วันที่สามในปรากเราเริ่มต้นกันแต่เช้าตรู่ โปรแกรมของวันนี้ดูออกจะเวอร์ไปสักหน่อย เพราะว่าเรากำลังจะไปดูเพชรกันครับ แถมไม่ใช่ของใกล้ ๆ เสียด้วยสิ เพราะต้องนั่งรถไฟข้ามประเทศกันเลยทีเดียว หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า ทำไมพวกเราไม่แวะค้างและเที่ยวที่เดรสเดนเสียให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเดินทางต่อเข้ามายังสาธารณรัฐเช็ก ที่มาที่ไปก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากหรอกครับ มันเป็นเพราะโปรแกรมการเดินทางที่กระชั้นชิดมากนั่นเอง มีเวลาเดินทางเพียงกันแค่เดือนเดียว แต่ด้วยความโลภ จึงต้องพยายามเก็บตกให้ได้มากที่สุด แล้วจะให้แวะนอนมันทุกเมืองก็คงไม่ไหว เพราะลำพังจะเดินหาโรงแรมและรื้อกระเป๋าเข้า-ออก ก็เสียเวลาไปเป็นวัน ๆ แล้วหล่ะครับ เราเลยใช้วิธีแวะพักตามเมืองใหญ่ ๆ ทีละหลายคืน แล้วไปเก็บตกเมืองเล็กเมืองน้อยแถบนั้น ด้วยการนั่งรถไฟแบบเช้าไป-เย็นกลับเอาดีกว่า ค่ารถก็เหมาจ่ายไปหมดแล้ว ไปกันตัวเปล่า ๆ อย่างนี้สบายใจดีครับ ถึงจะเสียเวลาย้อนไปมานิดหน่อยแต่ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะตั้งแต่เปิดตั๋วมา เราหาเรื่องใช้มันเกือบทุกวัน แถมในบางวันก็ยังนั่งกันตั้งหลายรอบเสียด้วยสิครับ
การตกแต่งประดับประดาภายในสถานีรถไฟปราก
ถนนหนทางในปรากค่อนข้างใหญ่เกินมาตรฐานยุโรป แถมรถราก็เย๊อะและขับกันเร็วมาก การเดินข้ามทางแยกใหญ่ ๆ จะมีอุโมงค์เป็นตัวช่วยในบางจุด แต่ตามสี่แยกทั่วไป เขาใช้วิธีเดินข้ามแบบอ้อมกันครับ ซึ่งวิธีนี้เมืองไทยน่าจะเอามาเป็นแบบอย่าง วิธีการก็คือให้คนเดินข้ามได้เฉพาะด้านที่กำหนด โดยเหลือไว้หนึ่งด้านที่ห้ามข้ามเด็ดขาด เพื่อให้รถวิ่งผ่านได้ตลอดทั้งซ้าย-ขวา ส่วนอีกสามด้านที่เหลือสามารถข้ามได้แต่ต้องรอสัญญาณไฟก่อน ดังนั้นถ้าเกิดเราจะข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งแต่ดันเป็นเส้นที่ห้าม เราก็ต้องเดินอ้อมแยกไปด้วยการข้ามสามด้านที่เหลือไปทีละด้าน ฟังดูอาจซับซ้อนไปใช่มั้ยหล่ะครับ แต่ถ้าลองนำมาปฏิบัติแล้วจะพบว่าไม่ยุ่งยากเลย ที่สำคัญคนเดินถนนจะได้ไม่ต้องมายืนงงคาสี่แยกเหมือนบ้านเรา(โดยเฉพาะที่เชียงใหม่) ที่ปล่อยรถวิ่งสลับกันมาจากทุกทิศโดยไม่เปิดโอกาสให้คนข้าม แล้วปล่อยให้คนที่จะข้ามต้องหาจังหว่ะกันเอาเองตามยถากรรม
ย่านชนบทชานเมืองเดรสเดน ริมฝั่งแม่น้ำเอลเบ
ขณะที่กำลังเดินไปสถานีรถไฟนั่นเอง เราแอบสังเกตเห็นว่ามีสวนหย่อมตัดตรงไปสู่หน้าสถานีเหมือนจะเป็นทางลัด ซึ่งถ้าเดินย้อนไปทางเดิมเหมือนวันก่อนจะเสียเวลาอ้อมไกล อย่ากระนั้นเลย พากันไปทางนี้ดีกว่าเพราะดูใกล้กว่าเป็นไหน ๆ ว่าแล้วก็พากันเดินเลาะไปเรื่อย ๆ จนเกือบจะถึงอยู่รอมร่อ ก็เริ่มนึกเอ่ะใจว่าทำไมสวนมันแคบลง ๆ จนมาถึงบางอ้อเอาอีตอนจะข้ามถนนนี่เองครับ ก็ไอ้สวนหย่อมที่ว่าหน่ะ ที่แท้มันคือเกาะกลางถนนนั่นเอง ที่สำคัญเป็นถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เสียอีกด้วย รถวิ่งเร็วขวักไขว่ทั้งซ้าย-ขวาโดยไม่มีทางให้ข้าม พวกต่างด้าวจากเมืองไทยเลยยืนหันรีหันขวางอยู่อย่างนั้น เพราะไม่รู้จะทำยังไงกันดี จะให้เดินย้อนกลับไปทางเดิมอีกก็คงต้องเสียเวลาเป็นชั่วโมงแน่ ดังนั้นพวกเราเลยตัดสินใจเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายวิ่งข้ามไปด้วยความอับอาย เห็นแล้วนึกถึงโฆษณารณรงค์ให้คนใช้ทางข้ามสมัยก่อน อันที่มีคุณลุงสรพงษ์เป็นพรีเซ็นเตอร์ไงครับ นี่ถ้าเกิดมาโดนรถชนตายกันอยู่ที่นี่ ญาติพี่น้องที่เมืองไทยคงต้องอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน


เอาหล่ะครับ นอกเรื่องมาตั้งไกลไม่ถึงเดรสเดนซักที เอาเป็นว่าและแล้วพวกเราก็มาถึงเดรสเดนโดยสวัสดิภาพนะครับ เดรสเดนเป็นเมืองหลวงและเมืองเอกของแคว้นแซกโซนี่(Saxony) เมืองนี้ได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ โดยการทิ้งระเบิดของพวกสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง ดั้งนั้นอาคารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เห็นเกือบทั้งหมด จึงเป็นการบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้เองครับ โดยยังคงลักษณะทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน เมืองนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก แต่ก็เหมือนมีปัญหาว่าจะโดนถอดอยู่เหมือนกัน นั่นก็เพราะการเติบโตอย่างรวดเร็วโดยไร้ทิศทางของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุมัติให้มีการสร้างสะพานสมัยใหม่ ที่มีรูปแบบไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมเดิมโดยสิ้นเชิง ปัญหานี้ก็คงจะครือ ๆ กับบ้านเราที่อยุธยากระมังครับ ที่ร่ำ ๆ ว่ายูเนสโกจะขอถอดชื่อออกเหมือนกัน เพราะการบริหารจัดการด้านสภาพแวดล้อมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ดูไม่สมศักดิ์ศรีความเป็นเมืองมรดกโลกประมาณนั้น
บริเวณโดยรอบพระราชวังชวิงเงอร์
โรงโอเปร่าที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่
สะพานข้ามแม่น้ำเอลเบ
ส่วนของเมืองที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ ให้คงอยู่ในสภาพเดิมที่สุดก็คือในส่วนของพระราชวังชวิงเงอร์(Zwinger) และอาณาบริเวณโดยรอบ อันประกอบไปด้วยพระราชวัง,สะพานข้ามแม่น้ำแอลเบ(Elbe) ตึกที่ทำการแล้วก็พิพิธภัณฑ์ชื่อ The Green Vault (ที่เรากำลังจะไปเที่ยวกันวันนี้ไงครับ) ดังที่ได้เคยบอกไปว่าเดรสเดนเป็นหนึ่งในอีกหลายเมือง ที่ถูกระเบิดทำลายลงอย่างย่อยยับในสงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้นอาคารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เห็น จึงเป็นการบูรณะขึ้นมาใหม่ โดยถึงแม้จะยังคงลักษณะทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิมเอาไว้ แต่กระนั้นอาณาบริเวณโดยรอบ ก็กลับอุดมไปด้วยอาคารสมัยใหม่มากมาย ทั้งห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์ อาคารสำนักงาน และอพาร์ทเมนต์ที่อยู่อาศัย ซึ่งดูแล้วอาจจะขัดหูขัดตาใครหลาย ๆ คนไปบ้าง จะให้ดีก็ควรเผื่อใจไว้สักหน่อย ถ้าหากว่าอะไร ๆ มันได้เป็นอย่างที่วาดฝันไว้เอาไว้ จะได้ไม่รู้สึกผิดหวังมากไงครับ
ประตูพระราชวังชวิงเงอร์
ภายในพระราชวังชวิงเงอร์
คูน้ำล้อมรอบเขตพระราชวังชวิงเงอร์
จากภายในพระราชวัง มองออกไปเห็นอาคารสมัยใหม่ด้านนอกทำให้ดูขัดตา
The Green Vault คือชื่อของห้องชุดอันเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง เดิมทีเป็นสถานที่เก็บเอกสารลับแล้วก็ยังเป็นท้องพระคลังหลวง สำหรับเก็บทรัพย์สมบัติสูงค่าของราชวงศ์ ต่อมาภายหลังได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชม และก็เช่นเดียวกับสถานที่อื่น ๆ ในเดรสเดน The Green Vault ถูกระเบิดทำลายเสียหายย่อยยับตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 และทรัพย์สมบัติทั้งหมดได้ถูกกองทัพโซเวียตยึดไป แต่สุดท้ายก็ตามคืนกลับมาได้ในที่สุด ภายหลังการบูรณะเสร็จสิ้น คอลเล็คชั่นทั้งหมดจึงถูกนำมาจัดแสดงใหม่ที่นี่อีกครั้ง ค่าเข้าชมจะแบ่งเป็นส่วน ๆ ครับ โดยผมได้แจ้งความจำนงค์ไปว่าต้องการดูแต่เฉพาะโซนที่จัดแสดงเพชร The Green Dresden เท่านั้น จากนั้นคุณป้าคนขายตั๋วก็ถามผมด้วยคำถามเดิม ๆ อีกว่า "เป็นนักเรียนหรือเปล่า" ผมเลยลองตอบกลับไปด้วยมุขเก่าว่า "ใช่ แต่ไม่ได้เอาบัตรมา" งานนี้ใช้ไม่ได้ผลครับ แกเก็บเราเต็มราคา แถมยังหน้าหงิกใส่เหมือนจะรู้ทันเสียด้วย


ค่าเข้าชมคนละ 10 ยูโร ก็ถือว่าไม่แพงนะครับ ถ้าเทียบกับมูลค่าของทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่จัดแสดงอยู่ภายใน คอลเล็คชั่นที่จัดแสดงอยู่ที่นี่ ถือได้ว่าเป็นคอลเล็คชั่นของใช้และเครื่องประดับตกแต่ง ซึ่งทำจากอัญมณีที่ใหญ่สุดในยุโรป ด้วยจำนวนชิ้นงานที่มากกว่า 4,000 ชิ้น โดยมีการจำแนกของที่จัดแสดงเป็นส่วน ๆ ในแต่ละห้อง ตามลักษณะการใช้งานบ้าง จากยุคสมัยทางศิลปบ้าง หรือจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ทำ อาทิเช่นข้าวของเครื่องใช้ขนาดใหญ่ที่ทำจากอำพันและหินมีค่า หรือเครื่องทองเครื่องเงินสำหรับใช้บนโต๊ะอาหาร แล้วก็ยังมีของขวัญของกำนัลล้ำค่า ที่บรรดากษัตริย์ในสมัยก่อนได้รับการถวายจากอาคันตุกะ หรือบรรดาพันธมิตรของพระองค์ในโอกาสต่าง ๆ
สำหรับผมแล้วคอลเล็คชั่นที่น่าตื่นต่าตื่นใจที่สุด กลับเป็นงานแกะสลักจากงาช้างชิ้นเล็ก ๆ ครับ เห็นแล้วอดทึ่งในความอุตสาหะพยายามของช่างสมัยก่อนไม่ได้ แต่ละชิ้นใช้วิธีแกะสลักเข้าไปเป็นชั้น ๆ โดยแต่ละชั้นเป็นอิสระต่อกัน แถมยังสามารถเคลื่อนไหวไปมาอยู่ภายในได้เสียอีกสิครับ แถมชิ้นงานบางชิ้น รายละเอียดยังเล็กมากเสียจนต้องใช้แว่นขยายส่องดูเลยหล่ะครับจึงจะเห็น

นอกจากนั้นก็ยังมีของเล่นของมหาเศรษฐี ที่เรียกว่าเป็นของเล่นก็เพราะว่ามันไม่ได้มีไว้ใช้งานอะไรเลยครับ นอกจากเอาไว้ตั้งโชว์และชื่นชมเฉย ๆ ชิ้นที่อลังการที่สุดคือท้องพระโรงจำลองของจักรพรรดิโมกุล ขนาดใหญ่โตเท่าโต๊ะบิลเลียด ถ้าหากว่าจินตนาการไม่ออกก็ให้นึกถึงบ้านตุ๊กตานะครับ แต่เป็นบ้านตุ๊กตาขนาดใหญ่ที่จำลองท้องพระโรงของแขกมา ข้างในก็มีทั้งเครื่องประกอบขนาดเล็กจิ๋ว อีกทั้งตัวสุลต่านผู้นั่งอยู่บนบัลลังค์ทอง รายล้อมไปด้วยพวกขุนนาง อำมาตย์ มุขมนตรี แล้วก็มีราชทูตจากประเทศต่าง ๆ ที่กำลังยืนรอเพื่อขอเข้าเฝ้าพร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการ ความน่าตื่นตาของงานชิ้นนี้ก็คือ ชิ้นส่วนทั้งหมดทำขึ้นจากเงิน ทอง และประดับประดาตกแต่งด้วยอัญมณีมีค่าเม็ดเล็ก ๆ จำนวนมหาศาล เล่นเอาผู้ชมกิเลสหนาอย่างพวกเราเดินวนดูจนตาลายเลยหล่ะครับ

ถัดมาอีกห้องหนึ่งในส่วนท้ายสุด จัดแสดงฉลองพระองค์ของกษัตริย์ในสมัยก่อน ที่ทำเอาพวกผู้หญิงเห็นแล้วเป็นต้องหัวเราะกันคิกคัก นั่นก็คือบริเวณเป้ากางเกง เขาได้ทำเป็นกระเป่าะครอบไว้เป็นแท่ง แข็งชี้เด่ออกมาเลยหน่ะสิครับ อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า ฉลองพระองค์สมัยก่อนคงจะถอดยากก็เลยทำช่องเปิดไว้ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ทำไมต้องทำเป็นแท่งชี้โด่ออกมาขนาดนั้น นึกถึงว่าถ้าเป็นสมัยก่อนตอนเข้าเฝ้า สายตาสัปดนของใครหลายคนคงอดไม่ได้ ที่จะเผลอมองเป้าของพระองค์ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีบุคลิคล่อกแล่กแล้วหล่ะก็ การเข้าเฝ้าแต่ละครั้งคงทำให้เหงื่อตกเลยหล่ะครับ
ภาพสเก็ตของเครื่องประดับหมวกกษัตริย์ที่มีเพชรกรีนเดรสเดนเป็นองค์ประกอบหลัก (ภาพจากhttp://famousdiamonds.tripod.com/dresdengreendiamond.html )
และแล้วก็มาถึงห้องสุดท้าย อันเป็นไฮไลต์ของคอลเลคชั่นนี้ นั่นก็คือห้องที่จัดแสดงเพชรสีเขียว The Green Dresden นางเอกของงานไงครับ ภายในห้องคุมแสงไว้เกือบจะมืดสนิท กลางห้องมีตู้กระจกบุกำมะหยี่สีทึบตั้งอยู่ แน่นอนว่ากระจกตู้ต้องเป็นกระจกนิรภัยกันกระสุน และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าภายในตู้ใบนั้นเอง ที่ทำให้ใครก็ตามที่ได้พบเห็นต้องสะดุดนิ่ง ผมคิดว่าแม้แต่ชาวป่าชาวเขาที่ไม่รู้ค่าอันใด เมื่อได้มาเห็นสิ่งนี้เข้า ก็คงต้องตกตะลึงตาค้างเหมือนโดนสะกดด้วยเช่นกันครับ นั่นก็เพราะประกายอันเจิดจรัสของมัน ที่หยอกล้อแสงวูบวาบไปมาตามจังหว่ะสายตาอย่างไม่หยุดนิ่ง แม้จะพยายามหยุดและจ้องให้นิ่งแค่ไหน แต่ประกายของมันก็ยังคงสั่นระริกอยู่อย่างนั้น ชะรอยคงจะเป็นเพราะตัวเราสั่นผสมโรงไปด้วยกระมังครับ ผมแอบเห็นยัยแหม่มหลายคนทำทีเป็นมองแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็รีบเผ่นออกไปเหมือนจะทำใจไม่ได้ แต่ผมกลับขอใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ครับ ให้สมกับที่ได้ถ่อสังขารข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อดูมัน ดูแล้วก็ปลง ปลงแล้วก็รีบปล่อยวาง อันว่าสมบัติพัสถานเหล่านี้ ที่บรรดาเจ้าเข้าเจ้าของผู้เสาะหา อุตส่าห์ทุ่มเทเงินทองมากมายมหาศาลกว่าจะได้มันมา จนป่านนี้ก็ได้หาชีวิตไม่ไปหลายรุ่นแล้ว แต่ก็ไม่เห็นจะมีใครเอามันไปด้วยได้ซักคน นี่แหล่ะหนอที่เขาว่าของนอกกาย ถ้าไม่ต้องแก่ต้องตาย แล้วก็มีเงินเหลือกินเหลือใช้(ข้อนี้สำคัญมาก) ก็คงอยากจะได้กับเขาอยู่เหมือนกันนะครับ

น่าเสียดายที่เขาห้ามถ่ายรูปครับ ดังนั้นเราจึงใช้เวลาในแต่ละห้องนานพอสมควร ในการเพ่งพิจพินิจพิเคราะห์โดยละเอียด แต่สุดท้ายก็จำอะไรแทบไม่ได้นอกจากเพชรเม็ดใหญ่สีเขียวเม็ดนั้น ภาพประกอบในบทนี้ โดยเฉพาะในส่วนของเครื่องเพชรใน The Green Vault ผมใช้วิธีคัดลอกมาจากเวปไซต์ต่าง ๆ เอาครับ ถ้าหากท่านเจ้าของลิขสิทธิ์มาพบเจอเข้า ก็ต้องกราบขออภัยเอาไว้ ณ ที่นี้ อย่างไรเสียก็ขอให้ถือว่าเป็นวิทยาทานนะครับ เพื่อผลบุญกุศลอันแรงกล้า ที่ได้ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้ใครต่อใครอีกหลายคน ผู้ที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเห็นด้วยตัวเองไงครับ
สะพานหินทางเชื่อมบนผาสูง นอกเมืองเดรสเดน
ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งที่น่าแวะ เป็นสะพานหินลอยฟ้าที่ทำเชื่อมยอดเขาและหน้าผาหินปูนสูงชันริมอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนอกเมืองเดรสเดรน เรานั่งรถไฟผ่านไปผ่านมาอยู่หลายรอบ ก็ได้แต่นั่งมองด้วยความอึ้งและหวาดเสียวอยู่บนรถไฟ เอาไว้คราวหน้าถ้าได้มีโอกาสแวะเมื่อไหร่ จะขอนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้งหนึ่งนะครับ วันนี้ขอจบวันในเดรสเดนด้วยสายตาอันเหนื่อยล้าแต่เพียงนี้ คืนนี้คงต้องกลับไปนอนฝันถึงเพชรสีเขียวเม็ดนั้นที่ปรากด้วยใจอันคุกรุ่น แต่พรุ่งนี้ก็ต้องตัดใจเดินทางต่อไปยังเวียนนากันแล้วหล่ะครับ ยังมีอะไรอีกมากมายรอเราอยู่ แล้วพบกันใหม่บทหน้าที่เวียนนาครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น