สวัสดีครับ หลังจากบทก่อน ๆ ที่เราได้คุยกันถึงเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก่อนการเดินทาง วันนี้ผมจะพาทุกคนตะลุยเที่ยวกันแล้วนะครับ เมืองแรกที่จะพาไปเยือนคืออัมสเตอร์ดัม(Amsterdam) เป็นเมืองที่ผมได้มีโอกาสแวะเยือนบ่อยที่สุด แต่ก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองนี้น้อยที่สุดอีกเช่นกัน เหตุที่มาเยือนบ่อยก็เพราะมีพี่คนรู้จักที่นับถือกันเขาเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นี่ เวลาไปเที่ยวยุโรปแต่ละครั้งเลยได้อาศัยใช้เมืองนี้เป็นที่ตั้งหลัก ส่วนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเมืองนี้เลยก็เพราะพี่เค้าอีกเช่นกันที่คอยเป็นไกด์นำเที่ยว คอยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ทำให้ผมพลอยสบายไม่ต้องค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองนี้ไงครับ
พวกเรามาถึงอัมสเตอร์ดัมด้วยใจอันระทึก เพราะเพียงแค่ก้าวแรกที่เหยียบย่างลงบนสนามบินสกิปโพล(Schiphol) อยู่ ๆ ผู้หญิงผิวสีที่อุ้มลูกเดินนำไปก็ล้มลงแล้วชักดิ้นชักงออยู่ตรงหน้า ผมได้แต่ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก เหลียวไปหาเพื่อนก็เดินนำลิ่วไปไกลแล้ว จังหวะนั้นเองเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินกรูกันเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ผมจึงเดินผละจากมาแล้วก็รีบวิ่งตามเพื่อนไป มิน่าเล่าเมื่อคืนนี้ตอนอยู่บนเครื่องเขาถึงได้ประกาศหาหมออยู่เป็นระยะ คงเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้เองที่ร่วมทางกันมาแล้วเกิดอาการกำเริบตั้งแต่ตอนนั้น
รถม้าชมเมืองที่เห็นมีให้บริการอยู่ทั่วไป
พี่เขามารอรับพวกเราอยู่ก่อนแล้วที่สนามบิน อากาศที่นั่นช่วงปลายฤดูร้อนเย็นสบายเหมือนบนดอยอินทนนท์ แสงแดดถึงแม้จะยังคงจัดจ้า แต่ลมหนาวต้นฤดูก็เย็นเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน และแล้วก็มาถึงบ้านพักซึ่งเป็นตึกแถวสูง 4 ชั้นตั้งอยู่ริมคลอง งานหนักงานแรกเมื่อมาถึงที่นี่ก็คือการลากกระเป๋าขึ้นบ้านครับ เกิดมาพึ่งเคยเห็นบันไดที่ทั้งแคบและชันขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
สภาพบ้านเมืองในอัมสเตอร์ดัมมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ จะเป็นตึกแถวสูง 4-5 ชั้นเรียงกันไปตามแนวถนนและคลอง หลังคาหน้าจั่วของทุกหลังจะมีตะขอเหล็กอันใหญ่ยื่นออกมา มีไว้สำหรับแขวนรอกขนของขึ้นบ้าน ซึ่งแต่เดิมนั้นชาวดัชต์จะประกอบอาชีพค้าขายเป็นหลัก พื้นที่ภายในบ้านจึงเน้นเพื่อการใช้สอยและเก็บสินค้า ดังนั้นบันไดจึงแคบและสูงชันมาก การขนของขึ้นบ้านจึงใช้วิธีชักรอกเข้าทางหน้าต่างแทน หลังจากขนกระเป๋าขึ้นไปเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าบ้านเขาก็พาเดินชมเมืองกันเลยหล่ะครับ
บ้านเรือนตามซอกเล็กซอยน้อยในอัมสเตอร์ดัม ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นแท่งเหล็กสำหรับชักรอดยื่นออกมาจากหน้าตึกชั้นบนสุดของทุกห้อง
อัมสเตอร์ดัมมาจากคำว่า Amstel(ชื่อแม่น้ำ) บวกกับคำว่า Dam(ที่แปลว่าเขื่อน) รวมกันเป็นAmsteldam แล้วจึงเพี้ยนมาเป็น Amsterdam ในที่สุด ส่วนความหมายก็ง่าย ๆ แต่ลงตัวว่า เขื่อนบนแม่น้ำอัมสเทลนั่นเอง
ลักษณะการสัญจรในอดีตจะเน้นทางเรือเป็นหลักเหมือนที่กรุงเทพฯและเวนีซ แต่ที่ดูจะแปลกตากว่าสำหรับคนต่างถิ่น ก็คือเรือขนสินค้าลำใหญ่สามารถแล่นเข้ามาในคลองแคบ ๆ ได้สบาย ชนิดที่เรียกได้ว่ากราบเรือเบียดพอดีกับตลิ่งเลยทีเดียวครับ แต่นานวันเข้าเมื่อการสัญจรทางบกทวีความสำคัญขึ้น คลองหลายสายในเมืองจึงโดนถมเพื่อทำถนน แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังพบเห็นคลองเล็กคลองน้อยได้ทั่วไป

จากหน้าต่างชั้นบนของบ้านจะเห็นเรือลำใหญ่แล่นผ่านในคลองแคบ ๆ อยู่เป็นระยะ
ด้วยถนนที่แคบและมีจำกัดชาวเมืองเลยนิยมใช้วิธีปั่นจักรยานเอา ตอนมาเที่ยวที่นี่ครั้งแรกภาพที่เห็นจึงค่อนข้างแปลกตาสำหรับผม เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนแต่งตัวทมัดทะแมงสวยงามปั่นจักรยานกัน ส่วนจักรยานนั้นเล่าก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งสำหรับขนของ ทั้งแบบพ่วงด้วยรถกระป๊อสำหรับขนเด็ก เรียกได้ว่าหลังจากสิ้นสุดยุคคอมมิวนิสต์ในจีน ก็มีอัมสเตอร์ดัมนี่แหล่ะครับที่เป็นเมืองหลวงของการปั่นจักรยานอย่างแท้จริง ส่วนการโจรกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยที่นี่ก็คือการขโมยจักรยานอีกเช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่จอดจักรยานทิ้งไว้ เจ้าของจึงต้องหาโซ่มาคล้องล็อคติดกับราวเหล็กที่เขาจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
แล้วในตอนค่ำพี่เขาก็พาไปเดินเที่ยวหนึ่งในไฮไลต์ของเมือง ที่แขกไปใครมาก็ต้องพากันไปเดินนั่นก็คือย่านโคมแดง(Red Light District)ครับ อัมสเตอร์ดัมนั้นถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีสีสันและเสรีภาพมากที่สุดในยุโรป เรียกได้ว่าทำเอาคนหัวเก่าอย่างพวกเราบางคนอ้าปากค้างได้เลยครับ ย่านโดมแดงของที่นี่เลื่องชื่อและเปิดเผยที่สุด กล่าวคือจะเป็นห้องแถวติดกระจกเรียกว่าบ๊อกซ์ตั้งเรียงกันไปตามความยาวถนน แต่ละบ๊อกซ์ก็จะมีสินค้า ซึ่งก็คือ'คน'โชว์อยู่ข้างใน บ๊อกซ์ละคนไม่ปะปนกัน แต่ละคนก็จะมีการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบ บางนางก็จะออกแนวแม่บ้านแม่เรือน เอางานฝีมือประเภทเย็บปักถักร้อยมานั่งทำฆ่าเวลาขณะรอแขก บางนางก็แต่งตัวเปรี้ยวเข็ดฟันพร้อมอุปกรณ์อำนวยความเสียวเป็นเครื่องประกอบฉาก ส่วนสนนราคาก็มีหลากหลายขึ้นอยู่กับบริการหรือออพชั่นและการต่อรองครับ เมื่อตกลงราคาได้แล้วก็รูดม่านปิดด้านหน้าไว้ ก็เป็นอันเข้าใจว่าเจ้าของบ๊อกซ์นี้ไม่ว่างแล้ว หากสนใจให้กลับมาใหม่หรือไม่ก็เชิญเลือกซื้อเลือกชมสินค้าบ๊อกซ์ถัดไป แต่ถ้าสนใจสินค้าบ๊อกซ์นี้จริง ๆ ค่อยวกกลับมาใหม่อีกซักชั่วโมง ประมาณนั้น
ร้านเซ็กส์ช็อปที่เปิดขายกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่ทั่วไป
โดยบริเวณที่มีการซื้อขายยาเสพติดหนาแน่นที่สุดคือย่านโคมแดงนี่เอง ตลอดเวลาที่เดินเล่นอยู่บริเวณนั้น ก็จะมีทั้งฝรั่งบ้างคนดำบ้างท่าทางกุ๊ย ๆ เดินมาเฉียดพร้อมถามเราว่า Coke? Ecstacy? คนที่ไม่รู้เรื่องอาจจะคิดว่าเค้ามาถามขายน้ำอัดลม หากเผลอตอบ Yes ไปหล่ะก็เป็นเรื่องเลยหล่ะครับ
ร้านค้าอีกประเภทหนึ่งที่มีอยู่ทั่วไปในอัมสเตอร์ดัม ก็คือร้านขายอุปกรณ์อำนวยความเสียวหรือ Sex Shop ร้านค้าประเภทนี้จะตั้งหน้าตั้งตาขายอยู่เรื่องเดียวเลยครับคือเรื่อง Sex มีทั้งแบบเน้นเป็นสาระจริงจัง และแบบเน้นฮาพอขำ ๆ ซึ่งอย่างหลังนี้จะเป็นที่ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรามากกว่า ร้าน Sex Shop อย่างแรกจะเน้นของที่ใช้งานได้จริง ทั้งหนังโป๊ระดับฮาร์ดคอร์ เสื้อผ้า แส้หนัง อุปกรณ์ประกอบกิจ ฯลฯ ส่วนร้านอย่างหลังจะเน้นของใช้ของตกแต่งที่ออกแนวทะลึ่ง ๆ มากกว่าครับ ก่อนกลับเมืองไทยทุกครั้งพวกผมจะต้องแวะไปร้านแบบนี้แล้วซื้อของฝากทะลึ่ง ๆ มาฝากเพื่อนสนิทที่ห่าม ๆ ด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับเลยครับ
ที่ราบทำกสิกรรมส่วนใหญ่ของประเทศที่แต่เดิมเป็นทะเลสาบหรือหนองบึง
เช้าวันถัดมาพี่เขาพาไปเที่ยวบ้านของเพื่อนบนเกาะเทียมกลางทะเล ที่ว่าเป็นเกาะเทียมก็เพราะเกิดจากฝีมือมนุษย์ล้วน ๆ ครับ เกาะนี้เกิดจากการถมทะเลสร้างขึ้นมา และดูท่าว่าจะเป็นแม่แบบของโครงการใหญ่ยักษ์ที่ดูไบ หรืออาจจะรวมไปถึงในอ่าวไทยของเราด้วยหล่ะครับ(ถ้าเกิดว่าใครบางคนบ้าจี้ทำตามเค้าจนสำเร็จขึ้นมา) แต่เกาะเทียมที่นี่สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการจริง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อสนองตัณหาอันฟุ้งเฟ้อของพวกเศรษฐีเหมือนที่ดูไบ แต่ถึงกระนั้นราคาบ้านแต่ละหลังก็ยังทะยานไปถึงหลักล้าน(ยูโร) จากที่ฟังเขามาโครงการนี้ค่อนข้างประสพความสำเร็จดีทีเดียวครับ เพราะเห็นว่ามีการเริ่มเฟสใหม่ ๆ กันแทบไม่ทัน สิ่งที่น่าชมเชยของเขาอีกอย่างก็คือ ความพร้อมในเรื่องสาธารณูปโภคที่มีการจัดเตรียมไว้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น น้ำ ไฟ โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต รถไฟใต้ดิน รถเมล์ ฯลฯ
มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งประมาณว่า "พระเจ้าสร้างโลก แต่ชาวดัชต์สร้างเนเธอร์แลนด์" ซึ่งหากว่าเราได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนี้แล้ว จะพบว่าคำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงไปเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขังและต่ำกว่าระดับน้ำทะเล พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ตลอดช่วงประวัติศาสตร์คิดหาวิธีจัดการกับปัญหานี้ ด้วยการสร้างเขื่อนและคันดินกั้นเป็นชั้น ๆ แล้วใช้กังหันลมเป็นตัวช่วยในการวิดน้ำออก ด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงจัดการปัญหาน้ำท่วมขังได้ ทำให้มีพื้นที่เพาะปลูกทำเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นทีละนิดละหน่อย จนสามารถสร้างเป็นประเทศได้อย่างในปัจจุบันนี้ไงครับ
กังหันลมสำหรับวิดน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูก
ในการไปเที่ยวแต่ละครั้งนั้นผมจะเน้นการเปิดหูเปิดตา ดูสภาพบ้านเมือง ผู้คน ศิลป วัฒนธรรม และความเป็นอยู่ ส่วนเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูล ตัวเลข สถิติหรือประวัติศาสตร์จะไม่ค่อยเน้นครับ เอาเป็นว่ารู้คร่าว ๆ พอสังเขปก็พอ ไม่ได้ตั้งใจเก็บรายละเอียดมากนัก เพราะกลัวจะเครียดและเหนื่อยจนเกินไป แม้ในบางสถานที่อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์หรือปราสาทราชวัง ที่มักจะมีอุปกรณ์หูฟังสำหรับคำบรรยายภาษาต่าง ๆ ให้บริการเสมอ ภาษาที่บรรยายนั้นเล่าก็หลากหลายทั้งจีน ญี่ปุ่น แขก เกาหลี แต่ก็ไม่ยักเห็นมีภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษนั่นเล่าก็งู ๆ ปลา ๆ ลำพังจะพูดกับใครก็แทบจะไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว พวกเราก็เลยแก้ปัญหาด้วยการเสพทางสายตาก็พอ ถ้าเกิดติดใจสงสัยในเรื่องไหนค่อยมาหาข้อมูลย้อนหลังทางอินเตอร์เน็ตเอาจะสะดวกกว่าครับ

Den Haag
โบสถ์สวยที่เดลฟท์
ตึกหน้าตาน่ารักที่เดลฟท์
ในตอนค่ำพวกเรามีโปรแกรมต้องไปดูละครเพลงกัน โรงละครก็ตั้งอยู่ชายทะเลในเมืองเฮกนั่นแหล่ะครับ ก่อนเวลานิดหน่อยจึงพากันไปเดินเล่นที่ริมหาด แต่เดินได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องรีบหาที่หลบเพราะลมแรงเหลือเกิน เล่นเอาลืมหูลืมตาไม่ขึ้นกันเลย ละครที่จะดูวันนี้คือเรื่องทาร์ซาน ก่อนไปพี่เขาก็บอกแล้วว่าให้หาอ่านเรื่องราวคร่าว ๆ ล่วงหน้ามาก่อน แต่ด้วยความที่เข้าใจว่าเขาจะเล่นเป็นภาษาอังกฤษก็เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไป ที่แท้เขาเล่นเป็นภาษาดัชต์ครับ ผลก็คือฟังไม่รู้เรื่องเลยตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ตื่นตาตื่นใจดีกับฉากและเทคนิคอันอลังการ เสียดายว่าตอนนั้นยังปรับเวลานอนไม่ได้ ผลก็คือนั่งสัปหงกไปเกือบทั้งเรื่อง ตั๋วละครนั้นเล่าก็ราคาแพงหูฉี่ ดีที่ว่างานนี้มีเจ้าภาพครับ แต่ก็ยังนึกเกรงใจเขาอยู่เหมือนกันที่เผลอนั่งหลับไปเสียอย่างนั้น
กลุ่มอาคารที่การรัฐบาลเมือง Den Haag
สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ก็คือสวน กูเกอฮอฟ(Kuekenhof) ครับ ตั้งอยู่ทางใต้ของฮอลแลนด์ใกล้ ๆ กับเมือง Lisse พื้นที่เดิมเป็นสวนดอกไม้ในปราสาทของดัชเชสต์ผู้หนึ่ง จากนั้นจึงได้ดัดแปลงเป็นสวนสาธารณะขึ้นมา โดยพันธ์ไม้หลักที่ปลูกและเป็นหน้าเป็นตาของที่นี่ก็คือทิวลิปนั่นเองครับ นอกจากทิวลิปที่ปลูกในสวนสวยแห่งนี้แล้ว พื้นที่ภายนอกยังเป็นไร่ทิวลิปกว้างใหญ่หลากสีอย่างที่เราเคยเห็นในโปสเตอร์ สวนแห่งนี้เปิดให้เข้าชมแค่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นเองครับ(เมษายน-พฤษภาคม) ถ้าเลยจากช่วงนี้ไปก็หมดสิทธิ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น