วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เซบีญ่า....ประตูสู่โลกใหม่ (Seville....The Gate to New World) Seville, Spain


       Come fly with me let fly, let fly away. คือเสียงเพลงที่เปิดขับกล่อมบนเครื่องแอร์บัสลำเล็ก ที่นำเราทะยานขึ้นสู่เวหามุ่งหน้าสู่เมืองเซบีญ่าประเทศสเปน อันเป็นที่หมายถัดไปของพวกเรา ผมนึกชื่นชมผู้คัดเลือกบทเพลงเหลือเกิน ว่าช่างเลือกบทเพลงมาได้เหมาะเจาะ เพราะท่วงทำนองสูง ๆ ต่ำ ๆ ในเนื้อนั้น เหมือนจะขับกล่อมให้เราอินไปกับการขโยกเขย่าของเครื่อง อันเกิดจากการตกหลุมอากาศได้เป็นอย่างดี ชั่วระยะเวลาแค่เพียง 2 ชั่วโมงกว่า ๆ จากอิตาลีถึงสเปน จึงช่างดูเหมือนยาวนานจนชั่วกัปป์สำหรับใครบางคน ด้วยที่นั่งที่คับแคบชนิดที่ว่าฝรั่งหลายคนต้องนั่งชันเข่า ผนวกกับสภาพลมแปรปรวณ และแอร์โฮสเตสที่สวยแต่หน้าดุจนเราหงอเหล่านี้เป็นต้น เมื่อนำมาประกอบกันพิจารณาเข้า ก็สมแล้วหล่ะครับที่สายการบินแอร์เอเชียของเรา จะได้รางวัลสายการบินโลว์คอสต์ยอดเยี่ยมระดับโลก แถมยังได้ยินว่าครองแชมป์มาหลายสมัยเสียด้วยสิครับ(ถ้าหากจำไม่ผิด)
       แล้วเครื่องก็พาเราลงแตะรันเวย์ด้วยความโล่งอก อ้อ! ผมลืมเล่าไปอีกเรื่องหนึ่ง คือตอนสาธิตวิธีการใช้ชูชีพ(ที่ไม่น่าจะมีโอกาสได้ใช้)นั้น ฉับพลันที่แอร์ฯสาวจบการสาธิต ผู้โดยสารเกือบทั้งลำก็พร้อมใจกันปรบมือเป่าปากกันเกรียวกราวเชียวแหล่ะครับ แค่ยังไม่ทันเข้าประเทศ ก็เริ่มจะเห็นเค้าโครงนิสัยใจคอของคนสเปนแล้วหล่ะครับ ว่าขี้เล่นและผ่อนคลายกว่าชาวอิตาเลียนมาก
       สนามบินเซบีญ่านั้นเล็กพอ ๆ กับสนามบินเชียงใหม่ แต่ว่าผู้โดยสารค่อนข้างหนาตากว่าด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก พอรับกระเป๋าเสร็จก็พากันไปสอบถามเคาท์เตอร์ข้อมูลท่องเที่ยว ถึงวิธีการเดินทางเข้าเมืองกันต่อ ก็ได้ความว่ามีรถบัสฟรีนำเราไปส่งที่สถานีรถไฟชานเมือง แล้วถึงค่อยนั่งรถเมล์เข้าเมืองจากตรงนั้นไปอีกต่อครับ

วิวของเมืองจากบนหอกิรัลดา มองเห็นพระราชวังและอาคารพลาซ่า เด เอสปาญญ่าอยู่ไกล ๆ

       เรื่องของฟรีขอให้บอกครับ เรารีบลากกระเป๋าไปรอรถตรงจุดนัดก่อนใครเพื่อน จากเดิมที่มีคนรอไม่กี่คน แต่พอยิ่งใกล้เวลารถเข้ามารับ ไม่รู้ว่าผู้คนจากไหนมายืนออรอกันอยู่เต็มไปหมด พอรถจอดเท่านั้นหล่ะครับ ต่างพากันกรูไปที่ประตูแย่งเบียดกันขึ้นจะเป็นจะตายให้ได้ จังหว่ะนั้นเองด้วยความท้อเหมือนจะถอดใจ ผมเผลอยิ้มเซ็ง ๆ ไปสบตาคุณป้าคนหนึ่งเข้า  แกเห็นดังนั้นจะด้วยความรู้สึกผิดหรือไงไม่ทราบ ก็เลยกวักมือเรียกแล้วก็ช่วยลากกระเป๋าเดินทางของผมแหวกเข้าไป พลางตะโกนโหวกเหวกฝ่าฝูงชนไปประมาณว่า " หลีกทางหน่อย ๆ นักท่องเที่ยว 2 คนนี้เขามารอตั้งนานแล้วนะ ให้เขาเข้าไปก่อน ช่วยกันเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศเราหน่อย อย่าแย่งอย่าเบียดกันนัก อายเค้า"
       ได้ผลครับ ฝูงชนพากันหยุดอยู่ในความสงบ แล้วเปิดทางให้พวกเราเข้าไปทันที ภาษาสเปนและอิตาลีจะฟังดูคล้ายกัน นั่นเป็นเพราะว่าอยู่ในกลุ่มลาตินเหมือนกัน คำหลาย ๆ คำใช้ร่วมกันกับภาษาอังกฤษ ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดาป้ายบอกทางหรือป้ายชื่อสถานที่ต่าง ๆ แต่ถึงกระนั้นผมก็ฟังไม่ออกหรอกนะครับ ที่เล่า ๆ มาว่าคุณป้าแกว่าอะไรบ้างนี่เดาเอาทั้งนั้น
       เมื่อถึงปลายทางแรก ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันลงยังไม่ทันได้ร่ำลา คุณป้าก็เดินหายไปกับฝูงชนเสียแล้ว จากตรงนี้เราสองคนต้องต่อรถเมล์เข้าไปกลางเมือง ก็ใช้วิธีสอบถามทางจากผู้คนตามริมทางนั้นเองครับ กว่าจะมาถึงโรงแรมที่พักได้ก็เล่นเอาทุลักทุเลพอสมควร สอบถามที่เคาท์เตอร์ได้ความว่าเพื่อนอีก  3 คนจากอัมสเตอร์ดัมจะมาถึงตอนดึก ๆ ดังนั้นช่วงหัวค่ำผมกับเพื่อนเลยพากันไปเดินเล่นแถวนั้นก่อนเป็นการชิมลางไปพลาง ๆ


รูปแบบของอาคารที่ผสมผสานระหว่างศิลปตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน

       เซบีญ่าเป็นเมืองแรกในยุโรปที่ผมสังเกตเห็นว่าเด็กวัยรุ่นเย๊อะเหลือเกินครับ อาจเพราะย่านที่พวกเราไปพักนั้นเป็นแหล่งเดินของพวกวัยรุ่นก็เป็นได้ เด็ก ๆ หนุ่มสาวชาวสเปนรูปร่างหน้าตาดีมาก ตาคมคายคิ้วเข้มขนตาดำขลับงอนกริบ แต่ละคนรูปร่างสันทัดผอมบางผิวไม่ขาวมากนัก อาจจะเป็นเพราะมีเชื้อสายของพวกแขกมัวร์มาผสม การเดินดูเมืองของเราในค่ำนี้จึงเหมือนจะเน้นดูคนเสียมากกว่าครับ
       ตึกรามบ้านเรือนในเซบีย่าส่วนใหญ่ ได้รับอิทธิพลของชาวมุสลิมจากแอฟริกันอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะว่าดินแดนแถบนี้เคยถูกยึดครองโดยชาวมัวร์นานนับ 500 ปี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นรูปแบบของศิลปมัวร์แทรกซึมอยู่ในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการกินการอยู่ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย  รวมไปถึงสถาปัตยกรรม
       คนสเปนนับได้ว่าค่อนไปทางติดหรูและฟุ้งเฟ้อเอาการ จากที่สังเกตตามร้านรวงมีขายแต่เสื้อผ้าเครื่องประดับฟู่ฟ่าอลังการ ตลอดจนเครื่องสำอางน้ำหอมประทินผิวยี่ห้อดังต่าง ๆ อาจเป็นเพราะนับเนื่องจากอดีต ที่ประเทศนี้เคยมั่งคั่งร่ำรวยทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของโลกยุคเก่า แต่แล้วด้วยการบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาด จึงทำให้ต้องมีอันตกอันดับไป แต่กระนั้นกลิ่นอายของความมั่งคั่งในอดีตก็ยังอยู่ คนสเปนในทุกวันนี้จึงเหมือนยังจมไม่ลง ถึงแม้ว่าอันดับความสำคัญทางเศรษฐกิจจะรั้งเกือบท้ายสุดในกลุ่มสหภาพอียูก็ตามที



ด้านนอกของมหาวิหารที่ดูไม่ค่อยสูงใหญ่มากนัก

       ในอดีตเซบีญ่านับเป็นเมืองเอกและเมืองท่าที่สำคัญของสเปนทีเดียวครับ นอกจากนั้นเมืองนี้ยังเป็นเมืองหลวงของแคว้นอันดาลูเซีย อันเป็นแคว้นสำคัญแคว้นหนึ่งทางใต้ของสเปน ซึ่งเคยตกอยู่ใต้การปกครองของพวกแขกมัวร์จากอัฟริกาเหนือมาก่อน ความเป็นปึกแผ่นของชาติเริ่มขึ้นในสมัยพระราชินีอิซเบลล่าและกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ โดยการสมรสของทั้งคู่ได้นำเอาแผ่นดินสองแคว้นใหญ่ของสเปนมาผนวกกัน นั่นก็คือคาสตีลและอารากอน(คนละอันกับในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงค์ นะครับ) หลังจากนั้นทั้่งคู่ได้ร่วมกันทำสงครามขยายดินแดน แล้วจึงปลดแอกสเปนจากแขกมัวร์เป็นผลสำเร็จ ตลอดจนทั้งได้นำพาสเปนทะยานขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ทางทะเล ซึ่งผมจะค่อย ๆ ทะยอยเล่าให้ฟังสลับกันไปเป็นช่วง ๆ นะครับ
       ลืมเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่งถึงวีรกรรมความงกของตัวเอง ที่ออกจะน่าอับอายไปสักหน่อยแต่ก็อยากเล่า ด้วยความที่น้ำดื่มมีราคาแพงมาก (เฉลี่ยประมาณขวดละ 2 ยูโร ซึ่งตอนนั้นตกยูโรละ 50 บาท) เวลาอยู่ห้องผมเลยดื่มน้ำจากก๊อก ซึ่งทางยุโรปเขาก็รับประกันอยู่แล้วว่าน้ำประปาของเขาดื่มได้ พอออกไปข้างนอกก็กรอกน้ำใส่ขวดนำติดตัวไปด้วย และตอนนี้ก็เกือบเดือนแล้วครับที่ระหกระเหินอยู่ที่นั่น ปรากฏว่าหินปูนเกาะเขรอะเต็มปากเต็มฟันไปหมด นี่ถ้าหากว่าอยู่ต่อนานกว่านี้อีกสัก 3 เดือน สภาพช่องปากผมคงจะไม่ต่างอะไรกับโพรงถ้ำ ที่เกิดมีหินงอกหินย้อยเกาะพราวไปหมด พอกลับมาถึงเมืองไทยปั๊บ สิ่งแรกที่รีบทำก่อนเลยคือไปขูดหินปูนครับ พลางพยายามคิดในเชิงบวกว่า ชาวยุโรปเขานิยมดื่มน้ำแร่กัน ดังนั้นน้ำประปาบ้านเขาคงจะอุดมไปด้วยแร่ธาติอย่างที่เห็น แล้วก็หวังไกลไปอีกหน่อยว่า แร่ธาติเหล่านั้นคงจะไม่ไปตกผลึกที่ไตหรือกระเพาะปัสสวะอีกต่อนะครับ ไม่งั้นคงต้องลำบากไปให้หมอควักออกให้ เป็นของที่ระลึกจากการเดินทางเก็บไว้อีกชิ้นหนึ่ง
        กว่าพวกเพื่อนอีก 3 คนจะมาถึงก็เที่ยงคืนกว่า คืนนี้ฝนตกปรอย ๆ อยู่ทั้งคืน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกในดินแดนที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดในยุโรป สเปนมีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับ 2 ของทวีป (จะเป็นรองก็แต่ฝรั่งเศสครับ) สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ และด้วยความที่อยู่ใกล้ทวีปแอฟริกา สภาพอากาศจึงร้อนและแห้งแล้งกึ่งทะเลทราย แต่กระนั้นในหน้าหนาวตามที่ราบสูงและบนภูเขาก็มีหิมะตก แถมยังมีรีสอร์ทสกีชั้นดีอีกหลายแห่งเปิดให้บริการด้วยครับ




ภายในของวิหารที่กว้างและสูงใหญ่มาก หากเทียบกับขนาดของคนที่ยื่นอยู่ในภาพ

       เช้าวันต่อมาคณะของเราซึ่งตอนนี้เพิ่มเป็น 5 คน ก็พากันไปเที่ยวสถานที่หลักของเมืองกันก่อนนั่นก็คือ มหาวิหารแห่งเซบีญ่า วิหารแห่งนี้เขาว่ากันว่าเป็นวิหารกอธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ ขนาดของวิหารเมื่อมองจากด้านนอกดูไม่ค่อยสูงใหญ่เท่าไหร่นัก แต่เมื่อเข้าไปข้างในแล้วถึงได้รู้ว่าขนาดที่เห็นข้างนอกนั้นลวงตาแค่ไหน ตัววิหารสร้างทับไปบนสุเหร่าหรือมัสยิสถ์เก่าประจำเมือง สิงปลูกสร้างเดิมในศาสนาอิสลามที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเพียงสิ่งเดียว ก็คือหอบังหรือมิเนเรสที่สูงใหญ่ร่วมร้อยเมตร ปัจจุบันถูกดัดแปลงเป็นหอระฆังประจำโบสถ์ไปเรียบร้อยแล้วครับ ภายในวิหารมีศิลปวัตถุที่สำคัญจัดแสดงอยู่มากมาย ที่อลังการสุด ๆ ก็คือแท่นบูชางานแกะสลักไม้เนื้อแข็งจากทวีปอเมริกาใต้ ภาพเขียนของศิลปินดังของสเปนเช่นโกย่า รวมทั้งหลุมฝังศพของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสด้วยครับ


หลุมฝังศพของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส

       แต่เดิมนั้น คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มีพื้นเพเป็นชาวเมืองเจนัวประเทศอิตาลี เขาเป็นนักเดินเรือที่เชื่อในเรื่องทฤษฎีโลกกลม และยังเชื่ออีกว่าสามารถเดินเรือไปเอเชียตะวันออกไกล ได้ด้วยการออกเรือไปทางทิศตะวันตกแทน ความคิดของเขาได้รับการปฏิเสธจากหลาย ๆ ฝ่าย รวมทั้งราชสำนักต่าง ๆ ที่เขาไปขอความสนับสนุนในเรื่องทุนรอน หนำซ้ำยังถูกตราหน้าว่าเป็นคนสติเฟื่องเสียอีกด้วยสิครับ แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของพระนางอิซเบลล่าแห่งสเปน ผู้ซึ่งเชื่อมั่นในตัวเขา พระนางจึงสนับสนุนทุนรอนในการเดินทางทั้งหมดให้ โดยมีเงื่อนไขว่าดินแดนและทรัพย์สมบัติที่เขาค้นพบ จะต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของสเปนแต่เพียงผู้เดียว
        คุณ ๆ จำได้มั้ยครับที่ผมเคยเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับความมั่งคั่งของเวนีซและเส้นทางสายไหม จนเมื่อจักรวรรดิโมกุลล่มสลาย มีผลให้เส้นทางสายไหมถูกตัดขาด จากนั้นเวนีซก็ซบเซาลง ประกอบกับโปรตุเกสได้ค้นพบเส้นทางเดินทะเลสายใหม่ ที่มุ่งสู่อินเดียและจีนโดยอ้อมแหลมกู๊ดโฮปทางใต้ของแอฟริกาสำเร็จ ยังผลให้โปรตุเกสกลายเป็นมหาอำนาจทางทะเล แล้วก็ผูกขาดเส้นทางเดินเรือสายใหม่นั้นแต่เพียงผู้เดียว
       โคลัมบัสภายใต้การอุปถัมภ์ของพระนางอิซเบลล่า จึงออกสำรวจเส้นทางใหม่ไปทางทิศตะวันตก และเขาก็ตั้งต้นออกเรือจากท่าที่เมืองเซบีญ่าแห่งนี้นี่เองครับ จนเมื่อไปพบทวีปใหม่เข้าโคลัมบัสก็ยังเข้าใจผิดไปว่าดินแดนที่ตนเองค้นพบนั้นคืออินเดีย จึงเรียกคนพื้นเมืองในแผ่นดินใหม่ที่ค้นพบว่า 'อินเดียน'(อินเดียนแดง) ยังไงหล่ะครับ
       ตามหลังโคลัมบัสไปก็มีนักสำรวจอีกหลายชาติ รวมทั้งโปรตุเกสด้วยนะครับที่แย่งกันไปสำรวจดินแดนใหม่ จนมารู้ความจริงในตอนหลังว่าดินแดนที่ค้นพบนั้น แท้จริงคือทวีปใหญ่ที่คั่นกลางระหว่างยุโรปและเอเชียอีกที ซึ่งก็คือทวีปอเมริกานั่นเองครับ
       ต่อจากนั้นทวีปนี้ส่วนหนึ่งจึงตกเป็นอาณานิคมของสเปน ยังผลให้ประเทศนี้ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางทะเลอีกชาติหนึ่ง โดยขับเคี่ยวกันไปกับโปรตุเกส เซบีญ่าจึงมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมา ในฐานะเมืองท่าและศูนย์กลางการติดต่อค้าขายสำคัญของอาณานิคม  


หอกิรัลดา Giralda

วิวจากบนหอกิรัลดา ที่เห็นกลม ๆ คล้ายสเตเดียมคือสนามสู้วัวกระทิง

       หลังจากเดินดูภายในวิหารจนทั่วแล้วจึงพากันขึ้นไปบนหอระฆังเพื่อชมวิวกันครับ หอระฆังแห่งนี้มีชื่อในภาษาสเปนว่ากีรัลดา (Giralda)  เดิมทีเป็นหอบังหรือมิเนเรสประจำสุเหร่าของศาสนาอิสลาม เมื่อชาวมัวร์ผู้ครองเมืองแต่เดิมเกิดแพ้ศึกจำต้องถอยร่นไป ชาวคริสเตียนผู้ครองเมืองใหม่จึงสร้างวิหารในศาสนาคริสต์คร่อมทับลงไปบนสุเหร่า เสร็จแล้วจึงดัดแปลงหอมิเนเรสเป็นหอระฆังแทน วิวจากบนหอสามารถมองเห็นทัศนียภาพไปได้ไกลสุดสายตาเลยหล่ะครับ เมื่อมองเลยเขตเมืองออกไปจะเห็นที่ราบเวิ้งว้างกว้างใหญ่ แลดูคล้ายทะเลทรายโอบล้อมเมืองเอาไว้ทุกด้าน ลักษณะภูมิประเทศแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะ ที่ดู ๆ ไปแล้วเหมือนอยู่ในทวีปแอฟริกาเหนือมากกว่าจะเป็นยุโรปเสียอีก

นอกเขตเมืองออกไปคือที่ราบแห้งแล้งกว้างใหญ่อย่างที่เห็น

       ช่วงบ่ายเราพากันเดินข้ามไปเที่ยวพระราชวังอัลคาซาร์ (Reales Alcazares) ชื่อเหมือนคลับโชว์สาวประเภทสองที่พัทยาเลยใช่มั้ยหล่ะครับ จริง ๆ แล้วอัลคาซาร์เป็นภาษาอาหรับแปลว่า 'ป้อมปราการ' ศิลปการก่อสร้างและตกแต่งเป็นแบบอาหรับ มีการประดับลวดลายตกแต่งอ่อนช้อยตามหลักศาสนาอิสลาม ตอนนี้ผมจะยังไม่ขอบรรยายมากนักเพราะเกรงว่าพวกคุณจะเบื่อกันเสียก่อน ในเรื่องของความสวยงามแล้วพระราชวังแห่งนี้ยังนับว่าด้อยกว่าอีกแห่งหนึ่งมาก ซึ่งผมจะนำชมในตอนถัดไปอีก  2 เมืองข้างหน้าครับ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอนำชมแบบผ่าน ๆ แค่พอหอมปากหอมคอก่อนแล้วกันครับ


หลังคาโดมทองในศิลปมุสลิมในพระราชวังหลวง



การตกแต่งภายในและภายนอกตำหนักที่ได้รับอิทธิพลของศิลปมุสลิม

       สิ่งปลูกสร้างภายในพระราชวังเป็นตำหนักใหญ่น้อย เชื่อมต่อกันเป็นหลัง ๆ โดยมีสวนหย่อมและลานน้ำพุแทรกอยู่เป็นระยะ ภายในตำหนักหลังหนึ่งเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการเดินทะเล เพื่อบอกเล่าประวัติและความเป็นมา ของการเป็นชาติมหาอำนาจทางทะเลดังที่ผมได้เล่าไปแล้วข้างต้น
       เมื่อเสร็จจากดูวังแล้วเราก็พากันเดินต่อไปยัง พลาซ่า เด เอสปาญญ่า อากาศในช่วงบ่ายของเมืองแถบนี้ร้อนทารุณใช้ได้ครับ แสงแดดร้อนแรงแผดเผาเสียจนแสบหน้า นี่ถ้าหลับตาเดินคงหลงคิดไปว่าอยู่กลางทุ่งนาที่บ้านเรา พวกผมจึงใช้วิธีเดินไปหยุดไปเป็นพัก ๆ ทางช่วงไหนแดดแรงก็พักนานหน่อย ดังนั้นกว่าจะไปถึงจุดหมายก็ทำให้เสียเวลาพอสมควร จังหว่ะนั้นเองก็มีชายหนุ่มชาวสเปนสองคนเดินจูงมือกันเดินผ่านไป ด้วยความหมั่นไส้พี่ในกลุ่มคนหนึ่งเลยเดินกรีดกรายแซงสองคนนั้นไปเหมือนประชด แล้วทันใดนั้นเขาก็หันมาประกบปากจูบโชว์ให้ดูอย่างดูดดื่ม เล่นเอาพวกเราเหวอรับประทานกันกลางถนนกลางแดดเปรี้ยงนั่นเลยหล่ะครับ

อาคาร พลาซ่า เด เอสปาญญ่า รูปพระจันทร์เสี้ยว

       อาคารที่ พลาซ่า เด เอสปาญญ่า มีลักษณะโค้งครึ่งวงกลมหรือพระจันทร์เสี้ยวตามแต่จะจินตนาการครับ เป็นอาคารใหม่พึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี คศ. 1929 เพื่องาน Iberian-American Expo โดยเฉพาะ ตัวอาคารรวบรวมลักษณะเด่นทั้งหมดของสถาปัตยกรรมสเปนเอาไว้ โดยเฉพาะการประดับตกแต่งอาคารด้วยกระเบื้องเคลือบ ซึ่งทำให้ดูสวยงามและแปลกตากว่ายุโรปภูมิภาคอื่น เมื่อเสร็จจากจุดนี้เราก็พากันเดินลัดเลาะไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ ได้พบป้อมปราการหลังหนึ่งซึ่งดูไม่โดดเด่นมากนักในเชิงสถาปัตยกรรม แต่เห็นว่ามีความสำคัญมากมายในเชิงประวัติศาสตร์ เหตุเพราะป้อมแห่งนี้เดิมใช้เป็นพระคลังเก็บสมบัติที่ยักยอกมาจากดินแดนในอาณานิคมของสเปนทั้งหมดนั่นเองครับ

ส่วนยอดของอาคาร พลาซ่า เด เอสปาญญ่า ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ

       อ่านถึงตรงนี้แล้วหลายท่านคงจะเริ่มรู้สึกเบื่อนะครับ ผมเองก็เช่นกันหลังจากเดินฝ่าเปลวแดดมาทั้งวันจนบ่ายคล้อย พวกเราแต่ละคนจึงมีอาการเพลียอย่างเห็นได้ชัด โปรแกรมในคืนนี้ที่ว่าจะพากันไปชมระบำฟลามิงโกจึงถูกยกเลิกเพราะเกรงว่าจะดึกเกินไป ในตอนค่ำจึงพากันไปหาอะไรทานง่าย ๆ แล้วตบท้ายด้วยการนั่งดื่มกันนิดหน่อยแทน
       ในขากลับด้วยความคึกของพี่คนหนึ่งเลยชวนกันกลับอีกทาง ไม่เดินย้อนกลับทางเดิมเผื่อว่าจะได้เดินดูเมืองยามค่ำไปด้วยในตัว แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ครับเพราะ 5 คน ต่างก็ถือแผนที่คนละใบพากันชี้ไปคนละทาง ยิ่งเถียงกันก็ยิ่งหลงเพราะเต็มไปด้วยซอกเล็กซอยน้อยไปหมด พอมีคนแปลกหน้าผ่านมาถามทางเขาก็ได้แต่ชี้เพราะพูดอังกฤษไม่ได้ ตอนนี้เมฆฝนฟ้าคะนองเริ่มตั้งเค้ามาอีกครั้งหนึ่งแล้ว พวกเราเดินหลงทางกันไปใจคอเริ่มไม่ค่อยดีเพราะกลัวฟ้าผ่า เวลาฟ้าร้องเสียงดังสนั่นขึ้นมาที ชาวเมืองแถบนั้นคงตกอกตกใจกันใหญ่เพราะเสียงกรี๊ดของสาวไทยดังกว่า เห็นหลาย ๆ บ้านเปิดหน้าต่างออกมาดูกันสลอนว่ามีใครโดนทำอะไรหรือเปล่า
       บ้านเรือนแถบนี้จะว่าแล้งน้ำใจก็ไม่น่าจะใช่ หรือเป็นเพราะฝนบ้านเขาไม่เย๊อะหรืออย่างไรก็ไม่ทราบครับ บ้านแต่ละหลังที่ปลูกชิดติดริมถนนถึงได้ไม่มีแม้แต่ชายคาเล็ก ๆ ให้ยืนหลบแดดฝน พอสายฝนโปรยลงมาเราจึงจำใจวิ่งฝ่ากันไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่กลัวป่วย ตลอดทางก็โดนแซวอยู่เป็นระยะจากชายหนุ่มเจ้าของถิ่น มีเสียงหนึ่งได้ยินไล่หลังมาไกล ๆ ว่า "ซาโยนาระ ๆ" ฟังแล้วแทบจะหันกลับไปย่อเข่าพนมมือสวัสดีให้ นี่คงไม่เคยเห็นคนไทยหล่ะสิท่า พอเห็นใครหัวดำตาตี่เป็นต้องเหมาเอาว่าเป็นญี่ปุ่นไปเสียหมด

สวนสวยในพระราชวังหลวง

        และแล้วก็กลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ หลังจากที่เดินกันอย่างทารุณมาทั้งวันเล่นเอาคืนนี้หลับเป็นตาย แต่พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางกันต่อแล้วหล่ะครับ โปรแกรมต่อจากนี้จะไปกอร์โดบาร์กัน ทริปสเปนคราวนี้นับได้ว่าเป็นทริปผจญภัยพอสมควร เพราะในการเดินทางพรุ่งนี้เราจะเช่ารถขับกันเอง และสิ่งหนึ่งที่นับว่าใหม่มากในตอนนั้น ถึงขนาดทำให้แต่ละคนตื่นเต้นกันพอสมควรก็คือทอม ๆ (เป็นชื่อเล่นหรือยี่ห้อของเครื่องนำทางผ่านดาวเทียมผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่พี่ ๆ เขาเรียกอย่างนั้น)  แล้วค่อยมาดูกันต่อนะครับว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรน่าตื่นเต้นมั่ง พบกันที่กอร์โดบาร์ครับ
      
      

      
      
      
     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น