และแล้วพวกเราก็ดั้นด้นฝ่าเข้ามาในแผ่นดินอิตาลีจนได้ครับ พอรถแล่นผ่านข้ามพรมแดนมาไม่เท่าไหร่ ทัศนียภาพรอบด้านก็ดูจะต่างกันราวกับอยู่คนละทวีป จากยอดเขาสูงเสียดฟ้า ทะเลสาบและเนินทุ่งปศุสัตว์เขียวขจี มาตอนนี้ค่อย ๆ กลายเป็นที่ราบกสิกรรมกว้างใหญ่ อากาศร้อนและแห้งผาก ทิวเขาที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ ดูตะปุ่มตะป่ำไปด้วยโขดหินและพุ่มไม้เตี้ย ๆ แต่หลาย ๆ สิ่งที่เห็นอยู่รายทางในอิตาลีกลับคล้ายที่เมืองไทยอย่างไม่ตั้งใจ และนั่นก็พอจะทำให้คลายความคิดถึงบ้านไปได้บ้าง หลังจากที่พึ่งผ่านเรื่องหนัก ๆ มาหลายเรื่องในช่วงบ่ายนี้
อย่างแรกที่รู้สึกเหมือนคือความร้อนครับ ร้อน ๆ แห้ง ๆ เหมือนเมืองไทยทางภาคเหนือ ทุ่งนาก็ดูคล้ายบ้านเรา มีการแบ่งเป็นแปลง ๆ พร้อมคันนาและลำเหมือง มีพุ่มไม้พุ่มหญ้ารกรุงรังแล้วก็เพิงข้างทางที่ไม่แน่ใจว่าใช้ทำอะไร เป็นเพิงมุงหลังคาและกั้นฝาทั้งสี่ด้านด้วยวัสดุตามมีตามเกิด ประเภทสังกะสี ไม้อัด ป้ายโฆษณาหรือผ้าใบคลุมของเก่า ๆ เห็นแล้วให้ความรู้สึกวังเวง เหมือนเวลานั่งรถผ่านแถวชานเมืองบ้านเราก็จะเห็นกระต๊อบลักษณะนี้อยู่ทั่วไป สำหรับบางคนที่เมืองไทยสิ่งนี้เรียกว่าบ้าน แต่สำหรับที่อิตาลีแล้ว อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้นะครับ มันอาจจะเป็นแค่เพิงเก็บของที่เขาเอามาสุม ๆ กันแค่นั้น
กว่าจะถึงฟลอเรนซ์ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มครับ คืนนี้เราจะพักโรงแรมที่เพื่อนจากอัมสเตอร์ดัมช่วยจองให้ผ่านอินเตอร์เน็ต ตอนนั่งจองด้วยกันผมก็เห็นแผนที่แวบ ๆ ว่าโรงแรมไม่น่าจะอยู่ไกลจากสถานีรถไฟมาก แต่พอมาถึงมืดค่ำอย่างนี้ชักขี้เกียจหา เลยพากันใช้บริการแท็คซี่เพื่อความสะดวก
แล้วรถก็พาเราลัดเลาะผ่านเข้าไปทางหลังสถานีรถไฟ ผ่านตรอกซอกซอยย่านเมืองเก่าได้ซักพักจึงมาจอดหน้าตึกโทรม ๆ ห้องหนึ่ง ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่โรงแรม จากลักษณะแล้วเหมือนจะเป็นสำนักงานอะไรซักอย่างมากกว่า ถามคนแถวนั้นได้ความว่าโรงแรมอยู่ชั้นห้า แต่ลิฟท์นี่สิครับเล็กเหลือเกิน เล็กเสียจนไม่สามารถจะยัดกระเป๋าเข้าไปได้ เลยต้องพากันลากกระเป๋าคนละสองใบซึ่งหนักร่วม 30 กิโลกรัมขึ้นบันไดไป กว่าจะถึงชั้น 5 ได้ไหล่ก็แทบหลุด
เห็นห้องแล้วออกจะผิดหวังครับเพราะตอนจองดูจากในรูปเหมือนจะดีกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดมากครับเพราะว่าเลือกจากราคาที่ค่อนข้างถูก ตอนทำรายการเขาให้กรอกหมายเลขบัตรเครดิตแต่ไม่ได้ขอเลข 3 ตัวหลังเลยนึกว่ายังไม่ได้ตัดค่าห้องจากตรงนั้น อีกอย่างบัตรจากเมืองไทยไปทำรายการผ่านเน็ตที่นู่นเหมือนจะโดนบล็อค เพื่อนที่อัมสเตอร์ดัมเลยเอาของเขากรอกแทนให้ เช็คอินแล้วแอบถามอัตราค่าห้องปรากฏว่าถูกกว่าในเน็ตตั้งร่วม 30% อารามดีใจเลยรีบควักเงินสดจ่ายไปตรงนั้น 3 คืนรวด เสร็จแล้วกลับมานอนกระหยิ่มว่าโชคดีที่ไม่ได้จ่ายผ่านเน็ตมา ห้องโทรม ๆ แบบนี้ได้ราคาวอล์คอินค่อยสมน้ำสมเนื้อหน่อย
ฟลอเรนซ์จากหน้าต่างห้องพักถึงจะดูเก่า ๆ โทรม ๆ แต่ก็สวยแบบอิตาเลียนแท้ จากที่ได้ยินได้ฟังมาเขาบอกว่ายิ่งโทรมยิ่งสวยครับ อีกอย่างผมก็ชอบอะไรเก่า ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย แต่เอ.....ทำไมโบสถ์กับหอระฆังที่มองเห็นจากหน้าต่างห้องมันถึงได้คุ้น ๆ แฮะ แต่ช่างเห่อะ โบสถ์ วิหารของฝรั่งหน้าตามันก็ดูเหมือน ๆ กันทั้งนั้นแหล่ะ มาคุยกันเรื่องอื่นกันดีกว่าครับ
ผมสังเกตเห็นว่าที่โรงแรมแห่งนี้เขาเตรียมผ้าขนหนูให้ตั้ง 3 ผืนแหน่ะครับ หยิบดูพลางคิดในใจว่าถึงห้องจะโทรมไปหน่อยแต่อย่างน้อยเขาก็ให้ผ้าตั้งคนละ 3 ผืน แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียด ผืนใหญ่ก็เช็ดตัว ผืนกลางเช็ดผม ผืนเล็กคงจะเช็ดหน้าแน่ ๆ พูดไปก็คลี่ผ้าไปเกือบจะเอามาซับหน้าอยู่แล้วเชียว เพื่อนผมเห็นเข้ารีบร้องห้ามเสียงหลงเลยครับ ที่แท้เขาเอาไว้เช็ดน้องต่างหาก(น้องในที่นี้คือสรรพนามแทนของสงวนนะครับ ไม่ใช่น้องที่เป็นคน) นี่ถ้าเกิดพวกเล่นของมีคาถาอาคมจากบ้านเรามาเที่ยวที่นี่เข้า ของคงเสื่อมกลับไปเป็นแถว
จากจตุรัสไมเคิลแองเจโลสามารถมองเห็นวิวฟลอเรนซ์ได้ทั้งเมือง
ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตามออกไปเพื่อนก็เล่าให้ฟังด้วยความตื่นเต้นว่า คุณป้าเจ้าของโรงแรมแกเอาตังค์ค่าห้องมาคืน เพราะทางเวปไซด์เขาหักค่าห้องจากบัตรไปเรียบร้อยแล้ว พลางแกก็กำชับพวกเราแน่นหนาว่าให้ระวังเรื่องพวกนี้มาก ๆ คราวหน้าอาจจะไม่โชคดีแบบนี้อีก เห็นน้ำใจแกแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งครับ เพราะตั้งแต่ผ่านเข้าแผ่นดินนี้มา มีเรื่องให้ต้องเสียเงินกับเรื่องไม่ควรจะเสียไม่หยุดหย่อน ถ้าป้าแกแอบอมเงินไว้ไม่บอกกล่าวเราก็คงจะไม่รู้เรื่อง นู่นหล่ะครับอีกเป็นเดือนกว่าเจ้าของบัตรจะได้ใบแจ้งยอด ถึงเวลานั้นคงจะไม่มีปัญญาถ่อสังขารกลับมาเอาเรื่องแกหรอกครับ
ดูโอโมและวิหารแบพติสตรี้ตั้งประจัญหน้าอวดความงามอยู่กลางจตุรัส
แล้วเช้านี้เราก็ได้ใช้บริการลิฟท์สมใจ สองคนเบียดกันเข้าไปในกล่องแทบจะหายใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาเอาลิฟท์ส่งของมาดัดแปลงหรือเปล่า แถมประตูลิฟท์ยังเป็นแบบต้องใช้มือเลื่อนปิดเองอีกด้วยสิครับ
เดินออกมาจากโรงแรมตั้งท่าจะไปตามทางที่คุณป้าแกร่างไว้ในแผนที่ แต่ด้วยความสงสัยที่เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อคืนผมเลยชวนเพื่อนเดินไปดูโบสถ์หลังที่ว่าคุ้น ๆ นั่นเสียก่อน พอเดินไปถึงหน้าโบสถ์เท่านั้นหล่ะครับถึงบางอ้อเลย ที่แท้ก็คือโบสถ์เดียวก่ะที่เห็นหน้าสถานีรถไฟเมื่อคืนนี้ ไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่แค่นี้เอง
ถ้าหากจะคิดในแง่ดีเกี่ยวกับเรื่องแท็คซี่คืนก่อน ก็คงจะประมาณว่าถนนมันเป็นวันเวย์พี่แท็คซี่ก็เลยพาอ้อม หรือหากจะคิดให้ดีกว่านั้นก็พี่เค้าคงอยากจะพาเที่ยวซักรอบย่อม ๆ ส่วนถ้าจะให้คิดในแง่ร้ายขอข้ามไปเลยดีกว่า มาเที่ยวอิตาลีทั้งทีไม่มีหรอกน่าเรื่องพรรค์อย่างนั้น
ด้านหน้าของดูโอโมและหอระฆัง
โดมของดูโอโมรูปทรงคล้ายตะเกียงน้ำมัน
การตกแต่งภายในดูโอโมเรียบง่ายกว่าภายนอกมาก
พูดถึงเรื่องยุคสมัยในยุโรปแล้วถ้าจะให้ท้าวความไปยืดยาวคงน่าเบื่อ เอาเป็นว่าเล่าคร่าว ๆ เลยแล้วกันนะครับ จากการล่มสลายของอาณาจักรกรีก-โรมันและการถือกำเนิดขึ้นของศาสนาคริสต์ หนังสือหนังหาตำรับตำราความรู้ต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งต้องห้ามของพวกนอกรีต ถึงขนาดมีการเผาทำลายกันยกใหญ่จนนำยุโรปเข้าสู่ยุคมืด ศิลปวิทยาการเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหนครับ ส่วนหนึ่งก็แอบซ่อนอยู่ตามโบสถ์วิหารเหล่านั้นนั่นเอง อีกส่วนหนึ่งก็ตกไปอยู่ในมือของพวกอิสลามทางฝั่งตะวันออก และก็ได้ปราชญ์ทางฝั่งอิสลามนี่แหล่ะครับที่ศึกษาต่อยอดเอาวิชาความรู้เหล่านั้น จนเมื่อกองทัพของพวกครูเสดยกทัพไปทำสงครามกับพวกอิสลามกลับมา ส่วนหนึ่งก็ได้หอบหิ้วตำหรับตำราเหล่านั้นกลับมาด้วย และได้ตระหนักแล้วว่าพวกอิสลามนั้นก้าวล้ำไปกว่าพวกตนมากนัก พวกปราชญ์,ศิลปินรวมทั้งสถาปนิคจึงได้พากันค้นคว้ารื้อฟื้นศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ รวมทั้งวิชาความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมด้วย และดูโอโมแห่งฟลอเรนซ์ก็ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้เองครับ
หอระฆังสูงเด่น
ด้านหน้าของดูโอโมมีอาคารที่สำคัญมากอีกหลังตั้งอยู่ นั่นก็คือวิหารแบพติสตรี้รูปทรงแปดเหลี่ยมดูแปลกตา ตกแต่งด้วยหินอ่อนสีเขียวและขาว ลักษณะเด่นของอาคารหลังนี้อีกอย่างคือมีประตูเหล็กหล่อ 3 ด้าน ฝีมือของศิลปินเอกแห่งยุคในช่วงเวลานั้น ที่ถือว่าสวยงามที่สุดคือประตูที่มีชื่อว่า Gates of Paradise(ประตูสวรรค์) บอกเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์เก่า ประเภทตำนานพระเจ้าและการสร้างโลกนั่นแหล่ะครับ เห็นคนไปยืนออดูกันอยู่เต็มหน้าประตู เลยได้แต่ชื่นชมอยู่ห่าง ๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินนะครับ ว่าชิ้นไหนสวยหรือชิ้นไหนได้ชื่อว่าชั้นครู เพราะถ้าจะให้วัดเอาจากสายตาของคนภูมิต่ำอย่างเราก็คงแยกไม่ออก เพราะดู ๆ ไปทุกบานก็สวยเหมือนกันหมด
ผู้คนมาออกันดูประตูสวรรค์เต็มไปหมด
เดวิดจำลองหน้าพิพิธภัณฑ์
แม่น้ำอาร์โนและสะพานเวคคิโอมองลงมาจากเนินเขา
ถ่ายรูปทั้งวิวเมืองทั้งเดวิดเสร็จก็พากันเดินลงมา เลาะริมฝั่งแม่น้ำไปเจอวังเก่าอีกแห่งหนึ่งซึ่งเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อีกเหมือนกัน เห็นรายการของที่จัดแสดงด้านในแล้วนึกสนใจชวนกันซื้อตั๋วเข้าไป แต่พอเหลือบไปเห็นป้ายสัญลักษณ์ข้อห้ามต่าง ๆ ที่แปะไว้เลยถอดใจไม่เข้าดีกว่า ช่วงนั้นทางฝั่งยุโรปและอเมริกากำลังตื่นตัวเรื่องผุ้ก่อการร้ายกันมาก อาคารสถานที่ต่าง ๆ ที่เปิดรับสาธารณชนให้เข้าชม จึงมีระเบียบการหยุมหยิมเล็กน้อยเต็มไปหมด
สะพานเวคคิโอ(Ponte Vecchio)และตึกแถวที่ห้อยขนาบอยู่ข้างสะพาน
ของที่ขายกันบนนี้เป็นเครื่องประดับหรูหราราคาแพง เดินเลือกชมแต่ไม่เลือกซื้อสักพักก็ตัดใจไปกันต่อ จะว่าไปแล้วการเดินเที่ยวชมเมืองของพวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับทัวร์ชะโงกหรอกครับ จะดีกว่าเขาหน่อยก็ตรงที่มีเวลามากพอที่จะอ้อยสร้อยกันอยู่ตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องคอยวิ่งตามธงตามร่มจนลืมดูอะไรไปเสียหมด
ที่อิตาลีนี่สังเกตว่ามีทัวร์จีนมาลงเย๊อะครับ ถ้าเห็นหัวดำ ๆ เดินมาขโมงโฉงเฉงหล่ะก็ไม่ต้องเดาเลย นอกจากพวกที่มาเที่ยวแล้วที่มาอยู่เลยก็มีเย๊อะครับ ส่วนใหญ่ก็ขายของซึ่งมีทั้งที่เข็นรถมาขายหรือไม่ก็ยืนขายกันตัวเปล่าข้างถนน แค่เอาผ้าปูแล้วก็วางของตามแต่จะคิดได้ ผมเห็นอยู่คนนึงแกเอาใบไม้มาพับเป็นตั๊กแตนวางไว้ ยังนึกสงสัยอยู่เลยว่าแกจะขายได้มั้ย แล้วถ้าหากขายไม่ได้แกจะทำยังไงต่อไป
วันนี้ทั้งวันพวกผมเดินบ้างหยุดบ้างตามแต่กำลังจะอำนวย พอหิวก็แวะซื้อของกินง่าย ๆ จำพวกแซนด์วิชหรือขนมปังประทังไปพลาง ๆ จนมืดค่ำจึงพากันเดินกลับที่พัก วันนี้เริ่มรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าและอุ้งเท้า กลับถึงห้องพอถอดรองเท้าออกดูเห็นเป็นเม็ดบวม ๆ แบบที่เขาเรียกว่าห้อน้ำเต็มไปหมด แถมข้อเท้ายังแพลงหน่อย ๆ นี่ขนาดว่าพึ่งเริ่มทริปอาการยังสาหัสขนาดนี้ แต่แค่นี้ไม่ทำให้ท้อหรอกครับ โชคดีที่เตรียมตัวมาพร้อมมีทั้งเข็มทั้งพลาสเตอร์ปิดแผล อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่าถึงขนาดต้องผ่าและเย็บแผลเองหรอกนะครับ แค่เอาเข็มมาเจาะระบายเอาน้ำที่คั่งอยู่ออกเท่านั้น เสร็จแล้วจึงพันพลาสเตอร์ปิดแผลทับไว้(พลาสเตอร์ขอแนะนำแบบผ้ารุ่นเก่าจะปิดแน่นกว่านะครับ แบบพลาสติคสวย ๆ แปะไปไม่เท่าไหร่ก็หลุด) ใครที่เคยเป็นคงพอจะรู้ว่า ถ้าขืนปล่อยให้มันแตกเองจะปวดแสบปวดร้อนกว่าเป็นหลายเท่า แต่ถ้าใช้วิธีนี้รับรองว่าหายปวดชะงัด แถมยังกลับมาเดินคล่องปร๋อได้เป็นปกติเกือบจะทันทีอีกต่างหาก
เพอร์ซิอุสผู้ฆ่านางเมดูซ่าจากเรื่อง Clash of the Titans
nice city
ตอบลบมาอ่านแล้วนะจ๊ะเพื่อน...จะติดตามอ่านตอนต่อไป อิอิอิ
ตอบลบขอบคุณมากครับคุณเจน คุณโอลาริก
ตอบลบขอบคุณมากครับคุณลีโอ 5555 จะถือว่าเป็นคำชมนะคร้าบบบบบ
ตอบลบ