำเป็นหรอกนะครับ แต่สำหรับการเดินทางจากอัมสเตอร์ดัมไปเบอร์ลินนั้นค่อนข้างจำเป็นทีเดียว
       ด้วยความที่พวกเรายังไม่เคยมีประสพการณ์กับการเดินทางแบบนี้มาก่อน จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญตรงจุดนี้ เพราะคิดว่ายังไงเสียบนขบวนรถคงจะมีที่นั่งว่าง ต่อเมื่อขึ้นไปบนนั้นแล้วถึงได้รู้ว่าแต่ละที่มีคนจองไว้เกือบหมดแล้ว โดยเขาจะมีป้ายไฟขึ้นโชว์เลยครับว่าตรงไหนว่าง ตรงไหนไม่ว่าง เราสองคนเลยต้องเดินลากกระเป๋าหาที่นั่งว่างเป็นนานกว่าจะเจอ แต่พอนั่งไปได้สักพักหนึ่ง เมื่อถึงสถานีกลางทางที่เขาจอดรับคนเพิ่ม ก็จะมีเจ้าของที่นั่งตัวจริงมาคอยไล่ที่พวกเราให้ย้ายอีกที ก็เลยต้องย้ายไปย้ายมาเหมือนเก้าอี้ดนตรีหล่ะครับ
       ออกจากอัมสเตอร์ดัมประมาณสิบโมงเช้า กว่าจะมาถึงเบอร์ลินก็ปาเข้าไปบ่ายสี่ ใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร โชคดีหน่อยเพราะขบวนที่นั่งมาเป็นสายตรงถึงเบอร์ลินโดยไม่ต้องต่อรถหลายเที่ยว อาหารเที่ยงของวันนี้เราใช้วิธีซื้อแฮมเบอร์เกอร์จากแถวชานชาลาขึ้นไปกินกันบนรถกันครับ ตู้โดยสารชั้นหนึ่งจะแบ่งเป็นห้องค่อนข้างเป็นส่วนตัว ตอนนั้นผู้โดยสารแปลกหน้าที่อยู่ห้องเดียวกันกับพวกเราเป็นสาวเกาหลีท่าทางเงียบ ๆ คนหนึ่ง
       เมื่อเห็นเขามาคนเดียวผมก็เลยชวนคุยบ้างนิดหน่อย เธอบอกว่าตั้งใจจะท่องยุโรปไปเรื่อย ๆ ซักเดือนกว่า ๆ แล้วค่อยกลับ พอผมถามเรื่องวีซ่าเค้าก็ทำหน้างงว่าวีซ่าคืออะไร ต้องอธิบายกันเป็นนานกว่าจะยอมเข้าใจ ปรากฏว่าของเค้าไม่ต้องขอวีซ่าครับ ใครอยากมาก็มาอยากไปก็ไป ขอเพียงแต่อย่าอยู่เกินกำหนดจากข้อตกลงก็พอ ฟังแล้วก็แค้นใจแทนคนไทยจังครับ อยากจะไปเที่ยวกันทั้งทีมันช่างแสนยากเย็น ได้ยินว่าสมัยก่อนคนไทยก็ไม่ต้องขอวีซ่าอะไรให้มันวุ่นวายขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าหล่ะครับคงจะมีใครไปทำเสียไว้เย๊อะ หลัง ๆ มาเขาเลยต้องเข้มงวดอย่างที่เห็น
       เมื่อถึงปลายทางที่สถานีรถไฟของเบอร์ลินแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง อะไรมันช่างใหญ่โตอลังการขนาดนั้น เรียกได้ว่าน้อง ๆ อาคารหลักในสวรรณภูมิเลยหล่ะครับ ชุมทางแต่ละสายอยู่ซ้อนกันไปเป็นชั้น ๆ พวกเราต้องลากกระเป๋ากันอยู่นานกว่าจะถึงทางออก ความที่พึ่งจะเคยมาเมืองนี้เป็นครั้งแรกด้วยกันทั้งคู่ พวกเราจึงตัดสินใจนั่งแท็คซี่กันครับ
       รถแท็คซี่ที่นี่เป็นแบบมิเตอร์เหมือนบ้านเรา ตัวเลขที่วิ่งถึงจะน้อยหลักกว่าแต่พอแอบคูณแล้วใจหาย ตลอดทางก็นั่งลุ้นไปด้วยว่าขอให้ถึงไว ๆ เบ็ดเสร็จแล้วจ่ายค่าแท็คซี่ไปห้าร้อยกว่าบาท เมื่อคำนวนดูแล้วหากต้องเสียค่ารถอย่างนี้ทุกครั้งคงหมดตัวกันก่อนเป็นแน่ ระหว่างทางรถพาเราแล่นผ่านเข้าไปในเขตที่อยู่อาศัยในฝั่งตะวันออก ซึ่งยังมีกลิ่นอายของยุคคอมมิวนิสต์อยู่มาก เห็นอย่างนั้นแล้วชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่าที่มาเที่ยวที่นี่ สองข้างทางเห็นมีแต่ตึกเก่าทรงเหลี่ยมดูร้าง ๆ ผิดจากที่คิดฝันเอาไว้ก่อนหน้านี้มากทีเดียวเลยหล่ะครับ ความเป็นอยู่ของผู้คนแถบนี้ในสมัยก่อนคงจะยากแค้นน่าดู ไม่งั้นคงไม่มีใครยอมเสี่ยงตายข้ามกำแพงเบอร์ลินไปฝั่งตะวันตกเป็นแน่


โบสถ์ไคเซอร์ วิลเฮล์ม เมโมเรียลยามพลบค่ำ

       ถึงโรงแรมที่พักก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว แต่ในยุโรปช่วงปลายหน้าร้อนกว่าจะมืดจริง ๆ ก็เกือบสามทุ่ม เมื่อเห็นว่าฟ้ายังสว่างโร่อยู่เราสองคนจึงชวนกันเดินเที่ยว โชคดีที่หน้าต่างห้องพักหันไปทางหอสัญญาณโทรคมนาคมที่ถือเป็นแลนด์มาร์คของเมืองพอดี เลยทำให้พวกเราจับทิศทางที่จะเดินไปได้ถูก แผนที่ฟรีเค้าก็มีแจกตรงเคาท์เตอร์โรงแรมครับ เมื่อสอบถามขอคำแนะนำนิดหน่อยจากพนักงานแล้วก็พากันออกเดิน แต่รู้สึกติดใจพนักงานโรงแรมอยู่นิดหน่อย ตรงที่เขาไม่รู้ว่าทิศทางเหนือใต้เป็นยังไง เทคโนโลยีอย่างทุกวันนี้ช่างทำให้มนุษย์เราหลงลืมภูมิปัญญาดั้งเดิมไปได้จริง ๆ
       แหล่งท่องเที่ยวตามเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรปนั้นดีอย่างตรงที่จะอยู่ใกล้ ๆ กันเป็นกลุ่ม แต่ละเมืองก็จะมีเซ็นเตอร์หลักแค่เซ็นเตอร์เดียว เรื่องนี้ฝรั่งมาบ้านเราจะงงมาก ผมเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกางแผนที่ขึ้นรถเมล์ที่กรุงเทพฯ แล้วเข้ามาถามผมว่า "จะไปเซ็นทรัลได้ยังไง ลงรถตรงไหน" ผมก็ถามเค้ากลับไปว่า "คุณจะไปเซ็นทรัลสาขาไหนหล่ะเพราะมันมีหลายสาขา" เธอก็แย้งว่าไม่ได้จะไปห้างแต่จะไปเซ็นทรัลของเมือง เราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะเซ็นทรัลอย่างที่เค้าหมายความถึงนั้นบ้านเราไม่มี


จัตุรัสอเล็กซานเดอร์

       จากโรงแรมพวกผมก็เดินตรงมาเรื่อย ๆ โดยมีเสาโทรคมนาคมเป็นหลัก เวลาตอนนั้นก็ถือว่าโพล้เพล้แล้วแต่ก็ยังมีแดดอยู่ ถึงแม้จะยังสว่างแต่ห้างร้านปิดให้บริการกันหมดแล้วหล่ะครับ เดินผ่านบางช่วงที่เปลี่ยว ๆ ก็นึกกลัวอยู่เหมือนกัน ผมเคยอ่านเจอในหนังสือนำเที่ยวว่ายังมีพวกนาซีเก่าและพวกเหยียดเชื้อชาติหลงเหลืออยู่บ้างในเยอรมัน เวลาเดินหากมีฝรั่งมองตามก็เลยรู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่ทุกครั้ง
       เราเดินไปจนถึงประตูบรันเดนบร์วกก็พอดีมืดเลยพากันกลับ ระหว่างทางเห็นร้านอาหารจีนแบบเทคอะเวย์ยังเปิดอยู่เลยแวะเข้าไปอุดหนุน รสชาติก็ใช้ได้ครับ ที่สำคัญเจ้าของร้านและพ่อครัวดันเป็นฝรั่งผมทองไปซะนี่ พอหยิบซอสมาเหยาะเห็นยี่ห้อคล้ายไทยแล้วแอบดีใจว่าของบ้านเราได้โกอินเตอร์ แต่พอดูดี ๆ กลับกลายเป็นของเวียดนามไปเสียได้ เลยแอบนึกขำ ๆ ว่าแล้วอย่างนี้เราจะไปร้องเรียนเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์กับเขาได้หรือเปล่า     


การล่องเรือชมเมืองในแม่น้ำสปรี

     วันรุ่งขึ้นพวกเราตกลงกันว่าจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กัน เมืองเบอร์ลินเป็นอีกเมืองหนึ่งที่อุดมไปด้วยพิพิธภัณฑ์ใหญ่ ๆ และสาเหตุหลักที่พวกเราพากันตัดสินใจดั้นด้นมาที่นี่ ก็เพราะว่าอยากจะไปดูกำแพงเมืองบาบิโลนให้เห็นกับตากันครับ กำแพงที่ว่านี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ 'แพร์การ์มอน' ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำสปรี ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงทั้งวิหารกรีก กำแพงเมืองบาบิโลน แล้วก็โบราณวัตถุชิ้นใหญ่ยักษ์จากทั้ง กรีก โรมัน และเปอร์เซีย วิธีการจัดแสดงก็คือเค้าจะเอาวิหาร กำแพงเมือง และอะไรต่าง ๆ มาสร้างไว้แล้วก็สร้างอาคารหลังใหญ่ครอบทับอีกที ต้องยอมรับเขาเลยหล่ะครับเรื่องไอเดียและความอลังการ ชื่อของพิพิธภัณฑ์นี้ได้มาจากชื่อวิหารกรีกที่นำมาจัดแสดงไว้ที่นี่นั่นเอง 
      ในบริเวณเดียวกันบนเกาะยังมีพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่ง หากจะดูให้ทั่วถึงทั้งหมดคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวัน แต่ด้วยเวลาอันจำกัดพวกเราเลยเลือกเข้าชมแต่แพร์การ์มอนที่เดียว แค่นี้ก็ต้องเดินกันจนขาลากแล้วหล่ะครับ ในนั้นมีทั้งวิหารแพร์กามอน กำแพงเมืองบาบิโลนและประตูอิซตาร์(ชื่อประตูเมืองหนึ่งของบาบิโลนที่นำมาแสดง, อิซตาร์แปลว่าตลาดครับ) อีกทั้งเครื่องประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมจากเปอร์เซียหรือว่าอิหร่านในปัจจุบัน รวมไปถึงกำแพงพระราชวังฤดูร้อนจากตุรกีด้วยครับ



วิหารแพร์การ์มอนและส่วนแต่งที่สลักเป็นเรื่องเทพปกรณัมของกรีก

       หลายท่านอาจจะสงสัยว่าโบราณวัตถุชิ้นใหญ่ ๆ เหล่านี้นำมาจัดแสดงได้ยังไงในเยอรมัน พวกเขาใช้วิธีขโมยมาหรืออย่างไรกัน ข้อสงสัยนี้ผมก็เคยนึก ๆ อยู่เหมือนกันครับ เลยลองไปค้นคว้าข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตดู ก็ได้ความว่ากำแพงเมืองบาบิโลนนั้นได้มาจากสัญญาข้อแลกเปลี่ยนที่เยอรมันมีต่ออิหร่าน ในการเข้าไปค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับอาณาจักรเปอร์เซียโบราณที่นั่น แล้วได้มีการค้นพบซากเมืองและโบราณวัตถุจำนวนมาก เยอรมันเลยขอแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อนำมาจัดแสดงที่นี่ ซากกำแพงเมืองนั้นเรียกได้ว่าต้องขนอิฐมาเป็นก้อน ๆ เลยทีเดียวครับ แล้วจึงค่อยประกอบกันขึ้นมาใหม่ที่นี่ ยังมีกำแพงและประตูที่หลงเหลืออีกหลายส่วนในอิหร่าน และเห็นว่ารัฐบาลอิหร่านเองก็พยายามที่จะประกอบมันขึ้นมาใหม่เหมือนกัน แต่ด้วยเหตุผลด้านเทคโนโลยีหรือความไม่สงบภายในประเทศอย่างไรไม่ทราบ โครงการนั้นเลยยังต้องพับและถูกดองไว้ก่อนอย่างไม่มีกำหนด ส่วนวิหารแพร์การ์มอนนั้นแรกพบอยู่ที่ตุรกีเป็นเพียงแค่เศษซากปรักหักพังที่เค้ากำลังจะเอาไปถมทำทางรถไฟครับ โดยบริษัทเยอรมันที่ได้รับสัมปทานทำทางรถไฟในตุรกีขณะนั้นเป็นผู้ค้นพบ ก็เลยได้วิหารหลังนี้มาด้วยข้อสัญญาแลกเปลี่ยนอีกเช่นกัน ส่วนกำแพงพระราชวังฤดูร้อนอีกอันหนึ่งนั้นพระเจ้าไกเซอร์ของเยอรมันได้รับเป็นของขวัญจากสุลต่านตุรกีมาตั้งแต่ยุคจักรวรรดิเก่านู้นแล้วหล่ะครับ       


ประตูอิซตาร์

ส่วนหนึ่งของกำแพงพระราชวังฤดูร้อนจากตุรกี

แผ่นอิฐเผาเคลือบรูปสิงห์ที่ประดับกำแพงเมืองบาบิโลน

       แต่ทว่าก็ยังมีโบราณวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ที่โด่งดังมากระดับโลกอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเยอรมันใช้วิธีลักลอบนำเข้ามา แต่จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่งซึ่งกำลังปิดปรับปรุงอยู่ โบราณวัตถุชิ้นที่ว่านั้นมาจากอียิปต์ครับ แล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าโบราณสถานหลังใหญ่ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แพร์การ์มอนทุกหลังรวมกันเสียอีก ของชิ้นนั้นก็คือพระเศียรของพระนางเนเฟอร์ตีติไงครับ ผมได้ข่าวมาเหมือนกันว่าทางรัฐบาลอียิปต์กำลังดำเนินเรื่องขอคืน ก็คงต้องดูกันต่อไปนะครับว่าสุดท้ายแล้วพระนางจะได้เสด็จกลับอียิปต์หรือไม่
       มาพูดถึงเรื่องกำแพงเมืองบาบิโลนกันต่อนะครับ กำแพงแห่งนี้น่าทึ่งตรงที่ว่าชาวเมืองในยุคนั้นเขามีวิวัฒนาการล้ำหน้ากว่าชนชาติอื่นในยุคเดียวกันมาก เพราะสามารถเผาอิฐเคลือบเป็นสีฟ้าเทอร์คอยท์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเครื่องปั้นดินเผาของที่อื่นร่วมยุคเดียวกันนั้นยังเป็นดินเผาเนื้อหยาบแบบธรรมดากันอยู่เลยครับ กำแพงเมืองบาบิโลนนั้นจะว่าไปถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งยุคโบราณที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าสวนลอยในตำนานเสียอีก (ส่วนสวนลอยที่ว่า จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้แน่ว่าเคยมีอยู่จริงหรือเปล่า)


อาคารรูปทรงทันสมัยริมฝั่งแม่น้ำสปรี

       หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ทั่วแล้วพวกเราก็พากันย้อนเลียบเลาะชายฝั่งแม่น้ำสปรีมาเรื่อย ๆ จนถึงอาคารที่ทำการรัฐสภา(ไรท์สตาร์ค) ซึ่งแต่เดิมโดมหลังคาเป็นแบบเรอเนสซองค์ แต่โดนระเบิดทำลายและไฟไหม้ได้รับความเสียหาย เมื่อทำการบูรณะใหม่จึงมีรูปแบบเป็นโดมแก้วอย่างที่เห็น พอทราบว่าเขาเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมฟรีพวกเราจึงไม่รีรอรีบเข้าไปต่อคิว ซึ่งก็ใช้เวลารอนานร่วม ๆ ชั่วโมงเลยเหมือนกันครับกว่าจะได้ขึ้น ทางการเขาค่อนข้างกวดขันกันมากทีเดียวเรื่องความปลอดภัย แต่เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนก็พูดได้เต็มปากเลยหล่ะครับว่าคุ้มค่าแก่การรอคอย  หลังคาโดมทำทางเดินเป็นวงโค้งไปจนถึงยอดสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเบอร์ลินได้ 360 องศา มุมมองจากข้างบนทำให้พวกเรากะทิศทางและตัดสินใจกันถูกว่าจะเดินไปเที่ยวทางไหนต่อ บริเวณด้านหน้าของตึกรัฐสภาแห่งนี้เป็นสวนสาธารณะซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเรียกว่าเป็นสวนป่ามากกว่า มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลถึงหนึ่งในสี่ของเมืองทีเดียว อากาศวันนี้ครึ้ม ๆ เหมาะแก่การเดินเป็นอย่างยิ่ง พวกเราเลยพากันไปเดินเล่นในสวนกันต่อครับ



แกนกลางของโดมแก้วเป็นกระจกเงาทำหน้าที่สะท้อนแสงเข้าไปภายในห้องประชุมรัฐสภาเบื้องล่าง นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ตวงและกักเก็บน้ำฝนสำหรับใช้ในตึกด้วยครับ

ตึกรัฐสภาไรซ์สตากและโดมแก้วชั้นบนสุดของอาคาร

       ทริปนี้ที่เบอร์ลินเป็นทริปเดินเท้าอย่างแท้จริง อากาศเย็นกำลังดี แดดก็ร่ม ลมก็พัดเอื่อย ที่สำคัญคือไม่กล้าขึ้นรถกันหรอกครับ เหตุเพราะพึ่งจะเคยมาครั้งแรกเลยกลัวหลง อีกอย่างก็กลัวแพงด้วยครับเลยเดินมันไปทั้งวันอย่างนั้น พอหิวขึ้นมาก็อาศัยร้านฟาสต์ฟู้ดจำพวกแม็คโดนัลด์หรือเบอร์เกอร์คิงซึ่งมักจะมีเสมอตามแหล่งท่องเที่ยว เคยพยายามมองหาพิซซ่าฮัทกับเคเอฟซีเหมือนกันแต่ไม่เจอครับ ไม่รู้ว่าทำไมไม่มีมาเปิดตลาดในยุโรปก็ไม่ทราบ ไปเบอร์ลินทั้งทีถ้ามีเวลาอยากจะแนะนำให้ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะของเขาดูนะครับ ภายในสวนร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยและทะเลสาบ การจัดวางองค์ประกอบให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในป่าจริง ๆ ตอนอยู่อัมสเตอร์ดัมพี่เขาก็แนะนำมาว่าควรจะไปเที่ยวแถวย่านเมืองใหม่ของเบอร์ลินซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย แต่พวกเราไม่ชอบช็อปปิ้งแล้วอีกอย่างก็เดินจนเส้นชักจะเริ่มตึงแล้วด้วย เมื่อเห็นว่าไปต่อไม่ไหวแล้วจึงพากันกลับ กลางทางก็แวะถ่ายรูปกันที่ประตูบรันเดนบร์วกอีกนิดหน่อยแล้วจึงบ่ายหน้ากลับห้องพักด้วยความเหนื่อยอ่อน
       เบอร์ลินและชาวเบอร์ลินถือเป็นเหยื่อของผลพวงแห่งความแตกแยกอย่างแท้จริงครับ นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทำให้เยอรมันถูกแบ่งแยกและปกครองโดยมหาอำนาจสองฝั่ง ซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ส่งผลให้ก่อเกิดกำแพงเบอร์ลินขึ้นเพื่อกันประชาชนของตนไม่ให้ไปมาหาสู่กันได้ ชาวเบอร์ลินต้องต่อสู้ฝ่าฟันเสียทั้งเลือดเนื้อและชีวิตอีกมากมาย กว่าจะทลายกำแพงแห่งนี้ลงได้ สำหรับผมแล้วประวัติศาสตร์มีไว้ให้เราเรียนรู้และจดจำครับ ทุกวันนี้ก็ได้แต่หวังว่าพวกเราคนไทยจะรู้ทันและไม่หลงเป็นเหยื่อ ต้องแตกแยกกันเองเพราะอุดมการณ์จอมปลอมและผลประโยชน์หลอก ๆ จากใครคนหนึ่ง ก็ได้แต่หวังไว้ลึก ๆ ในใจหล่ะครับ หวังว่าคนไทยคงจะไม่โชคร้ายขนาดนั้น
       วันนี้จบวันในเบอร์ลินด้วยความเครียดและเหนื่อยล้า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องไปกันต่อแล้วหล่ะครับ จุดพักต่อไปคือฮัมบรูกซ์ ที่ว่าเป็นจุดพักก็เพราะมีคนรู้จักอยู่ที่นั่นอีกสองคนครับ เรื่องที่เที่ยวและอาหารการกินก็คงจะสะดวกสบายกว่านี้ คืนนี้กะเอาไว้ว่าถ้าหัวถึงหมอนก็คงหลับเป็นตาย แต่ก็ต้องรีบหลับให้ได้ก่อนเพื่อนผมนะครับ เคยพยายามหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ รายนั้นไม่รู้ทำบุญด้วยอะไรพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย ส่วนผมก็ไม่รู้ว่าทำบาปมาด้วยอะไรถึงได้หลับยากหลับเย็น พอมาเจอเพื่อนร่วมห้องนอนกรนอีกก็เลยดูเหมือนหลับยากกว่าเดิมอีกหลายเท่า แต่เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไรหรอกครับ การเดินทางครั้งนี้ยังมีเรื่องราวน่าตื่นเต้นให้ได้คิดได้ฝันถึงอีกมากมาย แล้วผมจะทยอยเล่าให้ฟังในบทต่อ ๆ ไปนะครับ

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น