แล้วเครื่องก็พาเราลงแตะรันเวย์ด้วยความโล่งอก อ้อ! ผมลืมเล่าไปอีกเรื่องหนึ่ง คือตอนสาธิตวิธีการใช้ชูชีพ(ที่ไม่น่าจะมีโอกาสได้ใช้)นั้น ฉับพลันที่แอร์ฯสาวจบการสาธิต ผู้โดยสารเกือบทั้งลำก็พร้อมใจกันปรบมือเป่าปากกันเกรียวกราวเชียวแหล่ะครับ แค่ยังไม่ทันเข้าประเทศ ก็เริ่มจะเห็นเค้าโครงนิสัยใจคอของคนสเปนแล้วหล่ะครับ ว่าขี้เล่นและผ่อนคลายกว่าชาวอิตาเลียนมาก
สนามบินเซบีญ่านั้นเล็กพอ ๆ กับสนามบินเชียงใหม่ แต่ว่าผู้โดยสารค่อนข้างหนาตากว่าด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก พอรับกระเป๋าเสร็จก็พากันไปสอบถามเคาท์เตอร์ข้อมูลท่องเที่ยว ถึงวิธีการเดินทางเข้าเมืองกันต่อ ก็ได้ความว่ามีรถบัสฟรีนำเราไปส่งที่สถานีรถไฟชานเมือง แล้วถึงค่อยนั่งรถเมล์เข้าเมืองจากตรงนั้นไปอีกต่อครับ
วิวของเมืองจากบนหอกิรัลดา มองเห็นพระราชวังและอาคารพลาซ่า เด เอสปาญญ่าอยู่ไกล ๆ
เรื่องของฟรีขอให้บอกครับ เรารีบลากกระเป๋าไปรอรถตรงจุดนัดก่อนใครเพื่อน จากเดิมที่มีคนรอไม่กี่คน แต่พอยิ่งใกล้เวลารถเข้ามารับ ไม่รู้ว่าผู้คนจากไหนมายืนออรอกันอยู่เต็มไปหมด พอรถจอดเท่านั้นหล่ะครับ ต่างพากันกรูไปที่ประตูแย่งเบียดกันขึ้นจะเป็นจะตายให้ได้ จังหว่ะนั้นเองด้วยความท้อเหมือนจะถอดใจ ผมเผลอยิ้มเซ็ง ๆ ไปสบตาคุณป้าคนหนึ่งเข้า แกเห็นดังนั้นจะด้วยความรู้สึกผิดหรือไงไม่ทราบ ก็เลยกวักมือเรียกแล้วก็ช่วยลากกระเป๋าเดินทางของผมแหวกเข้าไป พลางตะโกนโหวกเหวกฝ่าฝูงชนไปประมาณว่า " หลีกทางหน่อย ๆ นักท่องเที่ยว 2 คนนี้เขามารอตั้งนานแล้วนะ ให้เขาเข้าไปก่อน ช่วยกันเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศเราหน่อย อย่าแย่งอย่าเบียดกันนัก อายเค้า"
ได้ผลครับ ฝูงชนพากันหยุดอยู่ในความสงบ แล้วเปิดทางให้พวกเราเข้าไปทันที ภาษาสเปนและอิตาลีจะฟังดูคล้ายกัน นั่นเป็นเพราะว่าอยู่ในกลุ่มลาตินเหมือนกัน คำหลาย ๆ คำใช้ร่วมกันกับภาษาอังกฤษ ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดาป้ายบอกทางหรือป้ายชื่อสถานที่ต่าง ๆ แต่ถึงกระนั้นผมก็ฟังไม่ออกหรอกนะครับ ที่เล่า ๆ มาว่าคุณป้าแกว่าอะไรบ้างนี่เดาเอาทั้งนั้น
เมื่อถึงปลายทางแรก ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันลงยังไม่ทันได้ร่ำลา คุณป้าก็เดินหายไปกับฝูงชนเสียแล้ว จากตรงนี้เราสองคนต้องต่อรถเมล์เข้าไปกลางเมือง ก็ใช้วิธีสอบถามทางจากผู้คนตามริมทางนั้นเองครับ กว่าจะมาถึงโรงแรมที่พักได้ก็เล่นเอาทุลักทุเลพอสมควร สอบถามที่เคาท์เตอร์ได้ความว่าเพื่อนอีก 3 คนจากอัมสเตอร์ดัมจะมาถึงตอนดึก ๆ ดังนั้นช่วงหัวค่ำผมกับเพื่อนเลยพากันไปเดินเล่นแถวนั้นก่อนเป็นการชิมลางไปพลาง ๆ

รูปแบบของอาคารที่ผสมผสานระหว่างศิลปตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน
ตึกรามบ้านเรือนในเซบีย่าส่วนใหญ่ ได้รับอิทธิพลของชาวมุสลิมจากแอฟริกันอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะว่าดินแดนแถบนี้เคยถูกยึดครองโดยชาวมัวร์นานนับ 500 ปี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นรูปแบบของศิลปมัวร์แทรกซึมอยู่ในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการกินการอยู่ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รวมไปถึงสถาปัตยกรรม
คนสเปนนับได้ว่าค่อนไปทางติดหรูและฟุ้งเฟ้อเอาการ จากที่สังเกตตามร้านรวงมีขายแต่เสื้อผ้าเครื่องประดับฟู่ฟ่าอลังการ ตลอดจนเครื่องสำอางน้ำหอมประทินผิวยี่ห้อดังต่าง ๆ อาจเป็นเพราะนับเนื่องจากอดีต ที่ประเทศนี้เคยมั่งคั่งร่ำรวยทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของโลกยุคเก่า แต่แล้วด้วยการบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาด จึงทำให้ต้องมีอันตกอันดับไป แต่กระนั้นกลิ่นอายของความมั่งคั่งในอดีตก็ยังอยู่ คนสเปนในทุกวันนี้จึงเหมือนยังจมไม่ลง ถึงแม้ว่าอันดับความสำคัญทางเศรษฐกิจจะรั้งเกือบท้ายสุดในกลุ่มสหภาพอียูก็ตามที
ด้านนอกของมหาวิหารที่ดูไม่ค่อยสูงใหญ่มากนัก
ลืมเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่งถึงวีรกรรมความงกของตัวเอง ที่ออกจะน่าอับอายไปสักหน่อยแต่ก็อยากเล่า ด้วยความที่น้ำดื่มมีราคาแพงมาก (เฉลี่ยประมาณขวดละ 2 ยูโร ซึ่งตอนนั้นตกยูโรละ 50 บาท) เวลาอยู่ห้องผมเลยดื่มน้ำจากก๊อก ซึ่งทางยุโรปเขาก็รับประกันอยู่แล้วว่าน้ำประปาของเขาดื่มได้ พอออกไปข้างนอกก็กรอกน้ำใส่ขวดนำติดตัวไปด้วย และตอนนี้ก็เกือบเดือนแล้วครับที่ระหกระเหินอยู่ที่นั่น ปรากฏว่าหินปูนเกาะเขรอะเต็มปากเต็มฟันไปหมด นี่ถ้าหากว่าอยู่ต่อนานกว่านี้อีกสัก 3 เดือน สภาพช่องปากผมคงจะไม่ต่างอะไรกับโพรงถ้ำ ที่เกิดมีหินงอกหินย้อยเกาะพราวไปหมด พอกลับมาถึงเมืองไทยปั๊บ สิ่งแรกที่รีบทำก่อนเลยคือไปขูดหินปูนครับ พลางพยายามคิดในเชิงบวกว่า ชาวยุโรปเขานิยมดื่มน้ำแร่กัน ดังนั้นน้ำประปาบ้านเขาคงจะอุดมไปด้วยแร่ธาติอย่างที่เห็น แล้วก็หวังไกลไปอีกหน่อยว่า แร่ธาติเหล่านั้นคงจะไม่ไปตกผลึกที่ไตหรือกระเพาะปัสสวะอีกต่อนะครับ ไม่งั้นคงต้องลำบากไปให้หมอควักออกให้ เป็นของที่ระลึกจากการเดินทางเก็บไว้อีกชิ้นหนึ่ง
กว่าพวกเพื่อนอีก 3 คนจะมาถึงก็เที่ยงคืนกว่า คืนนี้ฝนตกปรอย ๆ อยู่ทั้งคืน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกในดินแดนที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดในยุโรป สเปนมีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับ 2 ของทวีป (จะเป็นรองก็แต่ฝรั่งเศสครับ) สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ และด้วยความที่อยู่ใกล้ทวีปแอฟริกา สภาพอากาศจึงร้อนและแห้งแล้งกึ่งทะเลทราย แต่กระนั้นในหน้าหนาวตามที่ราบสูงและบนภูเขาก็มีหิมะตก แถมยังมีรีสอร์ทสกีชั้นดีอีกหลายแห่งเปิดให้บริการด้วยครับ
ภายในของวิหารที่กว้างและสูงใหญ่มาก หากเทียบกับขนาดของคนที่ยื่นอยู่ในภาพ
หลุมฝังศพของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
คุณ ๆ จำได้มั้ยครับที่ผมเคยเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับความมั่งคั่งของเวนีซและเส้นทางสายไหม จนเมื่อจักรวรรดิโมกุลล่มสลาย มีผลให้เส้นทางสายไหมถูกตัดขาด จากนั้นเวนีซก็ซบเซาลง ประกอบกับโปรตุเกสได้ค้นพบเส้นทางเดินทะเลสายใหม่ ที่มุ่งสู่อินเดียและจีนโดยอ้อมแหลมกู๊ดโฮปทางใต้ของแอฟริกาสำเร็จ ยังผลให้โปรตุเกสกลายเป็นมหาอำนาจทางทะเล แล้วก็ผูกขาดเส้นทางเดินเรือสายใหม่นั้นแต่เพียงผู้เดียว
โคลัมบัสภายใต้การอุปถัมภ์ของพระนางอิซเบลล่า จึงออกสำรวจเส้นทางใหม่ไปทางทิศตะวันตก และเขาก็ตั้งต้นออกเรือจากท่าที่เมืองเซบีญ่าแห่งนี้นี่เองครับ จนเมื่อไปพบทวีปใหม่เข้าโคลัมบัสก็ยังเข้าใจผิดไปว่าดินแดนที่ตนเองค้นพบนั้นคืออินเดีย จึงเรียกคนพื้นเมืองในแผ่นดินใหม่ที่ค้นพบว่า 'อินเดียน'(อินเดียนแดง) ยังไงหล่ะครับ
ตามหลังโคลัมบัสไปก็มีนักสำรวจอีกหลายชาติ รวมทั้งโปรตุเกสด้วยนะครับที่แย่งกันไปสำรวจดินแดนใหม่ จนมารู้ความจริงในตอนหลังว่าดินแดนที่ค้นพบนั้น แท้จริงคือทวีปใหญ่ที่คั่นกลางระหว่างยุโรปและเอเชียอีกที ซึ่งก็คือทวีปอเมริกานั่นเองครับ
ต่อจากนั้นทวีปนี้ส่วนหนึ่งจึงตกเป็นอาณานิคมของสเปน ยังผลให้ประเทศนี้ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางทะเลอีกชาติหนึ่ง โดยขับเคี่ยวกันไปกับโปรตุเกส เซบีญ่าจึงมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมา ในฐานะเมืองท่าและศูนย์กลางการติดต่อค้าขายสำคัญของอาณานิคม
หอกิรัลดา Giralda
วิวจากบนหอกิรัลดา ที่เห็นกลม ๆ คล้ายสเตเดียมคือสนามสู้วัวกระทิง
นอกเขตเมืองออกไปคือที่ราบแห้งแล้งกว้างใหญ่อย่างที่เห็น
หลังคาโดมทองในศิลปมุสลิมในพระราชวังหลวง
การตกแต่งภายในและภายนอกตำหนักที่ได้รับอิทธิพลของศิลปมุสลิม
เมื่อเสร็จจากดูวังแล้วเราก็พากันเดินต่อไปยัง พลาซ่า เด เอสปาญญ่า อากาศในช่วงบ่ายของเมืองแถบนี้ร้อนทารุณใช้ได้ครับ แสงแดดร้อนแรงแผดเผาเสียจนแสบหน้า นี่ถ้าหลับตาเดินคงหลงคิดไปว่าอยู่กลางทุ่งนาที่บ้านเรา พวกผมจึงใช้วิธีเดินไปหยุดไปเป็นพัก ๆ ทางช่วงไหนแดดแรงก็พักนานหน่อย ดังนั้นกว่าจะไปถึงจุดหมายก็ทำให้เสียเวลาพอสมควร จังหว่ะนั้นเองก็มีชายหนุ่มชาวสเปนสองคนเดินจูงมือกันเดินผ่านไป ด้วยความหมั่นไส้พี่ในกลุ่มคนหนึ่งเลยเดินกรีดกรายแซงสองคนนั้นไปเหมือนประชด แล้วทันใดนั้นเขาก็หันมาประกบปากจูบโชว์ให้ดูอย่างดูดดื่ม เล่นเอาพวกเราเหวอรับประทานกันกลางถนนกลางแดดเปรี้ยงนั่นเลยหล่ะครับ
อาคาร พลาซ่า เด เอสปาญญ่า รูปพระจันทร์เสี้ยว
ส่วนยอดของอาคาร พลาซ่า เด เอสปาญญ่า ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ
ในขากลับด้วยความคึกของพี่คนหนึ่งเลยชวนกันกลับอีกทาง ไม่เดินย้อนกลับทางเดิมเผื่อว่าจะได้เดินดูเมืองยามค่ำไปด้วยในตัว แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ครับเพราะ 5 คน ต่างก็ถือแผนที่คนละใบพากันชี้ไปคนละทาง ยิ่งเถียงกันก็ยิ่งหลงเพราะเต็มไปด้วยซอกเล็กซอยน้อยไปหมด พอมีคนแปลกหน้าผ่านมาถามทางเขาก็ได้แต่ชี้เพราะพูดอังกฤษไม่ได้ ตอนนี้เมฆฝนฟ้าคะนองเริ่มตั้งเค้ามาอีกครั้งหนึ่งแล้ว พวกเราเดินหลงทางกันไปใจคอเริ่มไม่ค่อยดีเพราะกลัวฟ้าผ่า เวลาฟ้าร้องเสียงดังสนั่นขึ้นมาที ชาวเมืองแถบนั้นคงตกอกตกใจกันใหญ่เพราะเสียงกรี๊ดของสาวไทยดังกว่า เห็นหลาย ๆ บ้านเปิดหน้าต่างออกมาดูกันสลอนว่ามีใครโดนทำอะไรหรือเปล่า
บ้านเรือนแถบนี้จะว่าแล้งน้ำใจก็ไม่น่าจะใช่ หรือเป็นเพราะฝนบ้านเขาไม่เย๊อะหรืออย่างไรก็ไม่ทราบครับ บ้านแต่ละหลังที่ปลูกชิดติดริมถนนถึงได้ไม่มีแม้แต่ชายคาเล็ก ๆ ให้ยืนหลบแดดฝน พอสายฝนโปรยลงมาเราจึงจำใจวิ่งฝ่ากันไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่กลัวป่วย ตลอดทางก็โดนแซวอยู่เป็นระยะจากชายหนุ่มเจ้าของถิ่น มีเสียงหนึ่งได้ยินไล่หลังมาไกล ๆ ว่า "ซาโยนาระ ๆ" ฟังแล้วแทบจะหันกลับไปย่อเข่าพนมมือสวัสดีให้ นี่คงไม่เคยเห็นคนไทยหล่ะสิท่า พอเห็นใครหัวดำตาตี่เป็นต้องเหมาเอาว่าเป็นญี่ปุ่นไปเสียหมด
สวนสวยในพระราชวังหลวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น