วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เบอร์ลิน แบ่งแยกแล้วหลอมรวม Berlin, Germany

      
       หลังจากพักผ่อนและเที่ยวอย่างสบาย ๆ ที่อัมสเตอร์ดัม วันนี้จะเป็นวันแรกที่พวกเราจะต้องออกผจญภัยกันเองแล้วหล่ะครับ กับเพื่อนผมดูท่าเขาคงจะไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ นั่นเป็นเพราะว่าเคยมาเที่ยวลักษณะนี้หลายทีแล้ว แต่สำหรับผมนั้นค่อนข้างตื่นเต้นทีเดียว เพราะนี่ถือเป็นการเดินทางไกลต่างบ้านต่างเมืองครั้งแรกในชีวิตเลยหล่ะครับ      
       อย่างที่เคยแจ้งให้ทราบในบทก่อน ๆ ว่าการมาเที่ยวยุโรปแบบวางแผนไปกันเองนั้น การเลือกซื้อตั๋วยูเรลพาสต์จากเมืองไทย ดูจะเป็นตัวเลือกที่สะดวกที่สุด เพราะว่าเราสามารถที่จะเดินทางไปที่ไหนเวลาใดก็ได้ และที่สำคัญไม่จำกัดจำนวนเที่ยวเสียด้วยสิครับ จากที่แจ้งไปแล้วว่าในการใช้ตั๋วแต่ละครั้ง เราจำเป็นจะต้องสำรองที่นั่งก่อน เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะได้นั่งไปจนถึงปลายทาง ซึ่งในบางประเทศที่เขาไม่เคร่งครัดนักก็ไม่จำเป็นหรอกนะครับ แต่สำหรับการเดินทางจากอัมสเตอร์ดัมไปเบอร์ลินนั้นค่อนข้างจำเป็นทีเดียว
       ด้วยความที่พวกเรายังไม่เคยมีประสพการณ์กับการเดินทางแบบนี้มาก่อน จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญตรงจุดนี้ เพราะคิดว่ายังไงเสียบนขบวนรถคงจะมีที่นั่งว่าง ต่อเมื่อขึ้นไปบนนั้นแล้วถึงได้รู้ว่าแต่ละที่มีคนจองไว้เกือบหมดแล้ว โดยเขาจะมีป้ายไฟขึ้นโชว์เลยครับว่าตรงไหนว่าง ตรงไหนไม่ว่าง เราสองคนเลยต้องเดินลากกระเป๋าหาที่นั่งว่างเป็นนานกว่าจะเจอ แต่พอนั่งไปได้สักพักหนึ่ง เมื่อถึงสถานีกลางทางที่เขาจอดรับคนเพิ่ม ก็จะมีเจ้าของที่นั่งตัวจริงมาคอยไล่ที่พวกเราให้ย้ายอีกที ก็เลยต้องย้ายไปย้ายมาเหมือนเก้าอี้ดนตรีหล่ะครับ
       ออกจากอัมสเตอร์ดัมประมาณสิบโมงเช้า กว่าจะมาถึงเบอร์ลินก็ปาเข้าไปบ่ายสี่ ใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร โชคดีหน่อยเพราะขบวนที่นั่งมาเป็นสายตรงถึงเบอร์ลินโดยไม่ต้องต่อรถหลายเที่ยว อาหารเที่ยงของวันนี้เราใช้วิธีซื้อแฮมเบอร์เกอร์จากแถวชานชาลาขึ้นไปกินกันบนรถกันครับ ตู้โดยสารชั้นหนึ่งจะแบ่งเป็นห้องค่อนข้างเป็นส่วนตัว ตอนนั้นผู้โดยสารแปลกหน้าที่อยู่ห้องเดียวกันกับพวกเราเป็นสาวเกาหลีท่าทางเงียบ ๆ คนหนึ่ง
       เมื่อเห็นเขามาคนเดียวผมก็เลยชวนคุยบ้างนิดหน่อย เธอบอกว่าตั้งใจจะท่องยุโรปไปเรื่อย ๆ ซักเดือนกว่า ๆ แล้วค่อยกลับ พอผมถามเรื่องวีซ่าเค้าก็ทำหน้างงว่าวีซ่าคืออะไร ต้องอธิบายกันเป็นนานกว่าจะยอมเข้าใจ ปรากฏว่าของเค้าไม่ต้องขอวีซ่าครับ ใครอยากมาก็มาอยากไปก็ไป ขอเพียงแต่อย่าอยู่เกินกำหนดจากข้อตกลงก็พอ ฟังแล้วก็แค้นใจแทนคนไทยจังครับ อยากจะไปเที่ยวกันทั้งทีมันช่างแสนยากเย็น ได้ยินว่าสมัยก่อนคนไทยก็ไม่ต้องขอวีซ่าอะไรให้มันวุ่นวายขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าหล่ะครับคงจะมีใครไปทำเสียไว้เย๊อะ หลัง ๆ มาเขาเลยต้องเข้มงวดอย่างที่เห็น
       เมื่อถึงปลายทางที่สถานีรถไฟของเบอร์ลินแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง อะไรมันช่างใหญ่โตอลังการขนาดนั้น เรียกได้ว่าน้อง ๆ อาคารหลักในสวรรณภูมิเลยหล่ะครับ ชุมทางแต่ละสายอยู่ซ้อนกันไปเป็นชั้น ๆ พวกเราต้องลากกระเป๋ากันอยู่นานกว่าจะถึงทางออก ความที่พึ่งจะเคยมาเมืองนี้เป็นครั้งแรกด้วยกันทั้งคู่ พวกเราจึงตัดสินใจนั่งแท็คซี่กันครับ
       รถแท็คซี่ที่นี่เป็นแบบมิเตอร์เหมือนบ้านเรา ตัวเลขที่วิ่งถึงจะน้อยหลักกว่าแต่พอแอบคูณแล้วใจหาย ตลอดทางก็นั่งลุ้นไปด้วยว่าขอให้ถึงไว ๆ เบ็ดเสร็จแล้วจ่ายค่าแท็คซี่ไปห้าร้อยกว่าบาท เมื่อคำนวนดูแล้วหากต้องเสียค่ารถอย่างนี้ทุกครั้งคงหมดตัวกันก่อนเป็นแน่ ระหว่างทางรถพาเราแล่นผ่านเข้าไปในเขตที่อยู่อาศัยในฝั่งตะวันออก ซึ่งยังมีกลิ่นอายของยุคคอมมิวนิสต์อยู่มาก เห็นอย่างนั้นแล้วชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่าที่มาเที่ยวที่นี่ สองข้างทางเห็นมีแต่ตึกเก่าทรงเหลี่ยมดูร้าง ๆ ผิดจากที่คิดฝันเอาไว้ก่อนหน้านี้มากทีเดียวเลยหล่ะครับ ความเป็นอยู่ของผู้คนแถบนี้ในสมัยก่อนคงจะยากแค้นน่าดู ไม่งั้นคงไม่มีใครยอมเสี่ยงตายข้ามกำแพงเบอร์ลินไปฝั่งตะวันตกเป็นแน่


โบสถ์ไคเซอร์ วิลเฮล์ม เมโมเรียลยามพลบค่ำ

       ถึงโรงแรมที่พักก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว แต่ในยุโรปช่วงปลายหน้าร้อนกว่าจะมืดจริง ๆ ก็เกือบสามทุ่ม เมื่อเห็นว่าฟ้ายังสว่างโร่อยู่เราสองคนจึงชวนกันเดินเที่ยว โชคดีที่หน้าต่างห้องพักหันไปทางหอสัญญาณโทรคมนาคมที่ถือเป็นแลนด์มาร์คของเมืองพอดี เลยทำให้พวกเราจับทิศทางที่จะเดินไปได้ถูก แผนที่ฟรีเค้าก็มีแจกตรงเคาท์เตอร์โรงแรมครับ เมื่อสอบถามขอคำแนะนำนิดหน่อยจากพนักงานแล้วก็พากันออกเดิน แต่รู้สึกติดใจพนักงานโรงแรมอยู่นิดหน่อย ตรงที่เขาไม่รู้ว่าทิศทางเหนือใต้เป็นยังไง เทคโนโลยีอย่างทุกวันนี้ช่างทำให้มนุษย์เราหลงลืมภูมิปัญญาดั้งเดิมไปได้จริง ๆ
       แหล่งท่องเที่ยวตามเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรปนั้นดีอย่างตรงที่จะอยู่ใกล้ ๆ กันเป็นกลุ่ม แต่ละเมืองก็จะมีเซ็นเตอร์หลักแค่เซ็นเตอร์เดียว เรื่องนี้ฝรั่งมาบ้านเราจะงงมาก ผมเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกางแผนที่ขึ้นรถเมล์ที่กรุงเทพฯ แล้วเข้ามาถามผมว่า "จะไปเซ็นทรัลได้ยังไง ลงรถตรงไหน" ผมก็ถามเค้ากลับไปว่า "คุณจะไปเซ็นทรัลสาขาไหนหล่ะเพราะมันมีหลายสาขา" เธอก็แย้งว่าไม่ได้จะไปห้างแต่จะไปเซ็นทรัลของเมือง เราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะเซ็นทรัลอย่างที่เค้าหมายความถึงนั้นบ้านเราไม่มี


จัตุรัสอเล็กซานเดอร์

       จากโรงแรมพวกผมก็เดินตรงมาเรื่อย ๆ โดยมีเสาโทรคมนาคมเป็นหลัก เวลาตอนนั้นก็ถือว่าโพล้เพล้แล้วแต่ก็ยังมีแดดอยู่ ถึงแม้จะยังสว่างแต่ห้างร้านปิดให้บริการกันหมดแล้วหล่ะครับ เดินผ่านบางช่วงที่เปลี่ยว ๆ ก็นึกกลัวอยู่เหมือนกัน ผมเคยอ่านเจอในหนังสือนำเที่ยวว่ายังมีพวกนาซีเก่าและพวกเหยียดเชื้อชาติหลงเหลืออยู่บ้างในเยอรมัน เวลาเดินหากมีฝรั่งมองตามก็เลยรู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่ทุกครั้ง
       เราเดินไปจนถึงประตูบรันเดนบร์วกก็พอดีมืดเลยพากันกลับ ระหว่างทางเห็นร้านอาหารจีนแบบเทคอะเวย์ยังเปิดอยู่เลยแวะเข้าไปอุดหนุน รสชาติก็ใช้ได้ครับ ที่สำคัญเจ้าของร้านและพ่อครัวดันเป็นฝรั่งผมทองไปซะนี่ พอหยิบซอสมาเหยาะเห็นยี่ห้อคล้ายไทยแล้วแอบดีใจว่าของบ้านเราได้โกอินเตอร์ แต่พอดูดี ๆ กลับกลายเป็นของเวียดนามไปเสียได้ เลยแอบนึกขำ ๆ ว่าแล้วอย่างนี้เราจะไปร้องเรียนเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์กับเขาได้หรือเปล่า     


การล่องเรือชมเมืองในแม่น้ำสปรี

     วันรุ่งขึ้นพวกเราตกลงกันว่าจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กัน เมืองเบอร์ลินเป็นอีกเมืองหนึ่งที่อุดมไปด้วยพิพิธภัณฑ์ใหญ่ ๆ และสาเหตุหลักที่พวกเราพากันตัดสินใจดั้นด้นมาที่นี่ ก็เพราะว่าอยากจะไปดูกำแพงเมืองบาบิโลนให้เห็นกับตากันครับ กำแพงที่ว่านี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ 'แพร์การ์มอน' ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำสปรี ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงทั้งวิหารกรีก กำแพงเมืองบาบิโลน แล้วก็โบราณวัตถุชิ้นใหญ่ยักษ์จากทั้ง กรีก โรมัน และเปอร์เซีย วิธีการจัดแสดงก็คือเค้าจะเอาวิหาร กำแพงเมือง และอะไรต่าง ๆ มาสร้างไว้แล้วก็สร้างอาคารหลังใหญ่ครอบทับอีกที ต้องยอมรับเขาเลยหล่ะครับเรื่องไอเดียและความอลังการ ชื่อของพิพิธภัณฑ์นี้ได้มาจากชื่อวิหารกรีกที่นำมาจัดแสดงไว้ที่นี่นั่นเอง 
      ในบริเวณเดียวกันบนเกาะยังมีพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่ง หากจะดูให้ทั่วถึงทั้งหมดคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวัน แต่ด้วยเวลาอันจำกัดพวกเราเลยเลือกเข้าชมแต่แพร์การ์มอนที่เดียว แค่นี้ก็ต้องเดินกันจนขาลากแล้วหล่ะครับ ในนั้นมีทั้งวิหารแพร์กามอน กำแพงเมืองบาบิโลนและประตูอิซตาร์(ชื่อประตูเมืองหนึ่งของบาบิโลนที่นำมาแสดง, อิซตาร์แปลว่าตลาดครับ) อีกทั้งเครื่องประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมจากเปอร์เซียหรือว่าอิหร่านในปัจจุบัน รวมไปถึงกำแพงพระราชวังฤดูร้อนจากตุรกีด้วยครับ



วิหารแพร์การ์มอนและส่วนแต่งที่สลักเป็นเรื่องเทพปกรณัมของกรีก

       หลายท่านอาจจะสงสัยว่าโบราณวัตถุชิ้นใหญ่ ๆ เหล่านี้นำมาจัดแสดงได้ยังไงในเยอรมัน พวกเขาใช้วิธีขโมยมาหรืออย่างไรกัน ข้อสงสัยนี้ผมก็เคยนึก ๆ อยู่เหมือนกันครับ เลยลองไปค้นคว้าข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตดู ก็ได้ความว่ากำแพงเมืองบาบิโลนนั้นได้มาจากสัญญาข้อแลกเปลี่ยนที่เยอรมันมีต่ออิหร่าน ในการเข้าไปค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับอาณาจักรเปอร์เซียโบราณที่นั่น แล้วได้มีการค้นพบซากเมืองและโบราณวัตถุจำนวนมาก เยอรมันเลยขอแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อนำมาจัดแสดงที่นี่ ซากกำแพงเมืองนั้นเรียกได้ว่าต้องขนอิฐมาเป็นก้อน ๆ เลยทีเดียวครับ แล้วจึงค่อยประกอบกันขึ้นมาใหม่ที่นี่ ยังมีกำแพงและประตูที่หลงเหลืออีกหลายส่วนในอิหร่าน และเห็นว่ารัฐบาลอิหร่านเองก็พยายามที่จะประกอบมันขึ้นมาใหม่เหมือนกัน แต่ด้วยเหตุผลด้านเทคโนโลยีหรือความไม่สงบภายในประเทศอย่างไรไม่ทราบ โครงการนั้นเลยยังต้องพับและถูกดองไว้ก่อนอย่างไม่มีกำหนด ส่วนวิหารแพร์การ์มอนนั้นแรกพบอยู่ที่ตุรกีเป็นเพียงแค่เศษซากปรักหักพังที่เค้ากำลังจะเอาไปถมทำทางรถไฟครับ โดยบริษัทเยอรมันที่ได้รับสัมปทานทำทางรถไฟในตุรกีขณะนั้นเป็นผู้ค้นพบ ก็เลยได้วิหารหลังนี้มาด้วยข้อสัญญาแลกเปลี่ยนอีกเช่นกัน ส่วนกำแพงพระราชวังฤดูร้อนอีกอันหนึ่งนั้นพระเจ้าไกเซอร์ของเยอรมันได้รับเป็นของขวัญจากสุลต่านตุรกีมาตั้งแต่ยุคจักรวรรดิเก่านู้นแล้วหล่ะครับ       


ประตูอิซตาร์

ส่วนหนึ่งของกำแพงพระราชวังฤดูร้อนจากตุรกี

แผ่นอิฐเผาเคลือบรูปสิงห์ที่ประดับกำแพงเมืองบาบิโลน

       แต่ทว่าก็ยังมีโบราณวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ที่โด่งดังมากระดับโลกอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเยอรมันใช้วิธีลักลอบนำเข้ามา แต่จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่งซึ่งกำลังปิดปรับปรุงอยู่ โบราณวัตถุชิ้นที่ว่านั้นมาจากอียิปต์ครับ แล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าโบราณสถานหลังใหญ่ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แพร์การ์มอนทุกหลังรวมกันเสียอีก ของชิ้นนั้นก็คือพระเศียรของพระนางเนเฟอร์ตีติไงครับ ผมได้ข่าวมาเหมือนกันว่าทางรัฐบาลอียิปต์กำลังดำเนินเรื่องขอคืน ก็คงต้องดูกันต่อไปนะครับว่าสุดท้ายแล้วพระนางจะได้เสด็จกลับอียิปต์หรือไม่
       มาพูดถึงเรื่องกำแพงเมืองบาบิโลนกันต่อนะครับ กำแพงแห่งนี้น่าทึ่งตรงที่ว่าชาวเมืองในยุคนั้นเขามีวิวัฒนาการล้ำหน้ากว่าชนชาติอื่นในยุคเดียวกันมาก เพราะสามารถเผาอิฐเคลือบเป็นสีฟ้าเทอร์คอยท์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเครื่องปั้นดินเผาของที่อื่นร่วมยุคเดียวกันนั้นยังเป็นดินเผาเนื้อหยาบแบบธรรมดากันอยู่เลยครับ กำแพงเมืองบาบิโลนนั้นจะว่าไปถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งยุคโบราณที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าสวนลอยในตำนานเสียอีก (ส่วนสวนลอยที่ว่า จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้แน่ว่าเคยมีอยู่จริงหรือเปล่า)


อาคารรูปทรงทันสมัยริมฝั่งแม่น้ำสปรี

       หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ทั่วแล้วพวกเราก็พากันย้อนเลียบเลาะชายฝั่งแม่น้ำสปรีมาเรื่อย ๆ จนถึงอาคารที่ทำการรัฐสภา(ไรท์สตาร์ค) ซึ่งแต่เดิมโดมหลังคาเป็นแบบเรอเนสซองค์ แต่โดนระเบิดทำลายและไฟไหม้ได้รับความเสียหาย เมื่อทำการบูรณะใหม่จึงมีรูปแบบเป็นโดมแก้วอย่างที่เห็น พอทราบว่าเขาเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมฟรีพวกเราจึงไม่รีรอรีบเข้าไปต่อคิว ซึ่งก็ใช้เวลารอนานร่วม ๆ ชั่วโมงเลยเหมือนกันครับกว่าจะได้ขึ้น ทางการเขาค่อนข้างกวดขันกันมากทีเดียวเรื่องความปลอดภัย แต่เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนก็พูดได้เต็มปากเลยหล่ะครับว่าคุ้มค่าแก่การรอคอย  หลังคาโดมทำทางเดินเป็นวงโค้งไปจนถึงยอดสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเบอร์ลินได้ 360 องศา มุมมองจากข้างบนทำให้พวกเรากะทิศทางและตัดสินใจกันถูกว่าจะเดินไปเที่ยวทางไหนต่อ บริเวณด้านหน้าของตึกรัฐสภาแห่งนี้เป็นสวนสาธารณะซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเรียกว่าเป็นสวนป่ามากกว่า มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลถึงหนึ่งในสี่ของเมืองทีเดียว อากาศวันนี้ครึ้ม ๆ เหมาะแก่การเดินเป็นอย่างยิ่ง พวกเราเลยพากันไปเดินเล่นในสวนกันต่อครับ



แกนกลางของโดมแก้วเป็นกระจกเงาทำหน้าที่สะท้อนแสงเข้าไปภายในห้องประชุมรัฐสภาเบื้องล่าง นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ตวงและกักเก็บน้ำฝนสำหรับใช้ในตึกด้วยครับ

ตึกรัฐสภาไรซ์สตากและโดมแก้วชั้นบนสุดของอาคาร

       ทริปนี้ที่เบอร์ลินเป็นทริปเดินเท้าอย่างแท้จริง อากาศเย็นกำลังดี แดดก็ร่ม ลมก็พัดเอื่อย ที่สำคัญคือไม่กล้าขึ้นรถกันหรอกครับ เหตุเพราะพึ่งจะเคยมาครั้งแรกเลยกลัวหลง อีกอย่างก็กลัวแพงด้วยครับเลยเดินมันไปทั้งวันอย่างนั้น พอหิวขึ้นมาก็อาศัยร้านฟาสต์ฟู้ดจำพวกแม็คโดนัลด์หรือเบอร์เกอร์คิงซึ่งมักจะมีเสมอตามแหล่งท่องเที่ยว เคยพยายามมองหาพิซซ่าฮัทกับเคเอฟซีเหมือนกันแต่ไม่เจอครับ ไม่รู้ว่าทำไมไม่มีมาเปิดตลาดในยุโรปก็ไม่ทราบ ไปเบอร์ลินทั้งทีถ้ามีเวลาอยากจะแนะนำให้ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะของเขาดูนะครับ ภายในสวนร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยและทะเลสาบ การจัดวางองค์ประกอบให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในป่าจริง ๆ ตอนอยู่อัมสเตอร์ดัมพี่เขาก็แนะนำมาว่าควรจะไปเที่ยวแถวย่านเมืองใหม่ของเบอร์ลินซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย แต่พวกเราไม่ชอบช็อปปิ้งแล้วอีกอย่างก็เดินจนเส้นชักจะเริ่มตึงแล้วด้วย เมื่อเห็นว่าไปต่อไม่ไหวแล้วจึงพากันกลับ กลางทางก็แวะถ่ายรูปกันที่ประตูบรันเดนบร์วกอีกนิดหน่อยแล้วจึงบ่ายหน้ากลับห้องพักด้วยความเหนื่อยอ่อน
       เบอร์ลินและชาวเบอร์ลินถือเป็นเหยื่อของผลพวงแห่งความแตกแยกอย่างแท้จริงครับ นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทำให้เยอรมันถูกแบ่งแยกและปกครองโดยมหาอำนาจสองฝั่ง ซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ส่งผลให้ก่อเกิดกำแพงเบอร์ลินขึ้นเพื่อกันประชาชนของตนไม่ให้ไปมาหาสู่กันได้ ชาวเบอร์ลินต้องต่อสู้ฝ่าฟันเสียทั้งเลือดเนื้อและชีวิตอีกมากมาย กว่าจะทลายกำแพงแห่งนี้ลงได้ สำหรับผมแล้วประวัติศาสตร์มีไว้ให้เราเรียนรู้และจดจำครับ ทุกวันนี้ก็ได้แต่หวังว่าพวกเราคนไทยจะรู้ทันและไม่หลงเป็นเหยื่อ ต้องแตกแยกกันเองเพราะอุดมการณ์จอมปลอมและผลประโยชน์หลอก ๆ จากใครคนหนึ่ง ก็ได้แต่หวังไว้ลึก ๆ ในใจหล่ะครับ หวังว่าคนไทยคงจะไม่โชคร้ายขนาดนั้น
       วันนี้จบวันในเบอร์ลินด้วยความเครียดและเหนื่อยล้า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องไปกันต่อแล้วหล่ะครับ จุดพักต่อไปคือฮัมบรูกซ์ ที่ว่าเป็นจุดพักก็เพราะมีคนรู้จักอยู่ที่นั่นอีกสองคนครับ เรื่องที่เที่ยวและอาหารการกินก็คงจะสะดวกสบายกว่านี้ คืนนี้กะเอาไว้ว่าถ้าหัวถึงหมอนก็คงหลับเป็นตาย แต่ก็ต้องรีบหลับให้ได้ก่อนเพื่อนผมนะครับ เคยพยายามหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ รายนั้นไม่รู้ทำบุญด้วยอะไรพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย ส่วนผมก็ไม่รู้ว่าทำบาปมาด้วยอะไรถึงได้หลับยากหลับเย็น พอมาเจอเพื่อนร่วมห้องนอนกรนอีกก็เลยดูเหมือนหลับยากกว่าเดิมอีกหลายเท่า แต่เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไรหรอกครับ การเดินทางครั้งนี้ยังมีเรื่องราวน่าตื่นเต้นให้ได้คิดได้ฝันถึงอีกมากมาย แล้วผมจะทยอยเล่าให้ฟังในบทต่อ ๆ ไปนะครับ

  

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อัมสเตอร์ดัม อิสระภาพอันไร้ขอบเขต Amsterdam, Netherlands


        สวัสดีครับ หลังจากบทก่อน ๆ ที่เราได้คุยกันถึงเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก่อนการเดินทาง วันนี้ผมจะพาทุกคนตะลุยเที่ยวกันแล้วนะครับ เมืองแรกที่จะพาไปเยือนคืออัมสเตอร์ดัม(Amsterdam) เป็นเมืองที่ผมได้มีโอกาสแวะเยือนบ่อยที่สุด แต่ก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองนี้น้อยที่สุดอีกเช่นกัน เหตุที่มาเยือนบ่อยก็เพราะมีพี่คนรู้จักที่นับถือกันเขาเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นี่ เวลาไปเที่ยวยุโรปแต่ละครั้งเลยได้อาศัยใช้เมืองนี้เป็นที่ตั้งหลัก ส่วนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเมืองนี้เลยก็เพราะพี่เค้าอีกเช่นกันที่คอยเป็นไกด์นำเที่ยว คอยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ทำให้ผมพลอยสบายไม่ต้องค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองนี้ไงครับ
       พวกเรามาถึงอัมสเตอร์ดัมด้วยใจอันระทึก เพราะเพียงแค่ก้าวแรกที่เหยียบย่างลงบนสนามบินสกิปโพล(Schiphol) อยู่ ๆ ผู้หญิงผิวสีที่อุ้มลูกเดินนำไปก็ล้มลงแล้วชักดิ้นชักงออยู่ตรงหน้า ผมได้แต่ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก เหลียวไปหาเพื่อนก็เดินนำลิ่วไปไกลแล้ว จังหวะนั้นเองเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินกรูกันเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ผมจึงเดินผละจากมาแล้วก็รีบวิ่งตามเพื่อนไป มิน่าเล่าเมื่อคืนนี้ตอนอยู่บนเครื่องเขาถึงได้ประกาศหาหมออยู่เป็นระยะ คงเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้เองที่ร่วมทางกันมาแล้วเกิดอาการกำเริบตั้งแต่ตอนนั้น
      
รถม้าชมเมืองที่เห็นมีให้บริการอยู่ทั่วไป

       คณะจากเมืองไทยมีผมกับเพื่อนแค่สองคนครับ โดยจุดหมายแรกอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม จะว่าเป็นจุดหมายก็ไม่เชิงนัก ดูจะเป็นจุดพักเอาแรงเสียมากกว่า  เพราะตลอดเวลาที่อาศัยเขาอยู่ที่นี่ อาหารการกินบริบูรณ์ที่สุดโดยเฉพาะอาหารไทย หลังจากนี้ไปอีกหลาย ๆ เมืองคงจะหมดสิทธิ์แม้แต่จะคิดแล้วหล่ะครับ
       พี่เขามารอรับพวกเราอยู่ก่อนแล้วที่สนามบิน อากาศที่นั่นช่วงปลายฤดูร้อนเย็นสบายเหมือนบนดอยอินทนนท์ แสงแดดถึงแม้จะยังคงจัดจ้า แต่ลมหนาวต้นฤดูก็เย็นเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน  และแล้วก็มาถึงบ้านพักซึ่งเป็นตึกแถวสูง 4 ชั้นตั้งอยู่ริมคลอง งานหนักงานแรกเมื่อมาถึงที่นี่ก็คือการลากกระเป๋าขึ้นบ้านครับ เกิดมาพึ่งเคยเห็นบันไดที่ทั้งแคบและชันขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
       สภาพบ้านเมืองในอัมสเตอร์ดัมมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ จะเป็นตึกแถวสูง 4-5 ชั้นเรียงกันไปตามแนวถนนและคลอง หลังคาหน้าจั่วของทุกหลังจะมีตะขอเหล็กอันใหญ่ยื่นออกมา มีไว้สำหรับแขวนรอกขนของขึ้นบ้าน ซึ่งแต่เดิมนั้นชาวดัชต์จะประกอบอาชีพค้าขายเป็นหลัก พื้นที่ภายในบ้านจึงเน้นเพื่อการใช้สอยและเก็บสินค้า ดังนั้นบันไดจึงแคบและสูงชันมาก การขนของขึ้นบ้านจึงใช้วิธีชักรอกเข้าทางหน้าต่างแทน หลังจากขนกระเป๋าขึ้นไปเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าบ้านเขาก็พาเดินชมเมืองกันเลยหล่ะครับ
      
บ้านเรือนตามซอกเล็กซอยน้อยในอัมสเตอร์ดัม ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นแท่งเหล็กสำหรับชักรอดยื่นออกมาจากหน้าตึกชั้นบนสุดของทุกห้อง

       อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ ส่วนชื่อฮอลแลนด์หรือฮอลันดาที่คนไทยคุ้นหูกันดีนั้นเป็นชื่อเดิมของเค้าครับ แต่ตอนนี้ลดศักดิ์ลงเป็นแค่ชื่อแคว้นแคว้นหนึ่งของประเทศเท่านั้น เมืองนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอัมสเทล ที่หลายท่านอาจจะคุ้นหูอีกเช่นกัน ซึ่งก็คือชื่อเดียวกับเบียร์ยี่ห้อหนึ่งที่เคยมาบูมตลาดบ้านเรานั่นแหล่ะครับ ใกล้ ๆ กันก็มีอีกเมืองหนึ่งชื่ออัมสเทล ความข้องเกี่ยวเรื่องชื่อเมือง ชื่อแม่น้ำและชื่อเบียร์คงจะเป็นไปทำนองนี้
       อัมสเตอร์ดัมมาจากคำว่า Amstel(ชื่อแม่น้ำ) บวกกับคำว่า Dam(ที่แปลว่าเขื่อน) รวมกันเป็นAmsteldam แล้วจึงเพี้ยนมาเป็น Amsterdam ในที่สุด ส่วนความหมายก็ง่าย ๆ แต่ลงตัวว่า เขื่อนบนแม่น้ำอัมสเทลนั่นเอง
        ลักษณะการสัญจรในอดีตจะเน้นทางเรือเป็นหลักเหมือนที่กรุงเทพฯและเวนีซ แต่ที่ดูจะแปลกตากว่าสำหรับคนต่างถิ่น ก็คือเรือขนสินค้าลำใหญ่สามารถแล่นเข้ามาในคลองแคบ ๆ ได้สบาย ชนิดที่เรียกได้ว่ากราบเรือเบียดพอดีกับตลิ่งเลยทีเดียวครับ แต่นานวันเข้าเมื่อการสัญจรทางบกทวีความสำคัญขึ้น คลองหลายสายในเมืองจึงโดนถมเพื่อทำถนน แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังพบเห็นคลองเล็กคลองน้อยได้ทั่วไป

จากหน้าต่างชั้นบนของบ้านจะเห็นเรือลำใหญ่แล่นผ่านในคลองแคบ ๆ อยู่เป็นระยะ

        เอกลักษณ์อีกอย่างของเมืองนี้คือบ้านเรือลำเล็กที่จอดเทียบไปตามสองฝั่งคลอง หน้าตาก็จะคล้าย ๆ เรือท้องแบนลำใหญ่มีเก๋ง บนหลังคาก็อาจจะดัดแปลงเป็นดาดฟ้า ส่วนหัวเรือก็ทำเป็นระเบียงและทางขึ้นลง เห็นว่าบ้านลักษณะนี้ปัจจุบันได้ลดจำนวนลงไปมาก ผู้คนสมัยใหม่คงค่อย ๆ ปรับตัวย้ายถิ่นฐานขึ้นไปอยู่บนบกกันหมดแล้วกระมังครับ
       ด้วยถนนที่แคบและมีจำกัดชาวเมืองเลยนิยมใช้วิธีปั่นจักรยานเอา ตอนมาเที่ยวที่นี่ครั้งแรกภาพที่เห็นจึงค่อนข้างแปลกตาสำหรับผม เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนแต่งตัวทมัดทะแมงสวยงามปั่นจักรยานกัน ส่วนจักรยานนั้นเล่าก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งสำหรับขนของ ทั้งแบบพ่วงด้วยรถกระป๊อสำหรับขนเด็ก เรียกได้ว่าหลังจากสิ้นสุดยุคคอมมิวนิสต์ในจีน ก็มีอัมสเตอร์ดัมนี่แหล่ะครับที่เป็นเมืองหลวงของการปั่นจักรยานอย่างแท้จริง ส่วนการโจรกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยที่นี่ก็คือการขโมยจักรยานอีกเช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่จอดจักรยานทิ้งไว้ เจ้าของจึงต้องหาโซ่มาคล้องล็อคติดกับราวเหล็กที่เขาจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
       แล้วในตอนค่ำพี่เขาก็พาไปเดินเที่ยวหนึ่งในไฮไลต์ของเมือง ที่แขกไปใครมาก็ต้องพากันไปเดินนั่นก็คือย่านโคมแดง(Red Light District)ครับ อัมสเตอร์ดัมนั้นถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีสีสันและเสรีภาพมากที่สุดในยุโรป เรียกได้ว่าทำเอาคนหัวเก่าอย่างพวกเราบางคนอ้าปากค้างได้เลยครับ ย่านโดมแดงของที่นี่เลื่องชื่อและเปิดเผยที่สุด กล่าวคือจะเป็นห้องแถวติดกระจกเรียกว่าบ๊อกซ์ตั้งเรียงกันไปตามความยาวถนน แต่ละบ๊อกซ์ก็จะมีสินค้า ซึ่งก็คือ'คน'โชว์อยู่ข้างใน บ๊อกซ์ละคนไม่ปะปนกัน แต่ละคนก็จะมีการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบ บางนางก็จะออกแนวแม่บ้านแม่เรือน เอางานฝีมือประเภทเย็บปักถักร้อยมานั่งทำฆ่าเวลาขณะรอแขก บางนางก็แต่งตัวเปรี้ยวเข็ดฟันพร้อมอุปกรณ์อำนวยความเสียวเป็นเครื่องประกอบฉาก ส่วนสนนราคาก็มีหลากหลายขึ้นอยู่กับบริการหรือออพชั่นและการต่อรองครับ เมื่อตกลงราคาได้แล้วก็รูดม่านปิดด้านหน้าไว้ ก็เป็นอันเข้าใจว่าเจ้าของบ๊อกซ์นี้ไม่ว่างแล้ว หากสนใจให้กลับมาใหม่หรือไม่ก็เชิญเลือกซื้อเลือกชมสินค้าบ๊อกซ์ถัดไป แต่ถ้าสนใจสินค้าบ๊อกซ์นี้จริง ๆ ค่อยวกกลับมาใหม่อีกซักชั่วโมง ประมาณนั้น



ร้านเซ็กส์ช็อปที่เปิดขายกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่ทั่วไป

       ยาเสพติดก็ดูจะเป็นอะไรที่สุดแสนจะธรรมดาที่นี่ มีการซื้อขายกันอย่างค่อนข้างเปิดเผยไม่ว่ายาอีหรือโคเคน แต่ที่สามารถซื้อขายกันได้ถูกกฏหมายเลยคือกัญชาครับ ที่นี่มีร้านคอฟฟี่ช็อปสำหรับเสิร์ฟกัญชาเป็นการเฉพาะ หน้าตาร้านรวงก็เหมือนร้านกาแฟทั่ว ๆ ไป เวลาคุณ ๆ ไปเที่ยวอย่าเผลอเข้าร้านผิดหล่ะครับ ถ้าร้าน Coffee Shop จะขายกัญชา มีให้เลือกหลากหลายเมนู ทั้งแบบสูบและแบบสอดไส้ใส่มาในขนมอบจำพวกเค้กหรือบราวนี่ แต่หากว่าคุณประสงค์อยากจะดื่มกาแฟเฉย ๆ หล่ะก็ ต้องไปร้าน Cafe' ครับ ฉนั้นต้องจำไว้ให้แม่นเลยนะครับอย่าสับสน
       โดยบริเวณที่มีการซื้อขายยาเสพติดหนาแน่นที่สุดคือย่านโคมแดงนี่เอง ตลอดเวลาที่เดินเล่นอยู่บริเวณนั้น ก็จะมีทั้งฝรั่งบ้างคนดำบ้างท่าทางกุ๊ย ๆ เดินมาเฉียดพร้อมถามเราว่า Coke? Ecstacy? คนที่ไม่รู้เรื่องอาจจะคิดว่าเค้ามาถามขายน้ำอัดลม หากเผลอตอบ Yes ไปหล่ะก็เป็นเรื่องเลยหล่ะครับ
        ร้านค้าอีกประเภทหนึ่งที่มีอยู่ทั่วไปในอัมสเตอร์ดัม ก็คือร้านขายอุปกรณ์อำนวยความเสียวหรือ Sex Shop ร้านค้าประเภทนี้จะตั้งหน้าตั้งตาขายอยู่เรื่องเดียวเลยครับคือเรื่อง Sex มีทั้งแบบเน้นเป็นสาระจริงจัง และแบบเน้นฮาพอขำ ๆ ซึ่งอย่างหลังนี้จะเป็นที่ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรามากกว่า ร้าน Sex Shop อย่างแรกจะเน้นของที่ใช้งานได้จริง ทั้งหนังโป๊ระดับฮาร์ดคอร์ เสื้อผ้า แส้หนัง อุปกรณ์ประกอบกิจ ฯลฯ ส่วนร้านอย่างหลังจะเน้นของใช้ของตกแต่งที่ออกแนวทะลึ่ง ๆ มากกว่าครับ ก่อนกลับเมืองไทยทุกครั้งพวกผมจะต้องแวะไปร้านแบบนี้แล้วซื้อของฝากทะลึ่ง ๆ มาฝากเพื่อนสนิทที่ห่าม ๆ ด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับเลยครับ

ที่ราบทำกสิกรรมส่วนใหญ่ของประเทศที่แต่เดิมเป็นทะเลสาบหรือหนองบึง

       เช้าวันถัดมาพี่เขาพาไปเที่ยวบ้านของเพื่อนบนเกาะเทียมกลางทะเล ที่ว่าเป็นเกาะเทียมก็เพราะเกิดจากฝีมือมนุษย์ล้วน ๆ ครับ เกาะนี้เกิดจากการถมทะเลสร้างขึ้นมา และดูท่าว่าจะเป็นแม่แบบของโครงการใหญ่ยักษ์ที่ดูไบ หรืออาจจะรวมไปถึงในอ่าวไทยของเราด้วยหล่ะครับ(ถ้าเกิดว่าใครบางคนบ้าจี้ทำตามเค้าจนสำเร็จขึ้นมา) แต่เกาะเทียมที่นี่สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการจริง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อสนองตัณหาอันฟุ้งเฟ้อของพวกเศรษฐีเหมือนที่ดูไบ แต่ถึงกระนั้นราคาบ้านแต่ละหลังก็ยังทะยานไปถึงหลักล้าน(ยูโร) จากที่ฟังเขามาโครงการนี้ค่อนข้างประสพความสำเร็จดีทีเดียวครับ เพราะเห็นว่ามีการเริ่มเฟสใหม่ ๆ กันแทบไม่ทัน สิ่งที่น่าชมเชยของเขาอีกอย่างก็คือ ความพร้อมในเรื่องสาธารณูปโภคที่มีการจัดเตรียมไว้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น น้ำ ไฟ โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต รถไฟใต้ดิน รถเมล์ ฯลฯ
       มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งประมาณว่า "พระเจ้าสร้างโลก แต่ชาวดัชต์สร้างเนเธอร์แลนด์" ซึ่งหากว่าเราได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนี้แล้ว จะพบว่าคำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงไปเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขังและต่ำกว่าระดับน้ำทะเล พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ตลอดช่วงประวัติศาสตร์คิดหาวิธีจัดการกับปัญหานี้ ด้วยการสร้างเขื่อนและคันดินกั้นเป็นชั้น ๆ แล้วใช้กังหันลมเป็นตัวช่วยในการวิดน้ำออก ด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงจัดการปัญหาน้ำท่วมขังได้ ทำให้มีพื้นที่เพาะปลูกทำเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นทีละนิดละหน่อย จนสามารถสร้างเป็นประเทศได้อย่างในปัจจุบันนี้ไงครับ

กังหันลมสำหรับวิดน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูก

       เมืองอัมสเตอร์ดัมแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพิพิธภัณฑ์ ที่ดัง ๆ หน่อยก็จะมีพิพิธภัณฑ์ไรค์มิวเซียม(Rijksmuseum) พิพิธภัณฑ์บ้านแอนน์ แฟรงค์(เด็กสาวชาวยิวที่ต้องแอบซ่อนตัวจากพวกนาซีในห้องใต้หลังคาแคบ ๆ เป็นเวลานานหลายปี แต่สุดท้ายก็โดนจับและส่งตัวไปยังสถานกักกันแล้วเสียชีวิตที่นั่น) พิพิธภัณฑ์แวนน์ โก๊ะ(วินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์, Vincent van Gogh) แล้วก็พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุซโซ่ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้ผมไม่ได้มีโอกาสแวะไปหรอกครับ ด้วยเวลาอันจำกัดแล้วก็ยังปรับตัวเรื่องเวลานอนกันไม่ได้ เวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการเดินเที่ยวชมเมืองแบบผ่าน ๆ เสียมากกว่า
       ในการไปเที่ยวแต่ละครั้งนั้นผมจะเน้นการเปิดหูเปิดตา ดูสภาพบ้านเมือง ผู้คน ศิลป วัฒนธรรม และความเป็นอยู่ ส่วนเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูล ตัวเลข สถิติหรือประวัติศาสตร์จะไม่ค่อยเน้นครับ เอาเป็นว่ารู้คร่าว ๆ พอสังเขปก็พอ ไม่ได้ตั้งใจเก็บรายละเอียดมากนัก เพราะกลัวจะเครียดและเหนื่อยจนเกินไป  แม้ในบางสถานที่อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์หรือปราสาทราชวัง ที่มักจะมีอุปกรณ์หูฟังสำหรับคำบรรยายภาษาต่าง ๆ ให้บริการเสมอ ภาษาที่บรรยายนั้นเล่าก็หลากหลายทั้งจีน ญี่ปุ่น แขก เกาหลี แต่ก็ไม่ยักเห็นมีภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษนั่นเล่าก็งู ๆ ปลา ๆ ลำพังจะพูดกับใครก็แทบจะไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว พวกเราก็เลยแก้ปัญหาด้วยการเสพทางสายตาก็พอ ถ้าเกิดติดใจสงสัยในเรื่องไหนค่อยมาหาข้อมูลย้อนหลังทางอินเตอร์เน็ตเอาจะสะดวกกว่าครับ
Den Haag
  
โบสถ์สวยที่เดลฟท์

ตึกหน้าตาน่ารักที่เดลฟท์

        วันที่สามพี่เขาพาไปเที่ยวนอกเมืองกันครับ โดยในตอนเช้าพาไปเที่ยวเมืองเดลฟท์(Delft) ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่น่ารักทีเดียว บ้านเรือนแต่ละหลังหน้าตาคล้ายบ้านตุ๊กตา เมืองนี้ขึ้นชื่อมากครับในยุคก่อนเรื่องการทำเครื่องกระเบื้อง ต่อจากนั้นก็พาไปเมืองเฮก(Den Haag) อันเป็นที่ตั้งของศาลโลก(ที่ตัดสินให้ไทยต้องเสียพระวิหารให้เขมรไปไงครับ) จากนั้นจึงพาไปเที่ยวที่ทำการรัฐบาลซึ่งตั้งอยู่ที่นี่ ตัวอาคารเป็นกลุ่มปราสาทเหมือนเป็นเมืองขนาดย่อม ๆ มีคูน้ำกว้างขวางล้อมรอบ ให้ความรู้สึกเหมือนหลงยุคเข้าไปยังโลกอดีตได้เป็นอย่างดีเลยหล่ะครับ
       ในตอนค่ำพวกเรามีโปรแกรมต้องไปดูละครเพลงกัน โรงละครก็ตั้งอยู่ชายทะเลในเมืองเฮกนั่นแหล่ะครับ ก่อนเวลานิดหน่อยจึงพากันไปเดินเล่นที่ริมหาด แต่เดินได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องรีบหาที่หลบเพราะลมแรงเหลือเกิน เล่นเอาลืมหูลืมตาไม่ขึ้นกันเลย ละครที่จะดูวันนี้คือเรื่องทาร์ซาน ก่อนไปพี่เขาก็บอกแล้วว่าให้หาอ่านเรื่องราวคร่าว ๆ ล่วงหน้ามาก่อน แต่ด้วยความที่เข้าใจว่าเขาจะเล่นเป็นภาษาอังกฤษก็เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไป ที่แท้เขาเล่นเป็นภาษาดัชต์ครับ ผลก็คือฟังไม่รู้เรื่องเลยตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ตื่นตาตื่นใจดีกับฉากและเทคนิคอันอลังการ เสียดายว่าตอนนั้นยังปรับเวลานอนไม่ได้ ผลก็คือนั่งสัปหงกไปเกือบทั้งเรื่อง ตั๋วละครนั้นเล่าก็ราคาแพงหูฉี่ ดีที่ว่างานนี้มีเจ้าภาพครับ แต่ก็ยังนึกเกรงใจเขาอยู่เหมือนกันที่เผลอนั่งหลับไปเสียอย่างนั้น

กลุ่มอาคารที่การรัฐบาลเมือง Den Haag


       พูดถึงคนดัชต์แล้วก็ต้องพูดถึงภาษาดัชต์กันบ้าง ภาษานี้อยู่ในกลุ่มเดียวกับภาษาเยอรมันซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปในแถบยุโรปเหนือ พี่เขาบอกว่าในแต่ละประเทศที่ใช้ภาษากลุ่มนี้สามารถสื่อสารกันเข้าใจ แต่สำเนียงหรือคำศัพย์ปลีกย่อยอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง ก็คงจะคล้าย ๆ ไทย ลาว และไทยใหญ่ ประมาณนั้น ที่ผมจำแม่นที่สุดก็เห็นจะเป็นชื่อถนนอันเป็นที่ตั้งของบ้านที่พวกเราไปอาศัยอยุ่ ชื่อถนน Elandsgracht (อิลังสขาร์ก)ครับ เวลาออกเสียงยากน่าดู เหมือนเราพยายามจะบ้วนเสลดหรือเสมหะไปด้วยขณะพูด
       สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ก็คือสวน กูเกอฮอฟ(Kuekenhof) ครับ ตั้งอยู่ทางใต้ของฮอลแลนด์ใกล้ ๆ กับเมือง Lisse พื้นที่เดิมเป็นสวนดอกไม้ในปราสาทของดัชเชสต์ผู้หนึ่ง จากนั้นจึงได้ดัดแปลงเป็นสวนสาธารณะขึ้นมา โดยพันธ์ไม้หลักที่ปลูกและเป็นหน้าเป็นตาของที่นี่ก็คือทิวลิปนั่นเองครับ นอกจากทิวลิปที่ปลูกในสวนสวยแห่งนี้แล้ว พื้นที่ภายนอกยังเป็นไร่ทิวลิปกว้างใหญ่หลากสีอย่างที่เราเคยเห็นในโปสเตอร์ สวนแห่งนี้เปิดให้เข้าชมแค่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นเองครับ(เมษายน-พฤษภาคม) ถ้าเลยจากช่วงนี้ไปก็หมดสิทธิ์






       จบวันที่สามในอัมสเตอร์ดัมด้วยความเหนื่อยอ่อน ตอนนี้ร่างกายยังปรับเวลานอนไม่ได้แต่พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางไปเบอร์ลินกันต่อแล้วหล่ะครับ เพื่อเป็นการขอบคุณในความกรุณาของพี่เขาผมจึงอยากจะใช้พื้นที่นี้ประชาสัมพันธ์ร้านอาหารให้เขาหน่อย เผื่อว่าใครผ่านไปแถวนั้นแล้วนึกอยากทานอาหารไทยก็แวะไปอุดหนุนกันได้นะครับ ร้าน Rakang(ระฆัง) Elandsgracht 29 1016 TM Amsterdam กลางวันเน้นขายข้าวราดแกงราคาย่อมเยา ส่วนในตอนค่ำเปิดเป็นภัตตาคารหรู หากอยากสำรองโต๊ะก็สามารถโทรไปได้ที่เบอร์นี้นะครับ 020 6275012



วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เตรียมพร้อมเพื่อความปลอดภัย



       12. ทำประกันการเดินทางให้พร้อม โดยปกติแล้วทางสถานทูตเขาจะแจ้งให้เราไปทำประกันการเดินทางก่อนไปรับวีซ่าตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ของแต่ละประเทศ โดยที่เราสามารถจะซื้อเพิ่มในบางเคสที่ประกันไม่ได้ครอบคลุมเอาไว้ เวลาซื้อประกันกับตัวแทนอย่าลืมถามรายละเอียดเขานะครับว่าครอบคลุมความเสียหายตรงไหนบ้าง แล้วถ้ามีอะไรที่เราเห็นว่าน่าจะซื้อเพิ่มก็ซื้อเสียเถ่อะครับ กันไว้ดีกว่าแก้ เพิ่มเงินอีกนิดหน่อยแต่ก็อุ่นใจครับ
       13. ควรจะหาซื้อกระเป๋าสตังค์และพาสปอร์ตแบบที่สามารถซ่อนไว้ตามที่ต่าง ๆ ในร่างกายได้ เช่นห้อยคอใต้เสื้อ คาดเอว หรือห้อยกับเข็มขัดแล้วสอดเข้าในกางเกง พวกมิจฉาชีพในยุโรปนั้นจะถนัดแนวฉก ชิง วิ่งราว เสียเป็นส่วนใหญ่ ไอ้ประเภทใช้อาวุธจี้หรือมอมยานั้นไม่ค่อยจะมีหรือถ้ามีก็นับว่าน้อยครับ นอกเสียจากว่าคุณจะประมาทกันจริง ๆ เช่นเดินไปไหนคนเดียวในที่เปลี่ยว หรือออกไปเที่ยวกับคนแปลกหน้า ฉนั้นถ้ามีคนมาคุยด้วยระหว่างการเดินทางก็อย่าพึ่งหลงดีใจว่ามีคนมาจีบนะครับ ถึงแม้ว่าเขาเหล่านั้นจะหน้าตาดีหรือวางท่าทางดูภูมิฐานแค่ไหนก็อย่าประมาทครับ พวกมิจฉาชีพมักมาในหลากหลายรูปแบบ แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวด้วยกันเองก็อย่าได้ไว้วางใจ ขอให้ระวังและรัดกุมที่สุดเป็นดีครับ
        พวกฉก ชิง วิ่งราว ส่วนใหญ่จะทำงานกันเป็นทีมตามแหล่งท่องเที่ยวที่ผู้คนจอแจ เช่นตามสถานีรถไฟ หรือรถไฟใต้ดิน วิธีการก็จะคล้าย ๆ กัน อาทิเช่นแกล้งมาเดินชนเราหรือมารุมถามให้เรางง จากนั้นก็แอบหยิบเอากระเป๋าตังค์ของเราไป ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าหากเราเอากระเป๋าสตังค์ซ่อนไว้ในที่มิดชิด ซึ่งจะทำให้พวกมันทำงานลำบากไปอีกขั้นหนึ่งครับ
       14. เช็คเดินทางควรจะจดหมายเลขเช็คทุกฉบับเก็บไว้ที่ไหนสักแห่งแยกต่างหากนะครับ ถ้าฉบับไหนเรานำไปแลกเงินแล้วก็ทำเครื่องหมายกำกับไว้หรือขีดทิ้ง ในกรณีเช็คหายหรือโดนขโมยจะได้แจ้งอายัตแต่เฉพาะฉบับที่ยังไม่ได้ใช้  ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกและรวดเร็วสำหรับธนาคารในการพิจารณาออกเช็คฉบับใหม่ให้ไงครับ เงินสดและบัตรเครดิตควรจะแยกเก็บไว้หลาย ๆ ที่เผื่อฉุกเฉิน แล้วก็อย่าลืมจดหมายเลขโทรศัพท์และที่ทำการของธนาคารเจ้าของบัตรประจำประเทศนั้น ๆ ไว้ด้วยนะครับ จดหมายเลขบนบัตรของเรา 16 หลักกำกับไว้ในกรณีที่คุณจำหมายเลขสมาชิคไม่ได้ ส่วนรหัส PIN และหมายเลขสามตัวหลังบัตรนั้นอย่าจดไว้รวมกันเด็ดขาดครับ
       15. เอกสารการเดินทาง พาสปอร์ต บัตรประชาชนและหนังสือรับรองต่าง ๆ ควรจะถ่ายสำเนาแยกเก็บไว้สักสองชุดนะครับ เผื่อทำหายจะได้มีหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ทางนู้นเค้าดำเนินเรื่องได้สะดวกไงครับ
       เอาหล่ะครับ ร่ายกันมายืดยาวพอดูสำหรับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก่อนการเดินทาง บางเรื่องอาจจะเป็นประโยชน์โดยตรงแต่บางเรื่องก็อาจจะไม่ ยังไงก็ลองนำไปใช้เป็นหลักเกณฑ์คร่าว ๆ กันดูนะครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ในบทหน้าผมจะพาพวกคุณเที่ยวกันเลย การเดินทางในแบบของผมอาจจะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดนัก แต่ก็พยายามเก็บเกี่ยวความประทับใจรายทางไว้ให้มากที่สุด สำหรับคนที่เคยมีประสพการณ์มาบ้างแล้ว เรื่องราวที่เล่าอาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักในเชิงข้อมูล แต่อย่างน้อยผมก็หวังว่ามันคงพอจะสร้างความเพลิดเพลินให้ได้บ้าง และสำหรับคนที่ยังไม่มีโอกาส  มันอาจจะช่วยจุดประกายไฟแห่งการเดินทาง ที่แอบซ่อนอยู่ในใจของใครต่อใครหลายคนให้ลุกโชนขึ้นมาได้ แล้วก็อย่าลืมกลับมาถ่ายทอดเรื่องราว แบ่งปันความประทับใจเหล่านั้นสู่กันฟังบ้างนะครับ

สภาพความวุ่นวายในรถไฟใต้ดินและบริเวณสถานี

การจัดกระเป๋าและสัมภาระ

      
       8. เมื่อพูดถึงการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางแล้วหลาย ๆ คนถึงกับประสาทกินเลยทีเดียว ยิ่งถ้าต้องเดินทางไกลเป็นเวลานาน ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งต้องคิดหนักใช่มั้ยหล่ะครับ วันนี้เราจะมาคุยว่ามีเรื่องจุกจิกอะไรบ้างที่เราต้องคำนึงถึงในการจัดกระเป๋ากันครับ
       8.1. แบบที่เหมาะสม ใช่แล้วครับรูปแบบของกระเป๋าเป็นอย่างแรกเลยที่เราต้องคำนึงถึง คุณผู้ชายหลาย ๆ คนอาจจะชอบแบบเป้สะพายหลังใบใหญ่ยักษ์ ที่ให้ทั้งความรู้สึกที่แสนแมนและจิตวิญญาณนักผจัญภัย แต่ผมคิดว่าควรจะเก็บเป้ใบเก่งของคุณไว้เดินป่าดีกว่าครับ เก็บมาดและความรู้สึกอันแสนแมนซ่อนไว้ก่อน แล้วหันมาลองพิจารณากระเป๋าเดินทางแบบล้อลากดู มันอาจจะขัดกับบุคลิกห่าม ๆ ของคุณไปบ้าง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นดีต่อสุขภาพช่วงหลังและเอวของคุณ ถ้าอยากจะเหลือกลิ่นอายความแมนไว้หน่อย ก็ลองเลือกแบบที่ทำจากผ้าใบเนื้อหนาสีตุ่น ๆ ก็น่าจะเหมาะกว่า ควรเลือกแบบล้อใหญ่เน้นทนทานและจะให้ดีก็ควรจะมีโช้คอัพกันกระเทือนด้วย เพราะการลากกระเป๋าเป็นเดือน ๆ ไปนู่นมานี่นั้นเราจะต้องเจอกับสภาพพื้นผิวถนนทุกรูปแบบ ควรจะเลือกแบบที่เน้นทนไว้ก่อนจะดีกว่าเน้นสวยครับ ถ้าหากเกิดพังขึ้นมากลางทางแล้วหล่ะก็จะเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
       กระเป๋าลากแบบวัสดุอัดแข็งก็เป็นอีกแบบที่ไม่ควรจะเลือก กระเป๋าแบบนั้นมีข้อดีอย่างเดียวคือสวยแต่ประโยชน์ใช้สอยค่อนข้างจำกัดครับ ทั้งจุของได้ไม่มาก,น้ำหนักเย๊อะและขาดความยืดหยุ่น ถ้าเกิดแตกหักเสียหายแล้วก็เป็นอันจบ ในขณะที่กระเป๋าผ้าใบเนื้อหนานั้นจะมีความยืดหยุ่นสูงและจุของได้มากกว่า วัสดุที่ใช้ทำคือผ้าทำให้มีน้ำหนักเบาแล้วในบางแบบยังสามารถขยายขนาดได้อีกนิดหน่อย อีกทั้งเต็มไปด้วยช่องเล็กช่องน้อยทั้งข้างในข้างนอก เรียกได้ว่าประโยชน์ใช้สอยครบครัน ถ้าหากเกิดชำรุดฉีกขาดระหว่างทาง ก็สามารถซ่อมแซมแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยง่าย เรียกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคากว่าแบบโครงแข็งอย่างแน่นอนครับ
       8.2ควรจะหากระเป๋าเป้สะพายหลังขนาดกำลังดีไว้ใส่ของใช้จุกจิกประจำวัน เลือกขนาดพอประมาณ วัสดุทำจากผ้าเนื้อดีที่กันน้ำ เนื้อผ้าควรจะหนาหรือเหนียวสักหน่อยเพื่อป้องกันการโดนกรีดด้วยของมีคม พวกมิจฉาชีพเขาทำงานประจำอยู่ทุกมุมโลกครับ กระเป๋าของเราทุกใบควรจะแข็งแรงและล็อคได้  จะเลือกแบบมีล็อคในตัวหรือว่าต้องซื้อแม่กุญแจมาล็อคเพิ่มก็สุดแล้วแต่ชอบครับ
      9. การจัดเสื้อผ้าควรคำนึงให้เหมาะสมตามฤดูกาล ทวีปยุโรปสำหรับคนไทยแล้วมีแต่หนาวและหนาวจัด ดังนั้นการจัดเสื้อผ้าให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น อีกทั้งสภาพอากาศที่เหมือนจะแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ เราจึงควรตระเตรียมไปให้พร้อม คิดเสมอครับว่าเหลือดีกว่าขาด สภาพอากาศในยุโรปสามารถจำแนกได้คร่าว ๆ อยู่ 3 แบบ ผมจึงขอแนะนำหลักเกณฑ์ในการจัดเตรียมเสื้อผ้าให้พอสังเขปดังนี้ครับ
       9.1.ช่วงฤดูหนาว(พฤศจิกายน-มีนาคม) เป็นช่วงที่อากาศหนาวจัด อาจมีลมแรงและหิมะตก ควรจัดเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวไปให้เพียงพอ เสื้อกันหนาวนั้นควรจะเป็นแบบบุด้วยเส้นใยขนสัตว์ที่สามารถกันน้ำและกันลมได้เต็มที่ หมวกกันหนาว ถุงมือหนังหรือไหมพรมเนื้อละเอียด ถุงเท้าอย่างดีเนื้อหนาและรองเท้าบู้ต สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือกางเกงในขายาวแบบลองก์จอห์น
       การเดินทางในหน้าหนาวอาจจะลำบากกันสักหน่อยในการขนสัมภาระพวกเครื่องกันหนาว แต่ก็มีข้อดีที่ว่าอากาศมันเย็นมากจนเราไม่มีเหงื่อ ดังนั้นกางเกงและเสื้อจึงไม่ค่อยเปื้อนหรือมีกลิ่นเหม็น ทำให้สามารถนำกลับมาใส่ได้ใหม่อีกหลายครั้งโดยไม่จำเป็นต้องซัก ในการแพ็คกระเป๋าสำหรับฤดูนี้จึงควรใช้ข้อได้เปรียบข้อนี้ให้เป็นประโยชน์ โดยขนไปแต่เครื่องกันหนาวและชุดชั้นในให้ครบอย่าได้ขาด ส่วนกางเกงและเสื้อธรรมดาขนไปแค่พอประมาณก็พอครับ แค่นี้ก็สามารถทุ่นน้ำหนักและแรงในการขนลงได้อีกเย๊อะเลยหล่ะครับ
       9.2.ช่วงฤดูที่อากาศอบอุ่น ซึ่งแบ่งออกเป็นสองช่วงครับคือฤดูใบไม้ผลิ(เมษายน-มิถุนายน) กับฤดูใบไม้ร่วง(กันยายน-ตุลาคม) สองฤดูที่กล่าวถึงนี้สภาพอากาศไม่ค่อยหนาวทารุณแต่ก็ยังนับว่าเย็นเอาการอยู่สำหรับคนไทย ควรจัดเตรียมเสื้อแจ็คเก็ตหรือสเวตเตอร์แบบที่พอจะกันฝนกันลมได้เหมือนกับที่เตรียมไปใส่สวย ๆ ช่วงปลายปีที่เชียงใหม่ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือร่มและผ้าพันคอ ฤดูนี้ถ้าฝนลงเม็ดหน่อยอุณหภูมิก็ลดฮวบฮาบลงหนาวเอาเรื่องเหมือนกันครับ
       ส่วนการใส่เสื้อผ้าซ้ำเหมือนหน้าหนาวก็พอเป็นไปได้ครับ นอกเสียจากว่าคุณเดินทางไปทางใต้อย่างกรีซ,อิตาลี หรือสเปนซึ่งอากาศเริ่มร้อนแล้ว การจะนำเสื้อผ้าเปื้อนเหงื่อกลับมาใส่ใหม่อาจจะดูน่าอึดอัดสำหรับบางคน แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นคนไม่มีกลิ่นเหงื่อหรือกลิ่นตัวเลยก็ตามสะดวกครับ
       9.3.ช่วงฤดูร้อน(กรกฎาคม-สิงหาคม) สภาพอากาศช่วงนี้ค่อนข้างสบาย ๆ สำหรับคนไทย การจัดกระเป๋าก็ไม่ต้องเตรียมเครื่องกันหนาวไปมากนัก แค่เตรียมแจ็คเก็ตไว้ใส่ช่วงเช้า ๆ กับกลางคืนดึก ๆ ก็พอ แต่อากาศในฤดูร้อนของทางยุโรปนั้นมีเรื่องให้ต้องระวังอยู่นิดหน่อย คือคลื่นความร้อนจากทวีปแอฟริกาที่มักจะแผ่เข้ามาปกคลุมภาคพื้นทวีปอยู่เป็นระยะ  คลื่นความร้อนที่ว่านั้นจากที่ได้ยินมานับว่าทารุณเอาการอยู่ครับ รุนแรงถึงขั้นที่ว่าทำเอาเด็กและคนแก่ฝรั่งป่วยตายกันปีละหลายคนเลยทีเดียว
       แต่สำหรับคนไทยจากเมืองร้อนอย่างพวกเราแล้วจะร้อนทารุณแค่ไหนเราก็พอจะรับมือได้ ในการเดินทางสมัยก่อนอาจจะมีเรื่องให้หนักใจอยู่นิดหน่อยตรงที่เขาไม่ค่อยติดเครื่องทำความเย็นกัน แต่หลังจากเผชิญวิกฤตคลื่นความร้อนหลายปีติดต่อกันเข้า เดี๋ยวนี้ตามอาคารสาธารณะทั่วไปมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วหล่ะครับ
       การจัดเสื้อผ้านั้นไม่จำเป็นต้องจัดไปจนครบวันหรอกนะครับ ให้เตรียมไปพอประมาณเน้นชุดนอนชุดเที่ยวชุดเดียวกันจะดีกว่า เสื้อผ้าที่เตรียมไปควรเป็นแบบซักและดูแลรักษาเองได้ง่าย เนื้อผ้าเป็นแบบไม่ต้องรีดและสกปรกยากจะดีมาก อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่าอากาศที่ยุโรปแห้งและเย็นกว่าบ้านเรา จึงตัดปัญหาเหงื่อและกลิ่นตัวไปได้ในระดับหนึ่ง เสื้อบางตัวที่ใส่ในวันที่ไม่ร้อนมากสามารถนำกลับมาใส่ซ้ำได้อีกถ้าไม่มีกลิ่น ส่วนกางเกงยีนส์โดยเฉพาะของคุณผู้ชายไม่ต้องพูดถึงครับ จะใส่ซ้ำเท่าไหร่ก็ไม่มีใครว่า นอกเสียจากว่ากลิ่นมันฟ้องจนเจ้าตัวทนไม่ไหวเอง เสื้อผ้าหรู ๆ แพง ๆ ไม่จำเป็นไม่ต้องเอาไปครับ แต่หากคุณมีโปรแกรมพิเศษอย่างเช่นดูมหรสพ จำพวกละครเวที,โอเปราหรือดินเนอร์ตามภัตตาคารหรู ถึงค่อยจัดเตรียมเครื่องแต่งกายไปให้เหมาะสมและถูกกาลเทศะด้วยนะครับ
       อยากเรียนว่าที่ยุโรปนั้นนอกจากย่านช็อปปิ้งหรูตามเมืองใหญ่ ผู้คนเขาไม่ค่อยจะสนใจกันนักหรอกครับเรื่องเสื้อผ้าแบรนด์แนมราคาแพง ไอ้เรื่องที่ว่าจะไปแต่งตัวประชันใครนั้นควรจะตัดออกไปก่อนครับ เข้าตาคนหน่ะเข้าแน่แต่กลัวจะเป็นพวกมิจฉาชีพเสียมากกว่า เน้นแต่งกายเรียบง่ายและสุภาพ ไม่เตะตาคนจนเกินไปนักจะปลอดภัยกว่าครับ
       10.เครื้องสำอางและยาคือสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ พวกเครื่องสำอางนั้นหากว่าไม่ได้เป็นของหาซื้อยาก จำพวกไวท์เทนนิ่งหรือครีมยารักษาสิว,ฝ้าที่หมอจัดให้ ก็อย่าหอบหิ้วไปให้หนักกระเป๋าเลยครับ ผมเคยเตรียมทุกอย่างไปทั้งโลชั่น,เจลล้างหน้าหรือแม้กระทั่งสบู่เหลว แล้วกลับพบความจริงว่าของที่ใช้ได้ดีที่บ้านเรานั้นมันช่วยอะไรไม่ได้เลยเมื่อนำไปใช้ที่นู่น ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นและแห้งอย่างทารุณจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเลือกซื้อเครื่องสำอางให้เหมาะกับสภาพอากาศ แรก ๆ ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าของบ้านเขาจะแพง แต่พอลองเดินเข้าไปเช็คราคาในซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วก็พอกันครับ นอกเสียจากว่าคุณจะติดหรูต้องใช้ของแบรนด์แพง ๆ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
       กลับเป็นจำพวกยาสามัญประจำบ้านเสียอีกที่ควรจะเตรียมไปให้พร้อม หากว่ามีโรคประจำตัวควรจะให้แพทย์จัดยาให้ครบและครอบคลุมตลอดระยะเวลาในการเดินทาง ที่สำคัญคืออย่าลืมให้เขาออกใบรับรองเป็นภาษาอังกฤษติดตัวไปด้วยนะครับ เผื่อกรณีฉุกเฉินอาจจะต้องใช้แสดงเวลาโดนค้นกระเป๋าที่สนามบิน
       พลาสเตอร์ปิดแผลและยาทาแก้เคล็ดขัดยอกก็เป็นอีกอย่างที่ไม่ควรขาด ร้านขายยาที่นู่นสะดวกสบายไม่แพ้บ้านเราก็จริงแต่ราคาแพง ยาหลายตัวต้องซื้อยกกล่องไม่แยกขายปลีกแบบบ้านเรา มีอยู่คราวหนึ่งเพื่อนผมที่ไปด้วยกันเกิดเจ็บคอขึ้นมา ก็เลยพากันไปหาซื้อยาอมแล้วหน้าต้องแตก เพราะดันไปขอซื้อเขาแยกแผง  ฝรั่งคนขายทำหน้างงใหญ่และคงจะนึกเหน็บแนมอยู่ในใจว่าเราขี้ตืด ก็เห็นกล่องนึงราคาปาเข้าไปเกือบห้าร้อยบาทแถมมีตั้ง 4-5 แผง เลยนึกว่าเขาจะแบ่งขายให้แบบบ้านเราไงครับ
       11.เข็ม,ด้าย,กระดุมและกาวตราช้าง เตรียมเหน็บใส่กระเป๋าไปด้วยนะครับไว้กันเหนียว เผื่อว่าเสื้อผ้าขาดกระดุมหลุดหรือแม้กระทั่งพื้นรองเท้าหลุด กระเป๋าล้อลากก็เป็นอะไรที่ใช้งานหนัก ๆ แล้วมักจะมีปัญหา ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาเราก็สามารถซ่อมเองง่าย ๆ ก่อนได้ไงครับ
       ที่ยุโรปนั้นของพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่าย ๆ นะครับ อย่างที่เคยบอกไปว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านค้าเปิดถึงแค่หกโมงเย็นและยังปิดวันอาทิตย์ทั้งวันอีกต่างหาก และตามสถิติแล้วเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันมักจะเกิดตอนที่เราไม่พร้อมเสียด้วยสิครับ
       อย่างสุดท้ายที่สำคัญมากลืมไม่ได้เลยเด็ดขาด ก็คือพวกอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคของคุณ อย่าลืมหาซื้อหัวปลั๊กอเนกประสงค์ที่มีช่องและขาเสียบหลาย ๆ แบบติดตัวไปด้วยนะครับ ยุโรปกับบ้านเราใช้ไฟฟ้าแรงดันเท่ากันแต่ที่เป็นปัญหาคือหัวเสียบ ในบางประเทศจะมีหัวเสียบที่ต่างแบบกันนิดหน่อย ดังนั้นเตรียมไปให้พร้อมเลยจะดีมากครับ
    

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เตรียมตัวก่อนเดินทาง(ต่อ)


       5.เคล็ดลับในการขอวีซ่าท่องเที่ยว ถึงตรงนี้หลายคนคงนึกเข็ดขยาดกับการต้องไปยืนรอหน้าสถานทูตแต่เช้าตรู่ ต้องเกร็งกันแทบตายเวลาเขาสัมภาษณ์หรือซักประวัติ ซึ่งส่วนมากเจ้าหน้าที่ในนั้นก็เป็นคนไทยเหมือนกับเรา แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมคุณ ๆ แต่ละคนถึงชอบทำเบ่งกันจัง ไหนจะความยุ่งยากเรื่องเอกสารอีกบานตะไท ฯลฯ
       สิ่งต่าง ๆ ที่เกริ่นมาข้างต้นนั้น เดี๋ยวนี้กลายเป็นอดีตไปแล้วหล่ะครับ ถ้าหากเราไม่สะดวกจะยื่นเรื่องเอง ก็สามารถติดต่อผ่านบริษัททัวร์ให้ทำเรื่องยื่นขอวีซ่าให้ได้ โดยยอมเสียค่าเป็นธุระจัดการให้เขาไปนิดหน่อยก็เรียบร้อย จะมีก็แต่บางกรณีอย่างประเทศเนเธอร์แลนด์หรือสหราชอาณาจักร(อังกฤษ)ที่ค่อนข้างเข้มงวดนิดหน่อย ผู้ขอต้องเดินทางไปด้วยในวันยื่นและอาจจะต้องเป็นผู้ไปรับเอกสารทั้งหมดคืนด้วยตัวเอง
        ตอนนี้ประเทศส่วนใหญ่ในสหภาพยุโรป หรือ EU ได้เข้าร่วมในกลุ่มเชงค์เก้นเรียบร้อยแล้วครับ เราสามารถขอประเทศใดประเทศหนึ่งในกลุ่มนั้นแล้วเดินทางเข้าออกประเทศสมาชิกได้ทั้งหมด ยกเว้นก็เพียงแต่สหราชอาณาจักร(อังกฤษ) แล้วก็กลุ่มประเทศที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตเก่าบางประเทศเท่านั้น ที่เราต้องขอวีซ่าแยกต่างหาก ส่วนข้อที่ว่าควรจะขอประเทศอะไรนั้นก็ให้ดูว่าเราตั้งใจไปลงเครื่องที่ไหนก่อนเป็นอันดับแรกครับ ถ้าขอวีซ่าประเทศอะไรไป เราต้องบินเข้าแล้วก็บินออกจากประเทศนั้นเท่านั้นครับ
        ส่วนใครที่ฝันหวานว่าไปเที่ยวยุโรปทั้งที ได้ผ่านเข้าประเทศนู้นออกประเทศนี้แล้วจะได้ประทับตรามาเต็มพาสปอร์ตนั้น ขอบอกว่าเตรียมตัวฝันสลายครับ ขอประเทศเดียวก็ได้แค่ประเทศเดียวจริง ๆ อีกอย่างตอนผ่านแดนก็ไม่ได้มี ตม. มายุ่มย่ามวุ่นวายกับเราเท่าไหร่ นอกจากว่าจะผ่านไปแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งอาจจะโดนตรวจนิดหน่อยฐานหน้าตาท่าทางเหมือนคนต่างด้าวไงครับ
        ส่วนคนที่อยากจะยื่นเรื่องเองก็สามารถทำได้โดยง่าย รายละเอียดเกี่ยวกับเอกสารและแบบฟอร์มสำหรับกรอกสามารถดาวน์โหลดได้โดยตรงจากเวปไซต์ของสถานทูต ซึ่งบางแห่งจะมีการนัดคิวล่วงหน้าทางอินเตอร์เน็ตซึ่งจึงนับได้ว่าสะดวกมากครับ เราไม่จำเป็นต้องไปแต่เช้ามืดเหมือนเมื่อก่อน อย่างคราวล่าสุดผมไปขอวีซ่าที่สถานทูตเนเธอร์แลนด์ก็ใช้วิธีนัดช่วง 11.00 น. แล้วก็เดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับจากเชียงใหม่ได้เลย ถือได้ว่าสะดวกมากครับ
       หลักฐานประกอบการขอหลัก ๆ แล้วก็จะมีประเภท หนังสือรับรองการทำงาน หนังสือรับรองเงินเดือน ใบลา หนังสือรับรองจากญาติหรือเจ้าบ้านทางนู้น(ถ้ามี จะดีมาก) สเตทเมนต์ย้อนหลัง 6 เดือน หนังสือจดทะเบียนการค้าและหลักฐานการเสียภาษี(ในกรณีเป็นเจ้าของกิจการ) ส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะเรียกเท่านี้ แต่ในกรณีที่เรายื่นเรื่องเองและเดินทางเอง ทางสถานทูตเขาก็อาจจะใช้เวลาพิจารณาเอกสารให้ละเอียดถี่ถ้วนหน่อย แล้วก็อาจจะเรียกขอเอกสารบางตัวเพิ่ม ซึ่งตรงนี้ผมก็มีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากครับ เผื่อจะทำให้วีซ่าเราได้รับการอนุมัติไวขึ้น
       5.1. เอกสารด้านการเงินหรือสเตทเมนต์ย้อนหลัง 6 เดือน ควรจะตกแต่งให้ดูดีที่สุด มีการเดินบัญชีสม่ำเสมอ วิธีทำไม่ยากครับแค่ผันเงินมาเข้าบัญชีของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เงินที่เตรียมไว้จะไปจ่ายค่าอะไรก็ตามแต่ ให้เอาเข้ามาพักในบัญชีก่อนเป็นอันดับแรก เสร็จแล้วค่อยเบิกออกไป ตอนเบิกออกก็ให้เบิกเกินเข้าไว้เมื่อจ่ายเสร็จแล้วค่อยนำเงินที่เหลือมาเข้าบัญชีใหม่ หรือบางคนอาจจะให้วิธียืมเงินผู้ปกครองมาพักไว้ในบัญชีก็ไม่เลว แต่อย่าเผลอเอาเงินส่วนนี้ไปใช้ก็แล้วกัน ไม่งั้นจะต้องมาปวดหัวคอยเคลียหนี้ในตอนหลังนะครับ
       5.2. โชว์บัตรเครดิตและเงินสดที่จะนำไปใช้ บัตรเครดิตไม่ต้องถึงขนาดถ่ายเอกสารหน้า-หลังแนบไปพร้อมลายเซ็นต์นะครับ อันนั้นค่อนข้างอันตรายไปซักหน่อย แค่กรอกในแบบฟอร์มว่าเรามีบัตรอะไร ธนาคารไหนบ้างก็พอ ส่วนเงินสดนั้นผมอยากจะแนะนำว่าแลกเป็นแทรเวลเช็คไปจะดีกว่า ถึงแม้มันจะดูล้าสมัยไปสักหน่อยแต่เรื่องความปลอดภัยแล้วหายห่วงครับ
       ทีนี้บางสถานทูตจะมีเงื่อนไขว่าต้องมีเงินสำหรับใช้ประจำวันขั้นต่ำเท่าไหร่ สำหรับทางสถานทูตเนเธอร์แลนด์เขากำหนดไว้ว่าขั้นต่ำต่อวันที่ 34 ยูโร เราก็คูณจำนวนวันแล้วก็แลกเช็คตามนั้นได้เลยครับ อย่าลืมแนบ Debit Note ซึ่งก็คือหลักฐานการแลกเช็คไปพร้อมกับเอกสารการยื่นขอด้วยนะครับ
       ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะครับ สำหรับเรื่องตัวเลขจำพวกค่าธรรมเนียมหรือรายละเอียดปลีกย่อยที่ผมมักจะเอ่ยถึงแต่ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลมากนัก ได้แต่บอกให้คุณ ๆ ไปเซิร์จหาข้อมูลเอาเองจากอินเตอร์เน็ต ใจจริงอยากให้ลองทำทุกอย่างด้วยตัวเองดูหน่ะครับแล้วจะรู้ว่ามันไม่ยากเลย อีกอย่างหนึ่งข้อมูลพวกนี้ก็มีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา ถ้าอยากได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและแน่นอนกว่าก็ควรลองหาดูเอาจากเวปไซต์ต่าง ๆ ด้วยตัวเองดูนะครับ
       5.3. แนบเอกสารการจองตั๋วเครื่องบินและรถไฟไปด้วยเลยครับ ตั๋วเครื่องบินควรระบุวันเดินทางไป-กลับให้ชัดเจน ตั๋วรถไฟถ้าเป็นยูเรลพาสต์ก็ควรจะมีระยะเวลาครอบคลุมหมายกำหนดการณ์ของเราทั้งหมด เอาให้เคลียไปเลยว่าเราไปแน่-กลับมาแน่ ไม่ต้องห่วงว่าจะไปโดดร่มเป็นโรบินฮู้ดอยู่ที่นั่น
       5.4. เอกสารการจองห้องพักและตารางการเดินทางที่แน่นอน เขียนไปคร่าว ๆ ก็ได้ครับว่าระหว่างที่อยู่ที่นู่นเราจะไปที่ไหนและพักอย่างไร ข้อนี้ก็สำคัญครับเพราะเค้าจะได้แน่ใจว่าเมื่อเราไปถึงที่นู่นได้จัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ดุ่ม ๆ ไปตายเอาดาบหน้าทำตัวเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนค่ำไหนนอนนั่น เผลอ ๆ ไปทำตัวเป็นคนไร้บ้านให้เป็นภาระแก่เขาเสียอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะไม่อยากให้เราไปหรอกครับ ยังไงก็เตรียมเรื่องนี้ให้พร้อมจะเป็นการดีกว่า
       6. การสำรองที่พัก ในข้อที่แล้วเราได้คุยกันถึงเรื่องเอกสารการสำรองห้องพักที่ควรจะยื่นไปพร้อมกับแบบฟอร์มการขอวีซ่า ทีนี้ก็มาดูกันครับว่าควรจะหาดูที่พักดี ๆ ได้ที่ไหนกัน ก่อนอื่นลองหาดูเอาจากกูเกิลก่อนนะครับ ลองใช้คีย์เวอร์ดง่าย ๆ เช่น Cheap Hotel in Europe แล้วมันก็จะมีลิงค์ของเวปไซต์ต่าง ๆ ขึ้นมา เราก็เข้าไปเลือกดูได้เลยครับว่าอยากได้ห้องประมาณไหน
        การจองห้องของแต่ละที่นั้นให้ดูให้ดีนะครับว่าเราได้จ่ายค่าห้องไปแล้วหรือว่าแค่จองเฉย ๆ เมื่อทำรายการเสร็จก็ปรินต์ใบจองเก็บไว้เป็นหลักฐานหนึ่งชุด แล้วถ่ายสำเนาสำหรับยื่นสถานทูตอีกหนึ่งชุดครับ    
       สำหรับผมแล้วแรก ๆ ก็ตัดสินใจยากอยู่เหมือนกันว่าจะพักที่ไหนอย่างไรดี เพราะโรงแรมในยุโรปอย่างพื้น ๆ ไม่มีอะไรเลยก็สี่ห้าพันเข้าไปแล้ว ราคาขนาดนี้ถ้าเป็นบ้านเราก็สามารถพักโรงแรมหรูระดับสี่-ห้าดาวได้สบาย จนกระทั่งพี่คนนึงแนะนำโรงแรม Ibis Hotel ให้ เรียกได้ว่าโดนมาก ห้องพักมาตรฐาน เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ห้องน้ำสะอาด การออกแบบโดยรวมดูทันสมัย เรื่องความสะดวกและปลอดภัยไม่ต้องพูดถึงเพราะตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยวสำคัญกลางเมือง ที่สำคัญราคาค่อนข้างถูกมากตกอยู่ที่ประมาณสามถึงสี่พันกว่า ๆ แล้วแต่ย่านที่เราเลือกอีกที ลองคลิ๊กเข้าไปชมเวปไซต์ของเขาได้ที่นี่นะครับ http://www.ibishotel.com/ รับรองไม่ผิดหวังครับ
       อีกสองเวปไซต์ที่อยากจะแนะนำไว้ตรงนี้เผื่อเป็นทางเลือกให้อีกหลาย ๆ เมืองที่อาจจะไม่มีโรงแรมอีบีสเปิดให้บริการ http://www.agoda.com/ แล้วก็ http://www.booking.com/  ยังไงก็ลองเข้าไปหาข้อมูลกันดูตามสะดวกนะครับ
       7.ทีนี้พอพูดถึงการอยู่ไปแล้วก็มาถึงการกินครับ สำหรับใครหลาย ๆ คนเรื่องกินเรื่องใหญ่เลยทีเดียว ยิ่งคนไทยด้วยแล้ว ไปบ้านไหนเมืองไหนจะให้เจออาหารถูกปากเหมือนอยู่บ้านตัวเองเป็นไม่มี อาหารไทยในต่างแดนนั้นเป็นของสูงและค่อนข้างจะไกลเกินเอื้อมไปสักหน่อย ร้านอาหารไทยถึงแม้จะมีอยู่เกือบทุกเมืองแต่ราคาค่อนข้างแพง ส่วนอาหารจีนกลับกลายเป็นของพื้น ๆ ไปเสียอีก สามารถหากินได้ทั่วไป อร่อยบ้างไม่อร่อยบ้างแล้วแต่ดวงครับ
       หลาย ๆ คนคงเป็นเหมือนผมที่ไม่ถูกกับอาหารฝรั่งอย่างรุนแรง เพราะรสชาติที่ทั้งจืดและเลี่ยนจนเกินจะทน ตรงนี้ผมมีวิธีแก้ปัญหาง่าย ๆ มาฝากครับ ให้เตรียมน้ำพริกสำเร็จรูปไปด้วยเลยจากบ้าน จำพวกน้ำพริกแห้ง ๆ สารพัดสูตร ที่เขาทำสำเร็จใส่ประปุกขายตามห้างหรือตามซุปเปอร์มาร์เก็ตนั่นแหล่ะครับ เรื่องการกินให้ถูกปากนี่ขอให้บอกครับ ของแบบนี้คนไทยถนัดนัก ไม่ว่าจะกินข้างทางหรือตามภัตตาคารหรู จะเป็นแซนด์วิช เบอร์เกอร์ หมี่ผัดหมี่ซั่ว สเต็ค แฮม หรือข้าวอบต่าง ๆ แค่เราเหยาะน้ำพริกพวกนี้ลงไปซักหน่อย ก็พอคลายความเลี่ยนและความคิดถึงอาหารไทยไปได้อักโข ไม่เชื่อลองทำดูนะครับ
       ทีนี้พวกที่พักบางแห่งที่ราคาถูกกว่า(รวมทั้งอีบิส) ราคาค่าห้องต่อคืนมักจะไม่รวมอาหารเช้า ถ้าเราจะทานอาหารเช้าไปจากโรงแรมเขาก็จะบวกเพิ่มต่างหาก ซึ่งก็แพงเอาการอยู่ วิธีหนึ่งที่พอจะช่วยเราประหยัดค่าอาหารเช้าได้ก็คือ ไปหาซื้อของจากซุปเปอร์มาเก็ตมาตุนไว้ครับ พวกขนมนมเนยผักผลไม้น่ากินกว่าบ้านเราเย๊อะ ราคาก็พอประมาณแต่ที่สำคัญถูกปากกว่าไปกินตามร้านด้วยครับ มีข้อควรจำอยู่นิดหน่อยก็คือ ซุปเปอร์มาร์เก็ตบ้านเขาปิดหกโมงเย็นและหยุดทุกวันอาทิตย์ ฉนั้นถ้าไม่อยากอดตาย อย่าลืมซื้อของตุนเผื่อวันอาทิตย์ให้เรียบร้อยด้วยนะครับ
 
                             
ห้องพักที่สเปนราคาไม่ถึงร้อยยูโรสะดวกสบายพอใช้

ห้องพักที่สวิสเซอร์แลนด์ราคาแพงมากสองร้อยกว่ายูโรแต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทุกสิ่งอย่าง

ห้องพักที่โรมราคาร้อยกว่ายูโรแต่หายากมากเพราะไม่ได้เตรียมตัวไปแต่เนิ่น ๆ แต่ก็นับว่าคุ้มเหนื่อย

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำที่เกินจำเป็นไปซักหน่อย แถมใช้งานได้ไม่เต็มที่เพราะน้ำประปาไม่แรงเลย

ห้องพักที่ Granada สเป็น ราคาประมาณร้อยกว่ายูโรแต่สวยงามสะดวกสะบายมาก

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ท่องยุโรปง่าย ๆ ใคร ๆ ก็บินได้


       ยุโรป ดินแดนในฝันที่ใคร ๆ ต่างก็อยากจะไปเยือนกันสักครั้งหนึ่ง หลาย ๆ คนเฝ้าเพียรทำงานเก็บเงิน แล้วกันเอาไว้ส่วนหนึ่งสำหรับเป็นงบในการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ แต่เมื่อถึงเวลาจะไปจริง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแหยง ๆ กับการท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะไปกับบริษัททัวร์ หรืออย่างที่นิยมเรียกกันเล่น ๆ ว่าทัวร์ชะโงก
       การเดินทางท่องเที่ยวลักษณะนั้นสำหรับผมแล้วคิดว่ามันจำกัดทั้งเวลาและแพงด้วยงบประมาณ เพราะถ้าหากเราคำนวนจากวันและสถานที่ดูแล้วไม่ค่อยคุ้มเลยครับ นี่ยังไม่นับรวมถึงการโดนหั่นบางรายการทิ้งเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน แล้วผู้นำเที่ยวไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ทั้งหมดได้ ผมว่าเราเอาเงินส่วนนั้นมาจัดทริปไปกันเองจะคุ้มค่ากว่าครับ เมื่อนึกถึงว่าเราอยากจะไปไหนเมื่อไหร่ก็ได้ อยากอยู่ที่ไหนนานเท่าไหร่ก็แล้วแต่เรา ซึ่งในโลกแห่งเทคโนโลยีอย่างทุกวันนี้ การเดินทางท่องยุโรปด้วยตัวเองดูจะไม่ใช่ฝันที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป

ทะเลสาบแห่งหนึ่งในสวิสเซอร์แลนด์ ระหว่างทางจากซูริคถึงลูการ์โน

       ทุกวันนี้อินเตอร์เน็ตมีส่วนสำคัญต่อชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก เราสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส ลองเข้าไปเซิร์จหาข้อมูลจากเวปยอดฮิตอย่างกูเกิ้ลดูนะครับ หากสนใจอยากจะไปเที่ยวเมืองไหนประเทศไหน ก็หาอ่านดูก่อนจากอินเตอร์เน็ต เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ลองวางโปรแกรมและงบประมาณกันดู สำหรับคนที่ยังไม่เคยจัดทริปไปกันเองมาก่อน หลาย ๆ เรื่องอาจจะดูมืดแปดด้านไปสักหน่อย ดังนั้นผมจึงขอแนะนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเท่าที่พอจะรวบรวมมาได้ ไว้สำหรับเป็นหลักเกณฑ์ง่าย ๆ ในการเตรียมตัวและวางแผนก่อนเดินทางดังนี้นะครับ
        1.ระยะเวลาในการเดินทาง เกณฑ์ที่ง่ายที่สุดในการคำนวนคร่าว ๆ จากงบประมาณที่มีอยู่ โดยนำเงินเก็บในส่วนที่จะกันไว้เที่ยวมาหักค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ประเภทตั๋วเครื่องบินและตั๋วรถไฟออก(ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ถูกที่สุดอยู่ที่ประมาณ 35,000 บาท ตั๋วยูเรลพาสต์คำนวนตามวัน ถูกสุดอยู่ที่ประมาณหมื่นกว่าบาท) แล้วนำไปหารด้วยค่าใช้จ่ายประจำวันก็จะได้จำนวนวันที่เหมาะสมออกมาครับ (ราคาห้องพักมาตรฐานเฉลี่ยประมาณ 4,000 บาทต่อคืน ส่วนค่าอาหารประหยัดสุดก็กะไว้คร่าว ๆ ที่ 1,000 บาทต่อวัน)       
       โดยห้องพักถ้าหากเลือกแบบโฮสเทลหรือบ้านพักเยาวชนราคาจะถูกกว่านี้มากครับ แต่ก็ต้องแลกเอานิดหน่อยเรื่องความสะดวกสบายหรือว่าความปลอดภัย งบประมาณเรื่องการช็อปปิ้งให้คิดแยกต่างหาก ถ้าคุณเป็นคนไม่ซื้อของเลยก็สบายใจได้ครับ ส่วนค่าเข้าชมสถานที่จำพวกประสาทราชวังและพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ อยู่ที่ประมาณ 400-900 บาท โบสถ์ วิหาร หรืออารามต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเปิดให้เข้าชมฟรีครับ
       2.เมืองและประเทศที่อยากไป สำหรับท่านที่ยังไม่เคยไปก็ขอแนะนำให้เลือกเมืองหลัก ๆ ก่อนครับ เพราะโดยภาพรวมแล้วบ้านเมืองในยุโรปจะดูไม่แตกต่างกันมากนัก อีกอย่างเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรปจะมีความพร้อมและสะดวกสบายกว่าเมืองเล็กในหลาย ๆ เรื่อง ถ้าเราเที่ยวจนชำนาญและมีประสพการณ์มากพอแล้ว ค่อยหาโอกาสเจาะเที่ยวตามเมืองเล็กเมืองน้อยทีหลังเอาครับ
       3.บินกับสายการบินไหนดีถึงจะคุ้มค่าและประหยัดเวลาในการเดินทาง ข้อนี้ตัดสินใจไม่ยากครับถ้าท่านมีงบประมาณไม่อั้นและอยากสบายแล้วหล่ะก็ ขอแนะนำให้เลือกบินกับสายการบินใหญ่ ๆ ไปเลย  แต่จะสบายกระเป๋าหรือเปล่าค่อยดูกันอีกทีครับ ส่วนใครที่งบไม่มากพอก็ขอแนะนำให้พิจารณาสายการบินรองลงมาก็มีให้เลือกหลากหลาย ลองเช็คราคาและตารางบินได้จากเวปไซต์ของเอเยนซี่หลาย ๆ เจ้าดูนะครับ ส่วนใหญ่ราคาที่โชว์ค่อนข้างมาตรฐาน โดยมีหลักเกณฑ์ง่าย ๆ ให้คำนึงถึงดังนี้
       3.1. เที่ยวบินตรงแบบไม่ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องจะสะดวกกว่า รวมทั้งลดความเสี่ยงเรื่องความล่าช้าและกระเป๋าเดินทางสูญหายระหว่างการเดินทางออกไปได้
       3.2. สายการบินบางสาย โดยเฉพาะของประเทศแถบตะวันออกกลาง ที่ถึงแม้จะทำราคาได้ค่อนข้างถูกมาก แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงเรื่องความล่าช้า และความไม่สะดวกในขั้นตอนของการแวะเปลี่ยนเครื่อง ทั้งยังไม่นับรวมถึงเรื่องมลภาวะทางเสียงและกลิ่น หรืออาจจะรวมทั้งความเสี่ยงจากภัยของผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าไม่อยากให้เที่ยวบินในฝันกลายเป็นฝันร้ายแล้วหล่ะก็ อยากจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงสายการบินเหล่านี้ไปก่อนครับ
       4.การเดินทางระหว่างเมืองควรจะเลือกแบบไหนจะสะดวก หลัก ๆ แล้วก็มีสองทางให้พิจารณาครับ
       4.1. ทางอากาศ(โดยสายการบินโลว์คอสต์ในภูมิภาค) วิธีนี้ก็เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสะดวกรวดเร็ว แต่สำหรับผมและอีกหลาย ๆ คนที่ไม่ชอบการบินแล้วหล่ะก็ เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างทรมานครับ เหตุเพราะเที่ยวบินโลว์คอสต์ของเขาที่นั่งจะเล็กและแคบกว่าของบ้านเรามาก ขนาดว่าคนตัวเล็ก ๆ อย่างผมเข้าไปนั่ง หัวเข่ายังเบียดกับพนักพิงของแถวหน้าเลยหล่ะครับ อีกทั้งสภาพอากาศก็ปรวนแปรสุดแสนจะคาดเดา ผมเคยบินกับสายการบินโลวคอสต์ที่ยุโรปสองครั้ง ขอบอกตามตรงว่ารู้สึกเข็ดครับ กับการต้องนั่งหลังแข็งอยู่ในที่นั่งแคบ ๆ แล้วเครื่องก็เขย่าขโยกเหมือนตกหลุมอากาศอยู่ตลอดเวลา ตอนนั่งก็เฝ้าแต่ภาวนาขอให้ถึงปลายทางไว ๆ ถ้าให้เลือกได้ก็คิดว่าจะไม่ขอนั่งอีกครับ

ภาพวิวข้างทางถ่ายจากหน้าต่างรถไฟในสวิสเซอร์แลนด์

       4.2. ทางบก(โดยรถไฟ) สำหรับหลาย ๆ คนที่การเดินทางด้วยรถไฟในวัยเด็กยังเป็นอะไรที่ประทับใจอยู่ไม่รู้ลืมแล้วหล่ะก็ ขอบอกว่ารถไฟในยุโรปมีอะไรครบทุกอย่างที่เราเคยฝันถึงเลยหล่ะครับ ทั้งความรวดเร็ว สะดวกสบายและตรงเวลา วิวสองข้างทางก็สวยจนเกินบรรยาย ภายในตู้โดยสารก็สะอาดสะอ้านเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แถมบางขบวนยังมีขนมและของว่างไว้คอยบริการฟรีอีกด้วยครับ
       โดยเราสามารถซื้อตั๋วแบบเหมาหรือ ยูเรลพาสต์(Eurail Pass) จากเมืองไทยไปได้เลย ขอย้ำว่าต้องซื้อจากเมืองไทยไปเท่านั้นนะครับ ถ้าไปซื้อตั๋วที่นู่นจะได้ตั๋วปลีกแล้วก็ราคาค่อนข้างแพงแถมยังไต่ระดับขึ้นลงเหมือนตลาดหุ้น ราคาตั๋วมีหลากหลายตามประเภทที่เราเลือก สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เอเยนต์หรือบริษัททัวร์ใหญ่ ๆ ใกล้บ้านครับ
       แต่ก็อย่าพึ่งด่วนสรุปว่ามีตั๋วยูเรลพาสต์แล้วจะสามารถวิ่งขึ้นวิ่งลงรถไฟได้ตามสะดวกนะครับ เมื่อไปถึงยุโรปแล้วเราต้องไปเปิดตั๋วประทับตาเมื่อแรกใช้ก่อน แล้วก่อนการเดินทางแต่ละครั้งก็ต้องสำรองที่นั่งให้เรียบร้อยเพื่อรับประกันว่าเราจะมีที่ให้นั่งไปจนถึงปลายทาง อาจจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเล็กน้อยหรือไม่มีขึ้นอยู่กับนโยบายของการรถไฟในประเทศนั้น ๆ สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือในบางประเทศที่เขาเรียกเก็บค่าธรรมเนียม แต่เราเกิดเผลอเรอเดินดุ่มขึ้นไปโดยไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยก่อน เมื่อถึงตอนที่นายตรวจมาพบเราจะถูกปรับเงินเพิ่มครับ เรียกได้ว่างานนี้เสียทั้งเงินเสียทั้งหน้าเลยทีเดียว ฉนั้นเพื่อความปลอดภัยอย่าลืมจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนเดินทางนะครับ
สะพานและอุโมงค์รถไฟในออสเตรีย
      
ภาพวิวข้างทางถ่ายจากหน้าต่างรถไฟในสวิสเซอร์แลนด์