วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กอร์โดบา........ด้วยแรงแห่งศรัทธา (The Force of Faith) Gordoba, Spain


       วันนี้เราจะออกเดินทางท่องแคว้นอันดาลูเซียกันแล้วครับ ตอนไปรับรถเช่าเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกันนิดหน่อย เพราะในสำนักงานไม่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้เลย ต้องใช้ภาษาใบ้กันยืดยาวกว่าจะรู้เรื่อง ในคณะของเรามีพี่คนหนึ่งที่พอจะขับรถเลนขวาได้ เราเลยพร้อมใจกันยกตำแหน่งสารถีให้พี่เขาไป อุปกรณ์นำทางหรือ'ทอม ทอม'ต้องจ่ายเงินเพิ่มต่างหาก ส่วนเสียงบรรยายเป็นเสียงผู้หญิงวัยค่อนไปทางกลางคนหน่อย ๆ พวกเราเลยขนานนามเธอใหม่ว่า "คุณแม่" นับต่อจากนี้ไปอีก 4-5 วันเธอจะมีอิทธิพลกับเราพอสมควรครับ เพราะจะเป็นคนคอยบงการให้ซ้ายหันขวาหันตามแต่ใจเธอปรารถนา
       ออกจากเซบีญ่าบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยในตอนแรกคุณแม่คอยกำกับบอกทางให้อย่างแข็งขัน พอจะถึงทุกแยกทุกเลี้ยวเธอเป็นต้องกำชับแน่นหนา ให้พวกเราเตรียมตัวอยู่ทุกระยะ แต่พอเป็นทางตรงยาวเธอก็เล่นเงียบเสียงไปเสี้ยดื้อ ๆ จะเพราะด้วยความเหนื่อยหรืออย่างไรไม่ทราบครับ เมื่อเห็นเธอเงียบไปนานเข้าก็เลยต้องเคาะดูเสียหน่อย เรื่องของเรื่องคือกลัวคุณแม่แอบงีบหลับแล้วปล่อยให้พวกเราหลงยังไงหล่ะครับ

ช่องเขาบนป้อม มองออกไปเห็นที่ราบแห้งแล้งกว้างใหญ่

ลักษณะบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา ล้อมรอบด้วยที่ราบสูง ภาพนี้ถ่ายจากเมืองเล็ก ๆ ที่พวกเราแวะพักทานอาหารกลางวันกันครับ

       เราแวะทานอาหารกลางวันกันที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง บ้านเมืองในสเปนกระจุกรวมกันอยู่บนเนินสูง ห้อมล้อมกำแพงและป้อมปราการแน่นหนา นอกเขตเมืองไปก็เป็นที่ราบแห้งแล้งกว้างใหญ่ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าความเป็นอยู่ในสมัยโบราณคงจะลำบากกันมาก การจะเดินทางไปต่างเมืองแต่ละทีเป็นต้องตระเตรียมอาหารและน้ำดื่มไปให้เพียงพอ ไม่งั้นอาจจะต้องอดตายกันกลางทางเอาได้ง่าย ๆ
       มื้อนี้เป็นมื้อแรกในสเปนที่รู้สึกว่าอาหารอร่อยครับ จะว่าเป็นอาหารสเปนก็ไม่เชิงนัก เพราะดูจากหน้าตากระเดียดไปทางอาหรับเสียมากกว่า ลักษณะเป็นแป้งโรตีแผ่นบาง ๆ ห่อเนื้อสัตว์และผักแล้วราดด้วยน้ำจิ้มตามแต่จะเลือก ใช้ทานแนมกับพริกและแตงกวาในน้ำส้มสายชูเพื่อแก้เลี่ยน สอบถามได้ความว่าคือทาปาสของว่างอันขึ้นชื่อของเค้านั่นเองครับ ส่วนแตงกวากับพริกดองนั่นถามเขาว่าเรียกว่าอะไร พี่แกก็ตอบว่าคือ'อาจาด' เรียกเหมือนกันกับบ้านเราไม่ผิดเพี้ยนเลยหล่ะครับ

ถนนรอบเมซกิตาสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบและสวยงาม

       เป็นอันว่าเสียงคุณแม่จะเอะอะเป็นพิเศษก็ตอนวิ่งเข้าเขตเมืองครับ พอออกนอกเขตไปแล้วเสียงเธอก็ซาลง เมื่อใกล้ถึงกอร์โดบาเธอจึงรีบกุลีกุจอบอกทางอีกครั้งให้พวกเราก็ขับไปตามนั้น มารู้สึกเฉลียวใจกันก็อีตอนขับรถวนกลับมาที่เดิมนั่นแหล่ะครับ แล้วเธอก็ให้เลี้ยววกเข้าไปใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้ 2-3 รอบ เมื่อเห็นทีไม่ได้การเลยจัดการปิดปากหล่อนเสีย ก่อนที่จะมีน้ำโหไปมากกว่านี้ แล้วก็ไม่มีอะไรแน่นอนไปกว่าระบบเดิม นั่นคือการถามทางเอาจากชาวบ้านละแวกนั้นอีกแล้วหล่ะครับ
       ที่พักของเราวันนี้อยู่ติดกับมหาวิหารประจำเมืองหรือเมซกิตา(Mezquita) คำนี้ในภาษาสเปนแปลว่า มัสยิสถ์ ซึ่งเรียกตามลักษณะอาคารที่แต่เดิมเป็นศาสนสถานในศาสนาอิสลามมาก่อน วันนี้กว่าจะถึงที่พักได้ก็ค่ำมาก เลยยกยอดไว้เที่ยวชมเมืองในวันรุ่งขึ้นแบบรวดเดียวจบเลยนะครับ

ประตูไม้บานใหญ่หน้าเมซกิตาซึ่งทำหน้าที่เป็นช่องแสงในตัว โดดเด่นด้วยลวดลายรูปดาวและเลขาคณิต

       เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปยืนออกันอยู่ตรงประตูทางเข้าตั้งแต่เขายังไม่ทันเปิด พอมีคนมาเปิดให้ปุ๊บพวกพี่ ๆ ก็พากันกรูเข้าไป ว่าพลางดีอกดีใจกันใหญ่ว่าที่นี่เขาให้เข้าชมฟรีไม่มีเสียตังค์ เมซกิตาแห่งนี้ยังคงลักษณะทางสถาปัตยกรรมเดิม ซึ่งเป็นแบบศาสนาอิสลามเอาไว้ได้เป็นอย่างดีเลยครับ ข้างในเป็นลานกว้างใหญ่ เรียงรายไปด้วยเสาหินอ่อนนับพัน ที่รองรับซุ้มโค้งรูปเกือกม้าสีแดงขาวถึงสองชั้น วัตถุดิบที่ใช้ทำเสานำมาจากซากเดิมของพวกโรมันและวิสิกอธส์ ผู้ซึ่งเคยครองดินแดนแถบนี้มาก่อน แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือจำนวนและลวดลายของหัวเสาแต่ละต้น ที่ทั้งสวยงามและหลากหลายมาก ๆ เลยหล่ะครับ

ทุ่งเสาหินนับพันในเมซกิตา

หลังคาโดมทรงฟักทอง ศิลปอิสลามชั้นหนึ่งในแผ่นดินสเปน

ลักษณะขื่อคานตามรูปแบบเดิมที่ยังไม่ถูกรื้อหรือแก้ไขดัดแปลง

       ตรงกลางของสุเหร่ามีการสร้างโบสถ์คริสต์คร่อมทับลงไปดูขัดตา และที่มุมอับด้านลึกสุดก็มีร่องรอยของความพยายามที่โง่เขลา ในการที่จะรื้อโครงสร้างเดิมออกแล้วทำใหม่เข้าไปแทนในแบบคริสต์ ซึ่งก็คงจะมีการวิพากย์วิจารย์กันมากทีเดียวนะครับในสมัยนั้น โครงการนี้เลยเป็นอันต้องพับไปเสียก่อน น่าเสียดายของเดิมที่ถูกรื้อทิ้งไป แล้วถูกแทนที่ด้วยของใหม่ซึ่งด้อยค่ากว่ามาก พอถึงตอนนี้จะทำให้กลับไปเป็นอย่างเดิมก็ไม่ได้อีกแล้ว

หลังคาส่วนนี้ถูกรื้อและพยายามทำใหม่ในแบบตะวันตกแต่ไม่สำเร็จ สภาพเลยครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างที่เห็น

รูปเคารพพระเยซู แทรกองค์อยู่ในซุ้มโขงแบบอิสลาม

ภายในวิหารคริสที่สร้างคร่อมตรงกลางสุเหร่าเอาไว้ พอหลุดเข้ามาตรงนี้เหมือนอยู่กันคนละโลก

       ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างศาสนสถานของคริสต์และอิสลามก็คือ สุเหร่าของอิสลามไม่มีแท่นบูชาครับ จะมีก็แต่เพียงเวิ้งในผนังห้องด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวกำหนดทิศให้ทุกคนหันหน้าไปทางนครเมกกะ ลวดลายที่ประดับตกแต่งดูวิจิตรบรรจง รูปแบบเน้นความสมมาตรและไม่ใช้รูปคนหรือสัตว์เป็นส่วนประกอบ ส่วนของทางคริสต์จะเน้นแท่นบูชาโอ่อ่าอลังการ เพดานสูงโอ่โถงและหอระฆัง เหมือนกับว่าต้องทำให้สูงที่สุดเพื่อการเข้าถึงพระเป็นเจ้า มีการใช้รูปเคารพกันอย่างเอิกเกริก ซึ่งมีทั้งเทพยดา นางฟ้า นักบุญ หรือแม้แต่สัตว์ในตำนานต่าง ๆ  หลังจากเดินชมความงามของวิหารจนทั่วแล้วพวกเราก็พากันไปเที่ยวชมเมืองกันต่อครับ


แท่นบูชาในวิหารแบบคริสต์ ที่เต็มไปด้วยรูปเคารพต่าง ๆ

       นครกอร์โดบาแห่งนี้ความเป็นมาดูท่าจะเก่าแก่กว่าเซบีญ่า ดังจะเห็นได้จากซากโบราณของพวกโรมันที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป รวมทั้งสะพานข้ามแม่น้ำซึ่งยังคงใช้การได้ดีอยู่ ก่อนยุคของโรมันที่นี่เคยถูกครองโดยกรีกและฟินิเชียน หลังจากนั้นจึงเป็นยุคของโรมัน ซึ่งก็ถูกรุกไล่ออกไปในอีกทีตอนหลัง โดยชนเผ่าป่าเถื่อนจากทางเหนือที่เรียกว่าวิสิกอธส์ หลังจากวิสิกอธส์ไปแล้วถึงจะเป็นแขกมัวร์ครับ นัยว่าแต่เดิมนั้น พวกมัวร์เหยียบย่างเข้ามายังดินแดนนี้ ก็ด้วยการชักชวนของวิสิกอธส์เอง ผู้ซึ่งเป็นฝ่ายร้องขอให้พวกเขายกทัพเข้ามา เพื่อทำการแทรกแซงในสงครามแย่งชิงบัลลังค์กันเองระหว่างเหล่าราชวงค์ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าหลังสงครามสงบ บรรดาเหล่านักรบมัวร์เกิดติดอกติดใจดินแดนแถบนี้ แล้วจึงพากันลงหลักปักฐานไม่ยอมกลับเอาเสียดื้อ ๆ สุดท้ายพวกวิสิกอธส์จึงเป็นฝ่ายพลาดท่าถูกขับไล่ออกไปแทน นับแต่นั้นชาวมัวร์จากแอฟริกาเหนือจึงพากันทยอยอพยพเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ จนอาณาจักรอิสลามของพวกเขาแผ่ขยายครอบคลุมสเปนทางตอนใต้ได้เกือบหมด
       อาจเป็นเพราะดินแดนนี้แห้งแล้งทารุณ ซึ่งยากต่อการเพาะปลูกหรือดำเนินชีวิตก็เป็นได้ครับ ในตอนแรกเลยยังไม่ค่อยมีใครสนใจให้ค่าที่นี่สักเท่าไหร่  แล้วก็ได้พวกมัวร์นี่เองที่เป็นผู้ทำนุบำรุงกอร์โดบาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เป็นเมืองหลวงของแคว้นอิสลามที่มีวัฒนธรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคพื้นยุโรป

สะพานจากยุคโรมันที่ยังใช้การได้ดีอยู่จนถึงปัจจุบัน

       ด้วยความที่มีต้นกำเนิดมาจากแผ่นดินแห้งแล้งทางแอฟริกา ชาวมัวร์มีวิทยาการสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง ที่ค่อนข้างก้าวล้ำกว่าทางยุโรปมาก นั่นก็คือการทำชลประทานครับ พวกเขาสร้างระหัดวิดน้ำขนาดใหญ่เพื่อผันน้ำสู่ลำเหมือง สำหรับใช้ทำการเพาะปลูกได้กว้างไกล แม้ในแผ่นดินทุรกันดารแห้งแล้งแค่ไหน ก็สามารถพลิกฟื้นให้เขียวชอุ่มขึ้นมาได้ จนในที่สุดเมื่อสเปนและคริสเตียนเริ่มตระหนักได้ ถึงศักยภาพของดินแดนแถบนี้ จึงเกิดนึกหวงแหนและพากันรุกไล่พวกเขาไปจนพ้นดินแดนยุโรปในที่สุด
       ประวัติศาสตร์ส่วนนี้เราศึกษากันอย่างคร่าว ๆ จากพิพิธภัณธ์ท้องถิ่นขนาดเล็ก ที่เขาจัดแสดงไว้ในป้อมหรือประสาทหินเก่า ๆ แห่งหนึ่งริมแม่น้ำนั่นเอง โดยในตอนแรกเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กอย่างพวกเราหลงมา ตาคนเฝ้าแกก็ชักชวนให้ขึ้นไปชมข้างบน แต่พอเห็นเราทำท่าลังเลเมื่อทราบราคาตั๋ว แกก็เลยถามว่า "เป็นนักเรียนกันหรือเปล่า มีบัตรมั้ย" จังหว่ะที่กำลังตั้งท่าจะขำกันนั่นเอง พี่คนหนึ่งรีบเบรคไว้เสียก่อนแล้วตอบกลับไปว่า "มี...แต่ลืมเอามา" จะด้วยความเหงาเพราะไม่ค่อยมีคนหลงมาหรือไม่ทราบครับ แกเลยยอมขายให้ในราคาลดซึ่งถูกกว่าราคาเต็มมาก แถมยังลงทุนเป็นคนนำเที่ยวด้วยตัวเองเสียด้วยสิครับ
       ที่ริมแม่น้ำมีซากระหัดวิดน้ำที่เลิกใช้งานแล้วตั้งอยู่ เห็นว่าเป็นของเดิมหนึ่งในสี่อันที่หลงเหลือในภูมิภาคนี้ครับ รูปแบบเป็นกงล้อขนาดใหญ่ทำด้วยไม้ เหมือนที่เราเคยเห็นทั่วไปในสารคดีนั่นแหล่ะครับ เพียงแต่อันนี้จะใหญ่กว่ามาก และที่ดูแปลกตากว่าและไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนก็คือ ส่วนปลายของใบพัดแต่ละใบจะมีภาชนะดินเผาคล้ายไหผูกอยู่ ด้วยไหนี่เองครับที่ทำหน้าที่คอยตักและเทน้ำใส่รางรินสู่ลำเหมืองอีกที


พอมองเลยเขตเมืองออกไปจะเห็นแต่ความเวิ้งว้าง

       อากาศช่วงบ่ายในกอร์โดบาแดดร้อนทารุณกว่าที่เซบีญ่ามากเลยครับ พอเดินไปได้ซักพักก็ต้องหาที่หลบกันจ้าละหวั่น สมแล้วที่แถวนี้เขามีประเพณีพักงีบในช่วงบ่ายที่เรียกว่าเซียสต้า กล่าวคือหลังจากพักเที่ยงแล้ว ร้านรวงสำนักงานต่าง ๆ เขาก็จะปิดทำการกัน แถมยังลากยาวไปจนบ่ายสามถึงบ่ายสี่ แล้วค่อยกลับมาทำงานกันใหม่ในช่วงเย็น ล่วงเลยไปจนถึงตอนสองสามทุ่ม การทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาพักผ่อนนั้น คงจะพบเห็นได้แต่เพียงแถบภูมิภาคเราเท่านั้นหล่ะครับ ทางฝั่งยุโรปหรือประเทศที่เจริญแล้ว เขาจะให้ความสำคัญกับวันหยุดและเวลาพักผ่อนกันมาก ไอ้ที่จะเห็นเปิด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์นั้นบอกตามตรงว่าหายากเต็มทีครับ
       หลังจากนั้นก็พากันไปดูป้อมหรือปราสาทเก่าประจำเมือง ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่นัก ตัวอาคารออกจะเล็กและคับแคบจนทำอะไรไม่น่าสะดวก ขนาดว่าพวกเราตัวเปล่า ๆ ยังเดินชนโน่นชนนี่ไปตลอดทาง นึกไปถึงพวกทหารสมัยก่อนที่ใส่ชุดเกราะเต็มยศ เวลาเดินคงมีการชนนั่นชนนี่ดังโครมครามทั้งวันแน่
       ค่อยยังชั่วหน่อยที่ข้างประสาทมีสวนสวยให้เราได้หยุดพักผ่อน เลยพากันนั่ง ๆ นอน ๆ จ่อมอยู่ตรงนั้นไม่อยากเดินออกไปไหนอีก รอจนแดดร่มลมตกแล้วถึงค่อยพากันบ่ายหน้ากลับที่พัก แต่พอไปถึงโรงแรม ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำผมเลยคิดว่าจะไปเที่ยวในสุเหร่าอีกรอบ กำลังเดินตัวปลิวจะเข้าไปก็ต้องหน้าแตกเพราะโดนเขาไล่ให้ไปซื้อตั๋ว อ่าวว ถ้างั้นเมื่อเช้านี้พวกเราก็พากันลักไก่เข้าไปดูของเขาฟรี ๆ หล่ะสิครับเนี่ย


ด้านข้างเมซกิตาที่ยังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี

        เย็นนี้พวกพี่เขาพาไปดินเนอร์ร้านหรูด้วยความฝืนใจครับ ผมกับอาหารฝรั่งนั้นไม่ถูกกันอย่างที่สุด มื้อปกติทั่วไปเลยกินแต่แม็คโดนัลด์มาตลอดตั้งแต่เริ่มเหยียบที่นี่ อาหารหลักของผู้คนแถบนี้คือน้ำมันมะกอกครับ เห็นใครเขาชื่นชมนักหนาว่าดีต่อสุขภาพชั้นหนึ่ง จะอย่างไรก็ช่างเถ่อะครับเท่าที่ผมแอบสังเกตมาด้วยความลำเอียง จะเห็นมีก็แต่เด็กและวัยรุ่นเท่านั้น ที่ยังพอจะคงรูปร่างระเหิดระหงอยู่ได้ แต่พอเลยวัยมาทางกลางคนแล้วหล่ะก็ จะหาที่หุ่นดี ๆ ซักคนแทบจะไม่มี สำหรับผมแล้วน้ำมันก็คือน้ำมันครับ เอาไว้ผัดไว้ทอดให้เป็นพิธีก็พอ จะให้เอามาราด มาทา มาจิ้มกินกันแทนซ๊อสคงไม่ไหวแน่ แล้วก็เป็นไปตามคาดครับ ขนาดว่าพี่เขาพยายามสั่งอะไรที่ทานง่ายที่สุดให้ ซึ่งก็คือสเต็กที่ผมกำชับกำชาไปแน่นหนาเลยว่าขอ very well done (สุกมากถึงไหม้เลยยิ่งดี) แต่แล้วสเต็กที่ได้มา เมื่อฝานออกดูมันก็ยังแดงฉ่ำมีเลือดไหลเยิ้มออกมาอยู่ แถมยังราดน้ำมันมะกอกมาเสียชุ่มตามแบบฉบับของเขาแท้ ๆ งานนี้ผมเลยต้องทนนั่งแทะขนมปังแข็ง ๆ แกล้มไวน์เป็นเพื่อนพี่ ๆ เขาแทนครับ จะให้สั่งอะไรมาใหม่ก็ไม่เอาอีกแล้ว ราคาในเมนูเห็นแล้วแทบลมใส่ แพงก็แพงแถมไม่อร่อยอย่างนี้ไม่กินเลยจะดีกว่า

หอระฆังแบบสเปนตรงมุมกำแพงด้านหนึ่งของเมซกิตา

       คืนนี้ผมเข้านอนด้วยความกระสับกระส่าย คงด้วยฤทธิ์ไวน์ที่นั่งกรอกแทนข้าวตอนมื้อเย็นแน่ ๆ กลางดึกตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงคนคุยกันโหวกเหวกหน้าโรงแรมเหมือนกับมีงาน เลยลุกขึ้นมาชะโงกหน้าออกไปดู ที่แท้เขากำลังล้างถนนกันอยู่นั่นเองครับ มีรถบรรทุกน้ำมาพ่นพร้อมคนขัดคนถูตามกันมาอีกเป็นขโยง อย่างนี้นี่เองถึงว่าทำไมถนนบ้านเขาถึงได้สะอาดเอี่ยมได้ขนาดนั้น
       พวกเราอยู่ที่นี่กันแค่วันเดียวเองหล่ะครับ พรุ่งนี้ก็จะเดินทางไปกันต่อแล้ว จุดหมายต่อไปคือแกรนาดา อันเป็นที่มั่นแห่งสุดท้ายของมัวร์ในสเปน แล้วมาพิสูจน์กันนะครับกับคำกล่าวที่ว่า "แกรนาดาคือสวรรค์ของมัวร์บนพื้นพิภพ" นั้น จะเป็นคำกล่าวอ้างที่เกินจริงสักแค่ไหน
           

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น