จากปรากเรานั่งรถไฟบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งตรงสู่นครเวียนนาอันจุดหมายถัดไปของทริปนี้ครับ รถด่วนพาเราแล่นผ่านย่านชนบทอันแสนเงียบเหงาและห่างไกลของสาธารณรัฐเชค ด้วยทิวทัศน์ที่ดูซ้ำซากจำเจน่าเบื่อหน่าย มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะทำให้เผลอนั่งสัปหงกกันไปตลอดทาง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องคอยตื่นตัวกันแทบทุกครั้งที่ได้ยินเสียงประกาศ เพราะถ้าขืนมัวหลับไหลกันไปอย่างไม่ลืมหูลืมตาแล้วหล่ะก็ เผลอไผลอาจนั่งรถเลยป้ายไปไกลจนจับต้นชนปลายไม่ถูกกันเลยทีเดียวครับ
รถไฟข้ามแดนอย่างนี้เสียงประกาศอย่างน้อยจะต้องมี 3 ภาษา(นอกเสียจากว่าสองชาติจะใช้ภาษาเดียวกัน) คือ 1.ของชาติที่เราจากมา 2.ของชาติที่เรากำลังจะไป และ 3.ภาษาอังกฤษ(ซึ่งมักจะฟังยากมาก) ดังนั้นทุกครั้งที่เสียงประกาศดังขึ้น พวกเราจึงต้องถ่างหูรอฟังกันแต่ชื่อเมือง ซึ่งเค้าก็จะทวนสองครั้งและพยายามเน้นเสียงให้ชัดเจนที่สุด พอได้ยินว่ากำลังจะถึงแน่แล้ว เราก็ต้องเตรียมกระเป๋าและสัมภาระให้พร้อมก่อนลงจากรถหล่ะครับ
ทุ่งดอกหญ้าชานเมืองเวียนนา
ลานหินด้านหน้าพระราชวังฤดูร้อนเชินบรูนน์
ว่ากันว่าจักรพรรดิโยเซฟที่ 1 ผู้คิดริเริ่มสร้างวังแห่งนี้ ทรงมีดำริที่จะสร้างให้ใหญ่โตทัดเทียมพระราชวังแวร์ซายเลยทีเดียว แต่ด้วยปัญหาทางการเงินจึงทำให้โครงการนี้ไม่อาจสำฤทธิ์ผลไปได้ สุดท้ายเลยต้องลดสเป็คลงเหลือเท่าที่เห็น แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือได้ว่าโอ่อ่าอัครฐานเกินธรรมดาอยู่ดีหล่ะครับ
เชินบรูนน์มีห้องอยู่ทั้งสิ้น 1,200 ห้องครับ แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแค่ 40 ห้องเท่านั้น นอกจากนั้นยังต้องซื้อตั๋วแยกต่างหากเป็นส่วน ๆ หากต้องการชมสวนหรือพิพิธภัณฑ์ก็ต้องซื้อเพิ่ม ผมจำไม่ได้แล้วหล่ะครับว่าข้างในเขาห้ามถ่ายรูปหรือเปล่า แต่เมื่อถึงตอนจะใช้คราวเขียนบล็อคนี้ พอกลับไปค้นหารูปถ่ายภายในเชินบรูนน์ก็ไม่เจอแล้วหล่ะครับ
ห้องหับต่าง ๆ ของที่นี่ ยังคงรักษารูปแบบการจัดวางและการตกแต่งให้อยู่ในสภาพเดิมที่สุด เสมือนหนึ่งเมื่อตอนที่เหล่าราชวงศ์ยังคงใช้ชีวิตกันอยู่ที่นี่ ห้องหลัก ๆ ที่เปิดให้ชมก็จะมีห้องบรรทม ห้องทรงงาน ห้องจัดเลี้ยงอันแสนหรูหรา แล้วก็บรรดาห้องทำงานของมหาดเล็กและเจ้าพนักงานต่าง ๆ ซึ่งจำลองสภาพการทำงานในวังให้นักท่องเที่ยวได้ชมโดยละเอียด หลังจากเดินชมข้างในจนครบทั้ง 40 ห้องแล้ว พวกเราจึงพากันออกไปเดินเล่นที่ลานน้ำพุด้านหลังพระราชวังกันต่อครับ
กระท่อมน้อยที่ปลายเนิน
ด้วยอาณาบริเวณที่กินพื้นที่กว้างไกลจนสุดสายตา เขาจึงคิดสร้างอาคารสวยงามหลังย่อม ๆ อีกหลังหนึ่ง ไว้สำหรับเป็นจุดรวมสายตาที่สุดปลายเนินด้านหลังของพระราชวัง เราพากันดั้นด้นเดินขึ้นเนินไปถึง จึงได้รู้ว่านอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว บนเนินแห่งนี้ยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ สำหรับส่งน้ำลงมาจากที่สูงสู่น้ำพุเบื้องล่าง โดยใช้หลักทฤษฎีแรงโน้มถ่วงในการสร้างแรงดันของน้ำพุยังไงหล่ะครับ นอกจากนั้นอาคารบนเนินแห่งนี้ ยังเปิดเป็นร้านเค้กหรูหราไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย เพื่อนผมทำท่าทีเล่นทีจริงจะชวนกันเข้าไป เล่นเอาต้องรีบส่ายหัวปฏิเสธเลยหล่ะครับ สำหรับผมแล้วมันคงเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆ หากจะต้องเข้าไปนั่งเชิดหน้าจิบชาเคล้าบรรยากาศอยู่ในนั้น ( ผิด = ไม่ถูก = แพงแน่ ๆ ) พอเห็นเค้ากินอะไรก็เลยชักเริ่มหิวขึ้นมาบ้าง จึงชวนกันเดินกลับลงมา แล้วขึ้นรถบ่ายหน้าเข้าเมืองเพื่อหาอะไรถูก ๆ (แต่อยู่ท้อง) กินประทังหิวกันดีกว่า
สระใหญ่บนเนินที่ทำหน้าที่กักน้ำและส่งต่อลงไปยังน้ำพุเบื้องล่าง
ระหว่างที่กำลังรอจะขึ้นรถใต้ดินอยู่นั่นเอง ก็มีเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่างคุณลุงแก่ ๆ ชาวเติร์ก ที่เกิดดันไปยืนเงอะงะขวางทางพ่อเทพบุตรผมทองคนหนึ่งเข้า(จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ขั้นเทพอะไรนักหนาหรอกครับ แต่พฤติกรรมมันชวนให้พูดแขวะเท่านั้นเอง) แล้วไอ้ฝรั่งคนนี้ดันปากพล่อยไปด่าเขาด้วยถ้อยคำแรง ๆ บางอย่างเข้า ผู้ชายเติร์กอีกคนที่ไปด้วยกันกับลุงเลยเกิดยั๊วะตะโกนด่าไล่หลังไป ท้าทายให้กลับมาเอาเรื่องให้ได้ สุดท้ายก็ได้หญิงสาวเจ้าถิ่นอีกคนเป็นฝ่ายเคลียให้ แล้วเรียกคุณลุงกับญาติให้รีบขึ้นรถ ผมอดไม่ได้เลยหันไปพูดกับเพื่อนเป็นทำนองว่า "โชคดีแล้วหล่ะที่เราไม่ต้องมาอาศัยเขาอยู่ที่นี่ ต้องมาเป็นพลเมืองชั้นสองให้เขาดูถูกเหยียดหยาม" พูดเสร็จก็เหลือบไปเห็นว่ามีคุณป้าฝรั่งคนหนึ่งกำลังมองพวกเราอยู่อย่างสนใจ ไม่รู้ว่าแกจะฟังที่เราพูดเข้าใจหรือเปล่านะครับ แต่อย่างน้อยก็คงจะรู้สึกแย่ ที่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวได้เห็นภาพแบบนี้เข้า
โขงประตูด้านหนึ่งของพระราชวังหลวงโฮฟบวร์ก
ที่หมายต่อไปคือพระราชวังหลวงโฮฟบวร์ก(Hofburg) อันเป็นที่ประทับหลักของราชวงฮับเบิร์กซึ่งปกครองดินแดนแถบนี้มานานเกือบพันปี พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าครับ อาณาบริเวณกว้างใหญ่ถูกแบ่งย่อยออกเป็นหลายส่วนให้เลือกชม แต่ด้วยงบประมาณและเวลาอันจำกัด เราจึงเลือกเข้าแต่ในส่วนที่จัดแสดงกรุสมบัติของราชวงศ์เท่านั้น คอลเลคชั่นที่จัดแสดงที่นี่ประกอบไปด้วยเครื่องทอง เครื่องเพชร เครื่องทรงและมงกุฏของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งเป็นคนละอันกันกับอาณาจักรโรมันโบราณนะครับ) ตำแหน่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ถูกอุปโลกน์ขึ้นโดยศาสนจักรโรมันคาทอลิก เพื่อเติมเต็มอำนาจและความชอบธรรมให้แก่ทั้งฝ่ายคริสตจักรและราชอาณาจักร สรุปให้เข้าใจง่ายก็คือคริสตจักรแข็งแกร่งขึ้นด้วยอำนาจของจักรพรรดิและกองทัพของพระองค์ และพระจักรพรรดิก็ได้รับอำนาจและความชอบธรรมจากการแต่งตั้งของศาสนจักร ดังนั้นทรัพย์สมบัติที่จัดแสดงอยู่ที่นี่จึงเน้นไปในทางการศาสนาเสียเป็นส่วนใหญ่ โชคดีที่สถานที่นี้อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ ผมจึงไม่ขอบรรยายอะไรให้เยิ่นเย้อไปกว่านี้นะครับ พูดมากไปเดี๋ยวข้อมูลจะไม่แม่นเสียเปล่า ๆ ขอลงรูปให้ชมแทนคำบรรยายแล้วกันครับ
มงกุฏ คฑา และลูกโลก อันเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของกษัตริย์ทางยุโรป
มงกุฏของจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
จอก เหยือก และถาดรอง ทั้งหมดทำจากทองคำประดับอัญมณี
เครื่องทรงในพระราชพิธีของสมเด็จพระจักรพรรดิ
ดาบและการตกแต่งประดับประดาที่เต็มไปด้วยรายละเอียด
ถุงมือผ้าไหมปักทับด้วยแผ่นทองและอัญมณี
พุ่มไม้ทองคำประดับอัญมณี
โอปอลขนาดเขื่องเท่ากำปันเด็ก
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
งานชิ้นนี้ทำเลียนแบบเข็มกลัดประดับเพชรกรีนเดรสเดรน
ปิ่นปักผมที่ดูเผิน ๆ แล้วคล้ายของทางบ้านเรามาก
งานชิ้นนี้แกะจากมรกตก้อนใหญ่มาก น้ำหนักเมื่อคะเนจากสายตาแล้วน่าจะหนักร่วม 1 กิโลกรัมหรือกว่านั้น
แท่นทองคำและเครื่องบูชาในคริสตศาสนา
เสื้อคลุมและรองเท้าปักเลื่อมประดับอัญมณี
หลังจากเดินดูเครื่องเพชรจนถอดใจ(ด้วยปริมาณและมูลค่าที่มากมายมหาศาลของมัน) พวกเราจึงพากันเดินกลับออกมา เพื่อไปต่อยังมหาวิหารเซนต์สเตฟานส์ ในบริเวณจตุรัสกลางใจเมืองชื่อเดียวกัน(Stephansdom,Stephansplatz) มหาวิหารแห่งนี้เป็นอาคารในสไตล์กอธิครูปทรงสูงสง่า สัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของวิหารแห่งนี้ เห็นจะเป็นกระเบื้องมุงหลังคาหลากลวดลายและสีสัน แต่น่าเสียดายที่ตอนไปคราวนั้นเขาทำนั่งร้านครอบไว้เพื่อทำการบูรณะครับ เลยอดที่จะได้ภาพสวย ๆ มาฝากกัน วิหารกอธิคส่วนใหญ่ในยุโรป มักจะเน้นการประดับตกแต่งวิจิตรตระการตาที่ด้านนอก ส่วนภายในจะเน้นคานโค้งหัวเสาที่แผ่ออกไปคล้ายพัดคลี่ และการเล่นแสงที่ส่องผ่านเข้ามาทางกระจกสีหรือ Steinglass มากกว่า วิหารเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีครับ แต่โดยมารยาทเราควรจะบริจาคเงินลงกล่องซักนิดหน่อยตามศรัทธา ก็เหมือนกับเวลาเราเข้าวัดแล้วหยอดเงินลงกล่องเป็นค่าบำรุงต่าง ๆ นั่นแหล่ะครับ หลังจากเดินดูจนทั่วแล้วจึงชวนกันขึ้นไปดูวิวบนหอระฆัง ซึ่งตามปกติจะไม่ค่อยกล้าขึ้นกันหรอกครับ สาเหตุก็เพราะกลัวความสูงกันเป็นชีวิตจิตใจนั่นเอง แต่ไหน ๆ ก็คิดว่ามาถึงนี่แล้ว ลองปีนดูซักหอสองหอจะเป็นไรไป
เพดานของวิหารประดับค้านโค้งหัวเสารูปทรงคล้ายพัดคลี่
ลวดลายบนหลังคาของวิหารบางส่วน
บริเวณโดยรอบจตุรัสเซนต์สเตฟานส์อุดมไปด้วยร้านค้าและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
หนึ่งในไฮไลต์สำหรับโชว์นักท่องเที่ยวที่นี่ก็คือการแสดงดนตรีคลาสสิคครับ ในฐานะเมืองเอกแห่งการดนตรี ที่นี่เคยเป็นบ้านและสถานที่แจ้งเกิดของนักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่หลายคน อาทิ ไฮเดน บีโธเฟ่น เชินแบร์ก และ โมซาร์ท บริเวณจตุรัสและสถานที่ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวหลายแห่ง จะมีคนแต่งกายด้วยชุดโบราณคอยยื่นโบร์ชัวร์อยู่เต็มไปหมด ถ้าใครสนใจจะไปชมก็สามารถซื้อบัตรและสำรองที่นั่งที่เขาได้เลยครับ งานมักจะเริ่มในตอนค่ำด้วยดินเนอร์หรู พร้อมตบท้ายด้วยเสียงเพลงขับกล่อมจากวงออเคสตร้าขนาดย่อม แต่หากคุณเป็นคนไม่สันทัดกรณีหรือหูถึงขนาดนั้น ก็ยังสามารถหาชมหาฟังดนตรีคลาสสิคสด ๆ ได้ทั่วไปตามริมถนนครับ ฝีไม้ลายมือของแต่ละคนชั้นครูเลยทีเดียว แถมบางคนยังมาในชุดทักสิโด้เสียเต็มยศ จนอดคิดไม่ได้ว่าพี่แกมารับจ๊อบเล่นริมถนนก่อนไปเล่นจริงกับวงหรือเปล่า เพลงบางเพลงที่เล่นก็ไพเราะเสียจนใครหลายคนแอบปาดน้ำตาไปด้วยขณะฟัง เห็นแล้วอดคิดถึงน้อง ๆ หนู ๆ หลายคนที่พยายามเอาไวโอลินมาสีที่ถนนคนเดินวันอาทิตย์ที่เชียงใหม่ไม่ได้ อยากให้พวกน้องได้มาฟังมืออาชีพเขาเล่นกันที่นี่เหลือเกินครับ เผื่อจะเกิดแรงฮึดในการฝึกซ้อมให้เล่นกันเป็นเพลงกว่านี้ ที่พูดนี่ก็เพื่อให้กำลังใจนะครับ ไม่ได้คิดจะติติงอะไรเลยจริง ๆ
ความสะอาดเรียบร้อยของย่านช็อปปิ้งบริเวณโดยรอบจตุรัสเซนต์สเตฟานส์
ออสเตรียยังเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรคริสตัล และแบรนด์ที่เชิดหน้าชูตาของเขาที่สุดก็คือสวารอฟสกี้นั่นเองครับ(Swarovski) มีช็อปใหญ่ ๆ เปิดขายอยู่ทั่วไปในเวียนนา แต่โรงงานและแหล่งผลิตจริง ๆ จะอยู่อีกเมืองหนึ่ง เอาไว้บทหน้าถ้าถึงเมืองนั้นจะเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ จริง ๆ แล้วพวกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษหรอกนะครับ กับไอ้เจ้าคริสตัลอะไรที่ว่าเนี่ย ถึงมันจะสวยงามก็จริงแต่ราคาแพงหูฉี่ แถมยังน้ำหนักมากและแตกหักง่ายอีกต่างหาก ด้วยคุณสมบัติพิเศษนานาข้างต้น มันจึงดูไม่เหมาะแก่การเสียเงินซื้อหรือหิ้วกลับไปฝากใครด้วยประการทั้งปวง แต่เมื่อมาถึงแหล่งแล้วจะไม่ให้พูดถึงเลยก็ดูจะกระไรอยู่ อย่างน้อยก็ขอถ่ายภาพวินโดว์ดิสเพลย์สวย ๆ มาฝากแทนก็แล้วกันนะครับ
ดิสเพลย์สวย ๆ หน้าช็อปของสวารอฟสกี้
วันนี้จบวันในเวียนนาด้วยความอิ่มเอิบครับ โชคดีที่อากาศเป็นใจ บ้านเมืองของเขาสวยงามเป็นระเบียบ แม้ว่าในบางมุมจะดูหวานจนเลี่ยนไปซักหน่อย แต่ก็สมกับชื่อเมืองแล้วหล่ะครับ ที่พอได้ยินทีไร ไพล่นึกไปถึงชุดเจ้าสาวหรือไม่ก็เค้กแต่งงานทุกที ส่วนอาหารการกินข้างถนนที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลาย ด้วยความที่มีชาวตุรกีอพยพมาอยู่กันมาก จึงมีร้านเคบับและพิซซ่าแบบตุรกีที่แสนอร่อยและราคาย่อมเยาให้พบเจออยู่ทั่วไป แปลกแต่จริงที่อาหารในร้านบางอย่างราคาถูกกว่าโค้กและน้ำเปล่าครับ แถมถ้าซื้อกลับบ้านโดยไม่เอาถุงและกล่องก็จะประหยัดเงินไปได้อีกโข ดังนั้นพวกเราจึงเดินถือออกมากินกันข้างนอกร้าน แล้วไปซื้อเครื่องดื่มจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแทนซึ่งราคาถูกกว่าเป็นไหน ๆ แขกตุรกีที่ว่าเขี้ยว ถ้าได้รู้พฤติกรรมของลูกค้าคนไทยกลุ่มนี้เข้า พี่แกคงส่ายหัวด้วยความเอือมกันเลยหล่ะครับ
ตึกสวยและถนนสะอาดในเวียนนา
เมืองเวียนนาดู ๆ ไปเหมือนจะเล็ก แต่จริง ๆ แล้วกว้างขวางแถมถนนหนทางซับซ้อนจนน่าเวียนหัว ด้วยผู้คนที่หลากหลายและแออัด การเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนอาจก่อให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ก็ถือเป็นสีสันให้พอตื่นเต้นนะครับ คนหนุ่มสาวรูปร่างหน้าตาดีแต่งกายสวยงามทันสมัย แถมยังนิยมฉีดน้ำหอมกันจนฟุ้ง แต่มันน่าติอยู่อย่างคือวัฒนธรรมการสูบบุหรี่ของที่นี่ เหมือนกับว่าพอมีกฏหมายห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่ปิดเช่นสำนักงานร้านค้าหรือภัตตาคารออกมา พ่อเจ้าประคุณแม่คุณถึงได้พร้อมใจกันออกมาสูบกันเต็มถนนหนทางไปหมด เรียกได้ว่าไปหยุดจ่อมกันอยู่ตรงไหนนานไม่ได้หล่ะครับ ไม่ใครก็ใครเป็นต้องควักเอาบุหรี่ออกมาสูบพ่นควันเผื่อแผ่ชาวบ้านเขาไปทั่ว นี่ขนาดว่าผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่สูบ(ซึ่งปัจจุบันเลิกเด็ดขาดแล้ว) ก็ยังอดรู้สึกอึดอัดไปกับควันบุหรี่ไม่ได้ พึ่งรู้ตัวตอนนั้นเองครับว่าควันบุหรี่ที่เราสูบกับเขาสูบนั้น กลิ่นมันฉุนแตกต่างกันลิบลับขนาดไหน
วิวจากหน้าต่างห้องในเช้าวันที่อากาศไม่เป็นใจ
เราพักกันที่นี่สามคืนครับ ในเช้าวันที่สามอากาศแย่จัด มีหมอกลงหนาแถมสายฝนก็โปรยปรายเสียจนไม่อยากออกไปไหน พอดีอ่านเจอจากหนังสือแนะนำแหล่งเที่ยวว่ามีเส้นทางรถไฟนอกเมืองอยู่สายหนึ่ง มีวิวที่สุดแสนสวยงามชวนฝันก็เลยชวนกันไป ตอนออกตั๋วเจ้าหน้าที่เขาถามว่าจะไปลงที่ไหน แต่ด้วยความไม่รู้เลยบอกไปว่าขอนั่งไปจนสุดทางก็แล้วกัน วันนี้ทั้งวันก็เลยเหมือนไปปิคนิคนอกเมืองกันครับ มีการเตรียมอาหารไปกินกลางทางบนรถไฟกันอย่างเอิกเกริก ตอนนั่งโซ้ยกันอยู่นั่นเองก็มีพนักงานรถไฟเข็นรถมาเสนอขายอาหารจำพวกของว่างและเครื่องดื่มถึงที่ พวกเราตอบปฏิเสธเธอไปด้วยความขวยเขินว่า "เตรียมมาเองจากบ้านแล้ว" พอถึงปลายทางก็ยังไม่วายวิ่งไปดูของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อตุนกลับมากินบนรถไฟในขากลับต่อ สรุปแล้วก็ได้นั่งรถขบวนเดิมนั่นแหล่ะครับกลับมา แถมยังเจอพนักงานรถไฟคนเดิมเข็นรถมาถามอีกเหมือนผีหลอก ฝ่ายเขาก็คงนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าไอ้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เมื่อเช้าก็เห็นมันนั่งโซ้ยอะไรกันอยู่นี่หว่า ขากลับมาเจอกันอีกแล้ว
บ้านเรือนในชนบทของออสเตรีย เนินโล่ง ๆ ด้านหลังคือลานสำหรับเล่นสกีในวันที่หิมะละลายหมดแล้ว
สะพานหินและอุโมงค์ ที่ทำให้การนั่งรถไฟของที่นี่มีสีสันขึ้น
ไหน ๆ ก็นั่งรถชมวิวทั้งที จะไม่พูดถึงวิวเลยก็คงไม่ได้นะครับ สองข้างทางที่นี่อุดมไปด้วยรีสอร์ตสกีร้างเต็มไปหมด สาเหตุหนึ่งที่ร้างก็เพราะเราไปกันผิดฤดูครับ หิมะละลายสูญสลายไปหมดแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะว่ารีสอร์ตหลายแห่งโดนระเบิดทำลายลงตั้งแต่ยุคสงครามโลก จนป่านนี้ก็ยังไม่มีเงินมาซ่อมแซมบูรณะ สองข้างทางป่าเขาถึงจะดูไม่สวยมากแต่ก็ได้ไอหมอกและสายฝนเป็นตัวช่วย ทำให้บรรยากาศมันเจือความโรแมนติคขึ้นมาอีกโข สำหรับเด็กและไม่เด็กชาวไทยหลาย ๆ คน ที่รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเวลานั่งรถไฟลอดอุโมงค์ขุนตาล ผมขอแนะนำให้มาที่นี่ครับแล้วจะไม่ผิดหวัง เพราะรถไฟสายนี้มุดเข้ามุดออกอุโมงค์เป็นว่าเล่นเสียจนลืมนับ แต่สำหรับผมแล้วอุโมงค์มืด ๆ จะสู้อะไรได้กับวิวนอกหน้าต่าง ยามที่รถไต่เลี้ยวเลาะไปบนขอบเขาและผาชัน อีกทั้งบ้านเรือนหลังเล็กหลังน้อยตามไหล่เขานั่นอีกเล่า ที่แข่งกันปล่อยควันลอยฟุ้งออกมาจากปล่องบนหลังคา เห็นภาพแบบนี้แล้วก็เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ที่ฝรั่งเขาว่า Home Sweet Home นั้น ที่แท้มันหมายถึงอย่างนี้นี่เอง เอาหล่ะครับขอหมดวันที่สามในเวียนนาเสียทีด้วยรถไฟและสายฝนอันเย็นฉ่ำ(ที่ดูท่าว่าจะไม่หยุดเสียที)
ก่อนนอนยังอดไม่ได้ที่จะเข้าไปเช็คข่าวคราวทางเมืองไทยจากอินเตอร์เน็ต การเมืองในตอนนั้นตีบตันจนแทบจะหาทางออกไม่เจอ ไม่รู้ว่าคนไทยกลุ่มนี้ยังจะต้องการอะไรอีก ในเมื่อชีวิตนั้นสุดแสนจะโชคดีขนาดนี้ ได้อยู่ในบ้านเมืองที่ร่มเย็นสงบสุข แถมข้าวปลาอาหารยังอุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญได้เกิดมาอยู่ภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนบางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่า อยากให้เขาเหล่านั้นได้ลองสัมผัสรสชาติของสงครามและความอดอยากดูบ้าง หรือไม่ก็ถูกปกครองด้วยระบอบที่ทารุณกดขี่เหมือนหลายชาติแถบนี้เคยพบเจอ เพื่อพวกเขาจะได้รู้กันเสียทีว่าเผด็จการที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร แล้วเมื่อถึงวันนั้น ก็คงจะไม่สามารถเรียกร้องให้อะไรมันกลับคืนเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น