วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปิซ่า....และมิตรภาพบนทางผ่าน (Pisa....and Friendship along the way) Pisa,Italy

   
        วันที่สี่ในโรมสายฝนโปรยปรายแต่เช้าและทำท่าว่าจะไม่หยุดเอาง่าย ๆ แต่วันนี้เราจะไปเที่ยวปิซ่ากันครับ หวังว่าที่นั่นฝนคงจะไม่ตก ในเมื่อตั๋วยูเรลจะหมดอายุในวันพรุ่งนี้แล้ว และโรมก็เที่ยวกันจนคิดว่าทั่ว เลยพากันเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งรถไฟเล่นต่างเมืองดีกว่า
       จากโรมไปปิซ่าถือว่าไกลพอควรเหมือนกันครับ ความจริงถ้านึกอยากเที่ยวตั้งแต่แรก เราควรจะนั่งรถแวะไปตั้งแต่ตอนที่อยู่ฟลอเรนซ์เพราะใกล้กว่า แต่ตอนนั้นมี 2 ช้อยส์ให้เลือกคือปีซ่าและเวนีซ ซึ่งเวนีซดูจะมีภาษีกว่ามาก เราเลยตัดปิซ่าออกไปก่อน เมื่อดูในแผนที่แล้วจากโรมถึงปิซ่าเส้นทางรถไฟเลียบเลาะชายฝั่งทะเลไปตลอด ในตัวเมืองปิซ่าจริง ๆ คงจะไม่มีอะไร แต่อย่างน้อยก็ถือเสียว่าได้นั่งรถไฟสูดกลิ่นไอทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก็ยังดีครับ
       แล้วรถไฟก็ดีเลย์ร่วม 2 ชั่วโมงกว่าแบบไม่มีกำหนด พอไปถามที่เคาท์เตอร์เขาก็บอกว่ารถมาแน่ แต่ช้านิดหน่อยด้วยสาเหตุขัดข้องบางประการ ระหว่างนั้นผมก็เลยเดินเที่ยวดูอะไรฆ่าเวลาไปพลาง ๆ พึ่งสังเกตว่าในสถานีรถไฟแตร์มินี่ มีช็อปหรูอย่างชาแนลและปราดาเปิดทำการด้วยครับ แต่การจัดวางสินค้าและดิสเพลย์ดูไม่โอ่อ่าใหญ่โตเหมือนที่เกษรหรือพารากอน ส่วนเรื่องราคาไม่ต้องพูดถึงครับคงจะมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ของฟุ่่มเฟือยเหล่านี้มีไว้ให้พวกเศรษฐีเงินถุงเงินถังใช้เท่านั้น อย่างพวกเราหากตะเกียกตะกายควักเนื้อซื้อมาใช้ ก็คงจะมีแต่คนหาว่าบ้า หรือไม่ก็คงจะหยามน้ำหน้าเอาได้ว่าอย่างเราหรือจะมีปัญญาใช้ของแท้
       อีกอย่างหนึ่งอาจจะทำให้หลายคนในบ้านเราภูมิใจ ก็คือกำหนดการเข้าฉายของหนังฮอลลีวูด ซึ่งจะช้ากว่าบ้านเรามากครับ ตอนนั้นจำได้ว่าเรื่องที่กำลังโปรโมทอยู่ในโรม ผมได้ดูจากโรงที่เชียงใหม่ก่อนหน้านั้นเป็นเดือน ๆ แล้ว แสดงว่าตลาดนักดูหนังของไทยค่อนข้างใหญ่พอสมควร เราถึงได้มีโอกาสดูหนังฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่องได้ก่อนใครในภูมิภาคไงครับ
       และแล้วรถไฟไปปิซ่าก็เข้าเทียบชานชาลาได้เสียที ในขบวนรถแน่นเหมือนเคยจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับประเทศนี้ ระหว่างทางขณะที่รถกำลังแล่นไปนั้นเอง นายตั๋วก็เดินมาตรวจถึงตรงห้องที่พวกผมนั่งอยู่ พอแกเห็นว่ามีใครไม่รู้มือบอนแอบแง้มกระจกหน้าต่างทิ้งไว้ เลยต่อว่าต่อขานออกมายกใหญ่ซึ่งผมฟังแล้วก็ไม่เข้าใจเลยปล่อยผ่าน แต่คู่สามี-ภรรยาที่นั่งข้างผมคงเหลืออด เลยสวนกลับไปยกใหญ่ แล้วก็เกิดการถกเถียงกันยืดยาวใหญ่โต สมแล้วหล่ะครับที่มีคนตั้งฉายาให้คนอิตาเลียนว่าเป็นเจ๊กยุโรป ลาวหัวดำสองคนจากเมืองไทยเลยได้แต่นั่งเหงื่อตกเพราะกลัวลูกหลง
       ที่อิตาลีนี่เราจะเห็นคนทะเลาะกันจนเป็นเรื่องธรรมดาครรับ มันอาจจะเป็นแค่การถกเถียงกันด้วยเรื่องเล็กน้อยก็ได้ แต่ด้วยลีลาและน้ำเสียงทำให้ดูเหมือนกับว่ากำลังทะเลาะกันใหญ่โต แต่ละคนระเบิดอารมณ์ใส่กันเหมือนโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน แต่พอทะเลาะเสร็จก็เลิกแล้วกันไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ส่วนนี้น่าจะเป็นข้อดีของเขามั้งครับตรงที่ว่าสามารถแสดงออกได้เต็มที่ ผิดจากบ้านเราที่มัวอ้อมค้อมกว่าจะพูดออกมาได้ก็อัดอั้นจนอกแทบระเบิด สังคมเมืองไทยถึงเหมือนจะรอมชอมแต่จริง ๆ แล้วเก็บกด พอนานเข้าเมื่อถึงจุดเดือดหลายคนจึงบันดาลโทสะออกมาด้วยความรุนแรง แต่จะว่าไปการพูดจาโผงผางตรงไปตรงมาอย่างฝรั่งก็คงจะเหมาะแต่กับคนเชื้อชาติฝรั่งด้วยกันเท่านั้น หากคนไทยคิดอยากจะเปลี่ยนไปทำตามเขาก็คงไม่เหมาะหรอกครับ ยังไงเสียผมก็ยังคิดว่าเราเป็นอย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีแล้ว อย่างไหนที่ดีเราก็เก็บไว้ ส่วนอย่างไหนที่ไม่ดี ที่สากลเขาไม่ยอมรับก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนมันไป


       ในตู้โดยสารเดียวกันนั้นยังมีผู้ชายอีกสามคนนั่งอยู่ ตัวโตสูงใหญ่พูดจาโผงผางดูท่าไม่น่าไว้วางใจซักเท่าไหร่ คนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าพอจะพูดภาษาอังกฤษได้กล้อมแกล้ม  เค้าเข้ามาชวนพวกเราคุยทำทีเหมือนตีสนิท ถามพวกเราว่าเป็นใคร มาจากไหนกัน และกำลังจะไปไหน โดยประโยคที่ใช้โต้ตอบกันนั้นต้องพูดให้สั้น ๆ คือถ้าพูดยาวมากแกจะไม่เข้าใจครับ และก็เป็นเพื่อนผมอีกแล้วครับที่เคยเล่าให้ฟังว่า เคยมีประสพการณ์เลวร้ายค่อนข้างสาหัสเลยทีเดียว กับการเดินทางด้วยรถไฟในอิตาลี กล่าวคือโดนวางยาปลดทรัพย์บนตู้นอนเที่ยวกลางคืน เมื่อนานมาแล้วขณะกำลังเดินทางจากโมนาร์โคไปมิลาน โชคดีที่ตอนนั้นถือเงินสดไม่มาก ส่วนใหญ่ก็เป็นทราเวลเช็ค และเขาก็รอบคอบพอจะจดหมายเลขกำกับของทุกใบไว้ พอไปแจ้งหายธนาคารจึงสามารถอายัดและออกใบใหม่ทดแทนให้ได้ทันท่วงที แต่กว่าจะเสร็จเรื่องก็ใช้เวลาหลายวันครับ เล่นเอาเกือบหมดอารมณ์เที่ยว แปลกแต่ก็จริงที่เขาไม่เคยรู้สึกเข็ด สำหรับผมถึงแม้จะไม่ใช่ประสพการณ์ตรง แต่เมื่อเห็นคนแปลกหน้าพยายามเข้ามาตีสนิทด้วยอย่างนี้ กลับทำให้รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
       เรื่องการใช้เช็คเดินทางนั้นหลาย ๆ คนอาจจะเห็นว่าล้าสมัย ด้วยว่าเดี๋ยวนี้มีทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือแม้กระทั่งบัตรเอทีเอ็มที่สามารถกดเงินได้ทั่วโลก แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่าถ้าทำหายแล้วอายัดไม่ทันก็เตรียมตัวปวดหัวกันได้เลย โดยเฉพาะบัตรเครดิตและบัตรเดบิตจำพวกวีซ่า-อีเล็คตรอน ซึ่งสามารถนำไปรูดซื้อของได้ทันที โดยแทบไม่มีการตรวจดูชื่อหรือลายเซ็นต์ด้านหลังบัตร การจะแจ้งอายัดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ ไหนจะเรื่องภาษาที่ไม่สามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง มีเพื่อนผมคนหนึ่งเคยทำบัตรวีซ่า-อีเล็คตรอนหายที่เมืองไทย พอโทรไปอายัดเขาให้แจ้งหมายเลขบัตร 16 หลัก เพื่อนผมคนนั้นอึ้งเลยครับ เป็นใครจะไปจำได้ ผลก็คือเงินในบัญชีโดนรูดซื้อของไปเกือบเกลี้ยง เรื่องนี้เพื่อนเล่าให้ฟังเมื่อนานมากแล้วครับ ก็ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้เค้าจะปรับปรุงกันหรือยัง ไม่รู้ว่ายังจะต้องแจ้งหมายเลขบัตรอีกหรือเปล่า(สำหรับคนที่พกบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบคงปวดหัวตาย)
       นี่ขนาดว่าเรื่องเกิดที่เมืองไทยนะครับ ถ้าเป็นต่างบ้านต่างเมืองน่ากลัวจะยุ่งยากกว่าหลายเท่า บัตรเอทีเอ็มก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะมิจฉาชีพเดี๋ยวนี้สามารถสรรหาทุกวิถีทางในการจะล้วงข้อมูลของเราไปได้ ยังไงเสียในใจของผมตอนนี้ เช็คเดินทางก็มาเป็นอันดับหนึ่งเสมอเรื่องความปลอดภัยครับ
       นอกเรื่องไปเสียยืดยาว ทีนี้มาคุยกันต่อเรื่องเพื่อนใหม่ดีกว่าครับ แกเล่าให้ฟังว่าเดินทางมาจากเนเปิลทางภาคใต้เพื่อจะไปเจนัวซึ่งอยู่ทางเหนือ ในส่วนของระยะทางน่าจะไกลพอ ๆ กับภูเก็ต-เชียงใหม่ แต่ระหว่างทางก่อนถึงโรมนั่นเอง ก็มาเกิดเรื่องขึ้นกลางทางเสียก่อนเพราะรถดันไปชนคนตายเข้า จนถึงตอนนี้ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือการฆ่าตัวตายกันแน่ และนั่นก็คือสาเหตุว่าทำไมรถถึงได้ดีเลย์นานขนาดนั้นไงครับ ดีนะเนี่ยที่เราขึ้นรถขบวนนี้กันตอนกลางวัน ถ้าเป็นกลางคืนอาจจะเกิดอาการจิตหลอนกันอีกก็ได้ หลังจากที่พึ่งหลอนไปเมื่อคืนนี้
       ไม่รู้ว่าแกเกิดถูกอกถูกใจอะไรพวกผมนักหนา ถึงได้คอยสังเกตสังกากันยกใหญ่ พอเห็นแหวนที่เพื่อนผมใส่ว่าสวย ก็ขอให้ถอดให้ดูแล้วถามซื้อเอาดื้อ ๆ พอเพื่อนผมบอกปัดไปว่าไม่คิดจะขายหรอก แกก็ควักเงินออกมาให้ดูเป็นฟ่อน ๆ ว่าเห็นมั้ยฉันมีเงินจ่ายนะ เสร็จแล้วก็มาขอดูนาฬิกาข้อมือผมอีกว่าสวยดียี่ห้ออะไร พอผมตอบไปว่าไซโก(Seiko) แกก็พูดสำทับใหญ่บอกว่ายี่ห้อนี้ดีนะเพื่อนเขาก็ใส่แต่เป็นของ Made in Taiwan ถึงตรงนี้เพื่อนเขาจากที่นั่งกันเงียบ ๆ เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย พอได้ยินอย่างนี้ก็หัวเราะร่วนกันใหญ่      
       เรื่องสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้นจริง ๆ แล้ว แหล่งผลิตอันดับโลกที่ทำในเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบเลยคือจีนและไต้หวันครับ ส่วนบ้านเราที่เป็นปัญหาขึ้นบัญชีดำกับเขา เพราะว่าเป็นแหล่งกระจายสินค้ามากกว่า  โดยผู้บริโภคหลักส่วนใหญ่ก็คือพวกนักท่องเที่ยวจากฝั่งตะวันตกนั่นเอง คุณ ๆ หลายคนคงเคยได้ยินข่าวมาบ้างแล้วนะครับว่า ถ้าไม่อยากถูกจับที่ยุโรปแล้วหล่ะก็ อย่างหนึ่งที่ควรจะหลีกเลี่ยงไม่ควรใช้เด็ดขาดเวลาไปเที่ยวก็คือ บรรดาเสื้อผ้า,กระเป๋าหรือรองเท้าที่ทำปลอมยี่ห้อดัง ๆ ของบ้านเค้า เห็นว่าที่อิตาลีและฝรั่งเศสค่อนข้างเข้มงวดกันเลยทีเดียว ถูกจับเสียค่าปรับคงไม่เท่าไหร่แต่เสียหน้านี่สิครับเรื่องใหญ่ ฉนั้นช่วยกันเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศเราหน่อยครับ ถ้าไม่มีปัญญาซื้อของแท้แล้วหล่ะก็เลิกซื้อเลิกใช้ไปเลยจะดีกว่า (เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีบริหารให้เช่าด้วยนะครับ สำหรับใครที่อยากโชว์แต่ไม่มีปัญญาซื้อ)
       คุยกันไปคุยกันมาก็ชักจะเริ่มถูกคอ ถึงแม้ว่าวิธีการหลายอย่างของพวกเขา จะดูคล้ายพวกแกงค์ตกทองในเมืองไทย แต่จะว่าไปพวกเราก็ไม่มีทองที่ไหนให้ตกหรอกครับ ท่าทางเขาคงจะเหนื่อยและเซ็งกับการเดินทางมากกว่า พอเห็นนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราผ่านมาเลยชวนคุยแก้เหงา และเราก็ได้ทราบข่าวเครื่องของโอเรียนท์ไทยไถลตกรันเวย์จากปากพวกเขานั่นเอง
       คุยกันไปดูวิวกันไปก็พอดีถึงปิซ่าเสียก่อน จากโรมใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า เลาะเลียบชายฝั่งทะเลทิร์เรเนียน(Tyrrhenian Sea) ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของเมดิเตอร์เรเนียน(Mediterranean Sea) นั่นเอง อีกฟากหนึ่งของฝั่งทะเลนี้ก็คือทวีปแอฟริกา ดังนั้นสภาพอากาศแถบนี้จึงร้อนและแห้งกว่าภูมิภาคอื่นของยุโรป ก่อนร่ำลาจากกันก็มีการแลกเปลี่ยนชื่อที่อยู่กันเล็กน้อย เผื่อว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหากโชคอำนวย แต่มิตรภาพบนทางผ่านเมื่อจากกันไปแล้วก็เหมือนลาลับ โอกาสจะได้กลับมาเจอะเจอกันอีกนั้นแทบไม่มี อย่างไรเสียก็ยังดีกว่า ที่อย่างน้อยมิตรภาพเล็ก ๆ ในครั้งนี้ พอจะช่วยลบความรู้สึกไม่ดีต่อผู้คนบนแผ่นดินนี้ออกไปจากใจได้บ้าง และหากจะมีโอกาสสักครั้ง พวกเราก็อยากกลับมาเยือนที่นี่อีกเสมอ
       ที่ปิซ่าผมกับเพื่อนเถียงกันอีกเล็กน้อยว่าจะเดินหรือนั่งรถเมล์ดี ใจผมก็อยากเดินดูวิวไปเรื่อย ๆ แบบไม่รีบร้อนเพราะคิดว่าไม่ไกลมาก ส่วนเพื่อนผมถึงวันนี้คงจะล้าเต็มทีแล้ว เพราะเล่นเดินกันทุกวันจนพื้นรองเท้าสึก แล้วสุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายชนะ จะด้วยเพราะอะไรก็ตามแต่ เพื่อจะมารู้ความจริงในตอนหลังว่ามันไม่ได้ใกล้อย่างที่คิดเลย ตอนแรกคะเนด้วยสายตาคร่าว ๆ จากแผนที่แผ่นใหญ่ที่แปะไว้ตรงสถานีรถไฟ ก็คิดว่าเดินเลยโค้งหน้าคงถึง พอเอาเข้าจริงผ่านไปโค้งแล้วโค้งเล่าก็ยังไม่ถึง หอเอนที่คิดว่าน่าจะมองเห็นจากตรงไหนของเมืองก็ได้ จนป่านนี้แล้ว ก็ยังไม่โผล่พ้นหลังคาตึกมาให้ใจชื้นเสียที
       รูปแบบของอาคารบ้านเรือนและโทนสีที่ใช้ในปิซ่า ดูคล้ายฟลอเรนซ์มากครับ ถ้าหากจะบอกว่าเหมือนเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันก็คงจะไม่ผิดนัก เสียดายที่ผมมัวแต่จ้ำอ้าวเลยไม่ได้หยุดแวะถ่ายรูปมาให้ชมกันนะครับ
       แล้วก็มาถึงหอเอนเจ้าปัญหาจนได้ หลาย ๆ คนคงจะเคยผ่านตากันมาบ้างแล้วจากในโทรทัศน์หรือหนังสือแนะนำแหล่งเที่ยว และถ้ายังจำกันได้ก็ตอนมัธยมต้นในวิชาวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องกฏของแรงโน้มถ่วงไงครับ ที่เซอร์ไอแซค นิวตัน ได้มาทำการทดลองภาคปฏิบัติว่า ด้วยการโยนลูกตุ้มเหล็กลงจากหอเอนแห่งนี้ ตัวหอสูง 54 เมตรหน้าตาคล้ายเค้กแต่งงานก้อนเท่า ๆ กัน ที่เอามาวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เห็นว่าตอนนี้ตัวหอเอียงจากแกนกลางไปประมาณ 4.25 เมตร และคงจะล้มลงในอีก 100 ปีข้างหน้านี้เป็นแน่ถ้ายังไม่รีบทำอะไรเสียก่อน


       หอเอนเริ่มสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 โดยชาวเมืองปิซ่าที่ต้องการสร้างให้ใหญ่และสูงกว่าของเมืองคู่แข่ง แต่เจ้ากรรมด้วยชั้นดินที่อ่อนนุ่มและฐานรากที่ไม่มั่นคง ทำให้ตัวหอเริ่มเอียงให้เห็นเมื่อก่อสร้างขึ้นไปได้แค่ 2-3 ชั้นเท่านั้น แต่ด้วยความมุทะลุและความอยากที่จะเอาชนะของมนุษย์ จึงทำให้ดันทุรังสร้างหอสำเร็จจนได้ และนับจากนั้นหอก็ค่อย ๆ เอียงลงจนถึงทุกวันนี้
        ด้วยเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ วิศวกรจึงได้ทำการเสริมฐานรากของโครงสร้างให้มั่นคงขึ้น และคาดว่าคงจะไม่เอียงมากไปกว่านี้อีกแล้ว เห็นว่าเขาอนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบนหอได้แต่จำกัดจำนวนคน ซึ่งดูจากสภาพแล้วพวกผมไม่ขอขึ้นไปเด็ดขาดครับ เอียงกะเท่เร่ออกอย่างนั้นกลัวเดินเซตกระเบียงลงมาหน่ะสิครับ
       ในบริเวณเดียวกันยังมีมหาวิหารและหอทำพิธีแป๊ปติส ถ้าหากจะเข้าชมต้องซื้อตั๋วซึ่งออกจะผิดธรรมเนียมคนงกอย่างพวกเราไปสักหน่อย จริง ๆ แล้วโบสถ์วิหารส่วนใหญ่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีครับ แต่ที่นี่มีการเก็บบัตร ผ่านแสดงว่าข้างในต้องมีอะไรที่พิเศษจริง ๆ น่าเสียดายว่าไม่มีเวลาเดินเตร็ดเตร่กันอีกแล้ว พอถ่ายรูปกับหอเอนเสร็จก็พากันเดินฉับ ๆ กลับสถานีกันเลย
       ที่สถานีรถไฟปิซ่าเห็นมีเคาท์เตอร์แลกเงินตั้งอยู่เช่นกัน ด้านข้างมีบอร์ดแสดงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมแลกเช็คแปะไว้ ผมเดินเข้าไปดูอีกครั้งเพราะยังค้างคาใจเรื่องค่าธรรมเนียมที่เสียไปเมื่อวันก่อน สรุปก็คือถ้าหากเป็นเคาท์เตอร์ลักษณะนี้หรือตามโรงแรมที่รับแลก ถ้าไม่จำเป็นหัวเด็ดตีนขาด
ยังไงก็ไม่ขอแนะนำให้แลกครับ เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เท่าไหร่ แต่ค่าธรรมเนียมน 18 เปอร์เซ็นต์นี่สิครับ เท่ากับดอกเบี้ยบัตรเครดิตบ้านเราที้งปีเลยทีเดียว
       วันนี้กว่าจะกลับถึงโรมก็มืดค่ำ ผมอยู่ที่นี่สี่วันจนเริ่มรู้สึกคุ้นกับสถานที่แล้ว ด้วยความคิดถึงบ้านเลยบอกให้เพื่อนแยกกลับไปก่อน โดยตัวเองขออยู่เล่นอินเตอร์เน็ตต่อสักพักตามร้านแถวนั้น ค่าอินเตอร์เน็ตชั่วโมงละ 1 ยูโร แต่ต้องวางพาสปอร์ตไว้ที่แคชเชียร์ เพื่อความไม่ประมาทเลยเลือกนั่งโต๊ะที่ใกล้ที่สุด ไม่รู้ว่าเขาจะเอาพาสปอร์ตเราไปทำอะไรมั่ง หลังจากได้ส่งข่าวกลับบ้านและแช็ตกับเพื่อนจนหนำใจแล้วจึงกลับไปนอน
       ระหว่างที่ยืนรอรถไฟใต้ดินอยู่ในสถานีนั้นเอง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาถามทางกับผมด้วยภาษาอิตาเลียน พร้อมกับทำมือไม้ชี้ไปที่ราง เดาดูแกคงจะถามประมาณว่ารถไฟสายนี้จะไปไหนหรืออะไรทำนองนั้น ผมเลยยิ้มพร้อมกับชี้ไปที่ป้ายที่บอกชื่อสถานีปลายทางให้ พอตอบเสร็จแกก็ทำหน้าเอ้ออ้อเหมือนจะรู้เรื่องพูดขอบคุณแล้วก็เดินจากไป
       นี่สงสัยผมคงจะอยู่นานเกินไปจนดูกลืนกับคนที่นี่ไปแล้วมั้งครับ ไม่งั้นคงจะไม่มีคนแปลกหน้าเดินดุ่มเข้ามาถามทางแบบนี้ นึกกระหยิ่มอยู่ในใจแล้วก็ให้เสียดาย พรุ่งนี้แล้วสิครับที่ต้องเดินทางต่อ เจ็ดวันในอิตาลีช่างครบรสเสียจนไม่อยากจากไปไหน พรุ่งนี้จะต้องขึ้นเครื่องไปสเปนกันต่อแล้วครับ โดยเรานัดเพื่อนคนไทยอีกสามคนให้ไปเจอกันที่นั่น แล้วบทหน้ามาคุยกันต่อด้วยเรื่องของสเปนนะครับ  มาดูกันซิว่าคนสเปนกับอิตาเลียนคล้ายหรือต่างกันอย่างไรบ้าง   
      

1 ความคิดเห็น:

  1. บทนี้ขอบคุณเพื่อนกิ๊กและเพื่อนเจนมากนะครับที่ช่วยตั้งชื่อเพราะ ๆ ภาษาอังกฤษให้

    ตอบลบ