จากที่เคยกล่าวไว้ในบทก่อนหน้า ว่าเวียนนาตั้งอยู่เกือบปลายสุดของเทือกเขาแอลป์ ถัดจากนั้นมาก็คือที่ราบฮังการีอันแสนกว้างใหญ่ และดูท่าว่าคงจะกว้างใหญ่จริง ๆ เสียด้วยสิครับ เพราะภาพวิวสองข้างทางดูเวิ้งว้างชอบกล มองไปทางไหนเห็นแต่ทุ่งดอกไม้เหลืองโพลนเต็มไปหมด หากเป็นแถวบ้านเราคงนึกว่าเป็นดงผักกาด แต่นี่มันกลางทวีปยุโรปไม่ใช่เมืองจีน ข้อสันนิษฐานเรื่องดอกผักกาดจึงเป็นอันตกไป ตอนแรกเห็นดอกเหลือง ๆ ก็เข้าใจไปเองว่าน่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับมัสตาร์ด แต่แล้วก็แอบได้ยินสองพ่อลูกในที่นั่งถัดไปเขาคุยกัน ว่าแท้จริงแล้วมันคือดอกต้นฮอบส์ซึ่งไม่ได้ปลูกเพื่อการบริโภคใด ๆ แต่ว่าเขาเอาไปสกัดน้ำมันทำไบโอดีเซลต่างหาก ถึงว่าหล่ะครับทำไมพักหลัง ๆ พวกฝรั่งเขาถึงได้เป็นห่วงกันนักเรื่องวิกฤติการขาดแคลนอาหาร คงเพราะที่ดินทำกินส่วนใหญ่ของเขา ดันเอาไปปลูกไปทำพืชพลังงานทดแทนกันหมดนั่นเอง
และแล้วก็มาถึงบูดาเปสต์ด้วยความไม่แน่ใจ รถไฟค่อย ๆ แล่นช้า ๆ เหมือนกับว่าจะถึงปลายทางอยู่มะรอมมะร่อ แต่สองข้างไหล่ทางก็ยังดูเป็นป่าละเมาะเสื่อมโทรม แถมบ้านเรือนที่ปลูกแซมอยู่ประปรายก็ดูเก่าโกโรโกโส และแล้วก็มีเสียงประกาศสามภาษาดังขึ้น ตบท้ายด้วยเสียงภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นอย่างเคย ว่าตอนนี้มาถึงบูดาเปสต์เป็นแน่แล้ว เมื่อเห็นผู้โดยสารคนอื่นเขากุลีกุจอเตรียมตัวทำท่าจะลง พวกเราจึงรีบตระเตรียมข้าวของตามเค้าโดยไม่ลังเล
สะพานโซ่ สะพานหลักในหลาย ๆ สะพาน ที่เชื่อมสองฝั่งบูดาและเปสต์
รถไฟมาจอดสนิทตรงสถานีที่ชานเมืองฝั่งหนึ่ง ร่องรอยของความเจริญแรกที่เห็นก่อนเหยียบย่างลงจากรถที่นี่ ก็คือห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่ข้างสถานีรถไฟนั่นเอง ธรรมดาแล้วห้างใหญ่โตขนาดนี้มักจะไม่ค่อยมีให้พบเจอมากนักในยุโรป คงจะเป็นด้วยเรื่องกฏหมายควบคุมการก่อสร้างที่เข้มงวดมากของเขานั่นเอง แต่สำหรับพวกเราแล้ว การได้มาเจอสถานที่แบบนี้ในดินแดนอันไกลโพ้น ก็เหมือนกับเจอโอเอซีสกลางทะเลทรายนั่นเลยทีเดียวหล่ะครับ
เดินลงจากรถไฟเหมือนออกจากแมชชีนย้อนกาลเวลา รถด่วนขบวนพิเศษจากออสเตรียที่เรานั่งมาเหมือนหลงเข้ามาจอดผิดยุค สถานีแห่งนี้เป็นอาคารโครงเหล็กหลังใหญ่ร่วมรุ่นเดียวกันกับหัวลำโพง แต่โครงสร้างพื้นผนังยันหลังคายังเป็นของเดิมอยู่มาก ซึ่งของเดิมในที่นี้ก็คือเก่ามายังไงก็เก่าไปอย่างนั้นครับ ทางเข้าทางออกกั้นคอกตรวจคนไว้แน่นหนา แต่ไม่รู้ทำไมถึงปล่อยให้แท็คซี่เถื่อนไปเที่ยวไล่จับผู้โดยสารถึงตีนกระไดรถได้ เรื่องการจับผู้โดยสารแบบนี้ก็เป็นอะไรอีกอย่างที่แทบไม่มีให้เห็นเลยในยุโรป หรือจะว่าไปแม้แต่ในเมืองไทยก็ตามที โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กรุงเทพฯ ซึ่งก็ไม่ค่อยเห็นมีใครทำกันแล้ว ที่ยังจะพอมีให้เห็นอยู่บ้างก็ตามขนส่งแถวต่างจังหวัดเท่านั้น
สะพานโซ่ทอดข้ามไปสู่ฝั่งเปสต์
ปัญหาต่อมาก็คือเรื่องเงินครับ ที่บูดาเปสต์ยังคงใช้เงินสกุลเดิมของเขาอยู่(โฟรินต์,Forint อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน ลองเช็คดูจากเวปไซต์นี้นะครับ http://th.rateq.com/forex_convert_widget.php?c=HUF ) เห็นมีเคาท์เตอร์ตั้งอยู่ทั่วไปในสถานีแต่ก็ไม่กล้าแลก เลยทำทีเป็นเดินไปถามราคาตั๋วรถจากเอเยนต์ขายทัวร์แถวนั้น แล้วเลยถามเขาต่อว่าควรจะไปแลกเงินที่ไหนดี เขาเลยบอกให้ออกไปแลกข้างนอกสถานี เป็นเคาท์เตอร์เล็ก ๆ ในซอกตึกแห่งหนึ่งซึ่งสภาพก็ดูไม่น่าไว้ใจพอกัน แต่อัตราแลกที่ได้ก็เป็นธรรมกว่ามาก แถมยังไม่มีการชาร์จเพิ่มใด ๆ อีกต่างหาก ดังนั้นพวกเราจึงกลับมาใช้บริการที่นี่อีกหลายครั้ง
เรือสำราญจอดเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดานูบ
อากาศที่นี่ในวันแรกแดดจ้าและอบอุ่นกำลังดี แต่มันก็เป็นอย่างนี้มาหลายเมืองแล้ว พอล่วงเข้าวันที่สองทีไรพระพิรุณก็ทำท่าเหมือนจะรู้แกวว่าพวกเรามาถึง และหลังจากนั้นท่านก็จัดหนักมาให้ทั้งฝนทั้งหนาว
ในเย็นวันแรกพวกเราไม่มัวรีรอ หลังจากเก็บของเข้าที่พักเสร็จ ก็พากันลองนั่งรถสำรวจเมืองคร่าว ๆ กันเลย ตั๋วรถที่ซื้อเป็นแบบเหมามีอายุสามวัน ดังนั้นถ้าจะให้คุ้มก็ต้องใช้แล้วก็ใช้จนกว่ามันจะหมดอายุครับ จุดหมายแรกที่ใคร ๆ ก็นึกถึงเมื่อไปบูดาเปสต์ก็คือริมฝั่งแม่น้ำดานูบ เพราะอาคารสวยงามที่มีความสำคัญทางประวัติศาสต์ของเมืองตั้งอยู่แถบนั้น เริ่มด้วยอาคารรัฐสภาหลังใหญ่(Parliament) รูปทรงสวยงามแปลกตาในสไตล์นีโอกอธิค อาคารหลังนี้ได้รับแรงบรรดาลใจจากอาคารรัฐสภาที่ลอนดอน ทั้งในแง่ของการจัดวางตำแหน่งริมแม่น้ำเพื่อสร้างความประทับใจจากเงาสะท้อนที่ทอดลงไป อีกทั้งในเรื่องของตัวบทกฏหมายรัฐธรรมนูญที่ยึดเอาประเทศอังกฤษเป็นแบบอย่าง
อาคารรัฐสภาบูดาเปสต์ ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากอาคารรัฐสภาที่ลอนดอน
เช้าวันถัดมาก็เป็นไปดังคาดครับ สายฝนโปรยปรายแต่เช้าและอุณหภูมิก็ลดลงฮวบฮาบ วันนี้จะให้ไปเดินเที่ยวกลางสายฝนคงไม่ไหวแน่ พอดีเห็นโฆษณาละครสัตว์ในแผ่นพับที่แนบมากับแผนที่คิดว่าน่าสนใจดี เลยลองพากันเสี่ยงดวงนั่งรถไปตามสถานที่ที่แจ้งไว้ พอลงจากรถรางที่สถานีปลายทาง มองซ้ายแลขวาไม่เห็นมันจะมีวี่แววของกระโจมละครสัตว์ที่ตรงไหน ยืนเคว้งได้ซักพักก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่ง พวกเขาพาเดินเข้าแถวเรียงกันไปเหมือนจะไปที่ไหนซักที่ เลยเลยตัดสินใจพากันเดินตาม พอเข้าไปเดินใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่าน้องกลุ่มนี้เขาเป็นเด็กพิเศษครับ(ออทิสติกหรือแอสเพอร์เกอร์) แต่ดูท่าคงได้รับการฝึกมาอย่างดี เพราะท่าทางแต่ละคนเรียบร้อยน่ารัก ในแถวมีพี่เลี้ยงคอยคุมอยู่เป็นระยะ ต่อเด็กทุก 5-6 คนจะต้องมีพี่เลี้ยงหนึ่งคนเดินนำหรือตาม ส่วนท้ายขบวนมีแม้วไทยสองคนเดินทำเนียนตามเขาไปต้อย ๆ และแล้วน้องคนหนึ่งก็คว้าแขนผมไปจูงหน้าตาเฉย ท่าทางแกคงจะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน เดินจูงมือกันไปตั้งนานจนพี่เลี้ยงหันมาเห็นเข้า แกตกใจเอะอะดุน้องเค้าใหญ่เลยหล่ะครับ ไม่รู้ว่าเป็นข้อห้ามอะไรของเค้าหรือเปล่า ท่าทางคงเหมือนอย่างบ้านเรากระมัง ที่ผู้ใหญ่มักจะสอนหรือห้ามเด็กไม่ให้สุงสิงกับคนแปลกหน้า
ภายในโรงละครสัตว์ก่อนโชว์จะเริ่ม
และแล้วก็มาถึงที่หมายเสียที ที่รู้ว่ามาถึงก็เพราะเห็นโปสเตอร์หน้างานหรอกครับ น้อง ๆ กลุ่มนั้นเขายังพากันเดินต่อไปไหนอีกก็ไม่รู้ ทิ้งให้พวกเรายืนงงอยู่หน้าโรงละครสัตว์เพราะคิดว่ามาผิดวัน สองคนเลยยืนเถียงกันว่าจะเอาไงต่อดี ทำไมหน้าโรงถึงได้ดูวังเวงเงียบเหงาเหมือนเขาเลิกกิจการไปแล้ว ก็เกือบจะถอดใจอยู่แล้วเชียวครับ ถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเข้า เขาเขียนแปะหน้าเคาท์เตอร์ว่า"Please nock for Ticket" ก็เลยลองเคาะกระจกเบา ๆ เสี่ยงดวงดู ได้ผลครับ อยู่ ๆ ก็มีคุณป้าร่างอ้วนโผล่ออกมาจากข้างหลังเคาท์เตอร์มาขายตั๋วให้ แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยแต่ก็พยายามอธิบายราคาและรอบการแสดงให้โดยละเอียด การแสดงจะมีขึ้นในช่วงบ่ายให้เราแวะมาใหม่อีกที ดังนั้นในช่วงเช้าเราจึงมีเวลาไปนั่งรถเล่นกันก่อนเพื่อเป็นการฆ่าเวลา
สินค้าที่วางเรียงรายตู้กระจกร้านขายของชำ
สภาพความวุ่นวายในรถไฟใต้ดิน
โชว์ชุดเล็ก ๆ เรียกน้ำย่อยก่อนโชว์ชุดใหญ่
ละครสัตว์คณะนี้เป็นคณะเล็ก โชว์ที่แสดงก็เป็นแบบมาตรฐานทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษซับซ้อนมากนัก หลัก ๆ ก็มีกายกรรมต่อตัว การโยนของ โยนห่วง และการแสดงกับสัตว์เช่น สุนัข ม้าหรือแม้กระทั่งสิงห์โต แต่ที่ดูจะถูกอกถูกใจน้อง ๆ หนู ๆ ชาวฮังกาเรียนที่สุดก็คือตลกหน้าม่านหรือโจ๊กเกอร์ครับ ขนาดเราเองซึ่งเลยวัยนั้นมามากแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสนุกสนานไปกับเค้า ช่วงที่สนุกที่สุดก็คือการให้คนดูลงไปแสดงหรือเล่นเกมส์ร่วมกัน ซึ่งเด็กฝรั่งดูจะเต็มใจเล่นและแตกต่างจากเด็กไทยเป็นอันมาก ในเรื่องของการกล้าแสดงออก ดังนั้นโชว์ในวันนี้จึงจบลงได้อย่างสนุกและสมบูรณ์แบบ โดยไม่มีการเคอะเขินอันใดเกิดขึ้น
การแสดงกับสิงห์โตต้องล้อมตาข่ายเพื่อความปลอดภัย ให้สังเกตชั้นลอยด้านหลังที่มีนักดนตรีบรรเลงสดอยู่
โชว์เสร็จตอนบ่ายแก่ ๆ ถึงตอนนี้ฝนซาเม็ดลงแล้วแต่อากาศก็ยังคงหนาวยะเยือกอยู่ มีสถานที่น่าสนใจที่น่าดูแต่พวกเราก็ไม่ได้ไปดู เลยยังทำให้นึกเสียดายอยู่จนถึงทุกวันนี้ สถานที่ที่ว่าก็คือสระน้ำแร่หรือโรงอาบน้ำขนาดใหญ่ของเขานั่นเองครับ ตามริมฝั่งแม่น้ำดานูบมีบ่อน้ำพุร้อนเรียงรายอยู่กว่า 120 แห่ง ที่ดัง ๆ หน่อยก็เช่นโรงอาบน้ำคีลาลี(Kiraly baths),โรงอาบน้ำเกลแลร์ท(Gellert)และโรงอาบน้ำเซเชนนืย(Szechenyi) ผมเคยเห็นผ่าน ๆ จากในหนังสือและทีวี รวมทั้งได้ยินจากปากคำของใครหลายคนว่าสร้างได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก แต่ด้วยสภาพอากาศในวันนี้ที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งหนาวทั้งฝนจนไม่น่าจะมีใครนึกอุตริออกมาแช่น้ำกัน จะให้พวกเราเดินตัวสั่นไปดูแต่สระเปล่า ๆ ก็ใช่ที่ครับ ดังนั้นทริปชมโรงอาบน้ำจึงถูกตัดออกด้วยเหตุผลดังกล่าว
จากรัฐสภาเดินข้ามฝั่งน้ำมายังอีกฟากจะเป็นเนินประสาท ลักษณะเป็นเนินเขาหินปูนสูงชันปานกลาง มีทางเท้าและซอกซอยให้เดินขึ้นได้โดยไม่ลำบากนัก แต่ถ้าคุณเป็นคนขี้เกียจหรือมีเวลาจำกัดเขาก็มีรถรางไว้คอยบริการครับ บนยอดเนินเป็นที่ตั้งของหมู่อาคารพระราชวังในยุคจักรวรรดิ ประวัติศาสตร์ของชาตินี้สับสนอลหม่านพอ ๆ กันกับเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ในภูมิภาค ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนับพันปี ต้องถูกยึดครองโดยต่างชาติและเปลี่ยนมือกันไปหลายครั้งในหลากหลายราชวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพมองโกลในปี คศ.1241 จากนั้นก็ตามมาด้วยการเข้ายึดครองโดยพวกเติร์กในปี คศ.1686
หมู่อาคารบนเนินปราสาท
จากภาวะสงครามหลายครั้งในยุคแห่งความยุ่งเหยิง เมืองส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ โดยเฉพาะหมู่อาคารพระราชวังบนเนินปราสาท ที่ถูกกองทัพเยอรมันทำลายลงจนเกือบหมด แต่ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์ให้ฟื้นคืนดังเดิมในที่สุด และด้วยผลแห่งการทำลายนั้นเอง ที่เปิดโอกาสให้นักโบราณคดีได้สำรวจพื้นที่แถบนี้โดยละเอียด จนนำไปสู่การค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติอีกหลายท่าน
ป้อมชาวประมงยามพลบค่ำ
ท้องฟ้าช่วงต้นฤดูร้อนที่ยุโรปมืดช้าลงไปทุกที คืนนี้ก็อีกเช่นกันที่เราตั้งใจอยู่รอชมความงามของแสงไฟยามค่ำ กว่าฟ้าจะยอมมืดได้ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า และแล้วทั่วทั้งเมืองก็สว่างไสวไปด้วยแสงไฟงามระยับจับตาสมใจคนคอย หลังจากนั้นก็ได้เวลากลับห้องไปพักผ่อนเสียที วันนี้ถือเป็นวันที่คุ้มค่าที่สุดวันหนึ่งครับ ได้รู้ได้เห็นประวัติศาสตร์ที่แสนวุ่นวายของบ้านเขา ผ่านเรื่องเล่าและร่องรอยที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่ตามซอกมุมอันเก่าแก่ แล้วก็อดหวนคิดเป็นห่วงบ้านเราในช่วงเวลานั้นไม่ได้
แล้วคืนนั้นเองที่เราได้รับข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง นั่นก็คือข่าวการเสียชีวิตของเสธ.คนดัง ผู้มีบทบาทสำคัญในการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงขึ้นในเมืองไทยนั่นเอง จริงอยู่ที่เราไม่ควรยินดีในความสูญเสียของใคร แต่ในเวลานั้นก็อดที่จะโล่งใจไม่ได้ ที่อย่างน้อยต้นเหตุของความวุ่นวายก็หมดไปอีกหนึ่ง
เช้าวันต่อมาอากาศอบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข่าวคราวจากเมืองไทยยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายอยู่ หลายฝ่ายต่างกล่าวโทษกันไปมาถึงสาเหตุการตายของเสธ.ผู้นั้น ถึงตอนนี้จะด้วยน้ำมือของฝ่ายใดก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ในเมื่อเขาได้ต่อสู้และคิดว่าตายอย่างสมเกียรติในสมรภูมิที่ตั้งใจก่อ ผิดหรือถูกต่างฝ่ายก็ล้วนทราบกันดีอยู่แก่ใจ ในเมื่อเป้าหมายและอุดมการณ์ของทั้งสองฝ่ายต่างแยกไปคนละทาง และดูท่าว่าคงจะไม่มีวันมาบรรจบพบกันได้อีก
เนินเขาแกลแลร์ทโดดเด่นอยู่ริมฝั่งน้ำ
กุหลาบป่า ต้นตระกูลของกุหลาบสายพันธ์ต่าง ๆ
ถนนหนทางในบูดาเปสต์ใหญ่โตกว้างขางต่างจากเมืองอื่น ๆ การข้ามถนนในทุกทางข้ามทางแยกของที่นี้ใช้วิธีเดินลอดอุโมงค์เอาครับ ซึ่งก็นับว่าสะดวกสบายเอาการอยู่ แต่มันก็เปลี่ยวและน่ากลัวเหมือนกันหากต้องเดินคนเดียวในช่วงมืดค่ำ จากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่มั่นคง อัตราการว่างงานของประเทศนี้น่าจะอยู่ในเกณฑ์สูง โดยสังเกตเอาจากคนเร่รอนจำนวนมากที่เกาะกลุ่มกันอยู่ตามสถานีรถไฟใต้ดิน และชาตินี้คงเป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติที่มีเกณฑ์อายุเฉลี่ย ของพนักงานขายหน้าร้านฟาสต์ฟู้ดจำพวกแม็คโดนัลด์หรือเบอร์เกอร์คิงส์ที่สูงที่สุด ผมเห็นหลาย ๆ คนอายุอานามน่าจะเลยวัยเกษียณไปแล้วเสียอีกครับ เห็นแล้วก็อดที่จะนึกชื่นชมพวกเขาเหล่านั้นอยู่ในใจไม่ได้ ทั้งผู้บริหารกิจการที่มีจิตใจเปิดกว้าง และตัวของพวกเขาเหล่านั้นเองที่ไม่นึกย่อท้อแม้จะมีอายุมากแล้ว
หลังจากซื้อของเสร็จเดินกลับกำลังจะถึงหน้าโรงแรม ก็มีวัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหา หน้าตาท่าทางเหมือนเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป ในกลุ่มเธอมีเด็กพังค์ผู้ชายอีก 3-4 คน ตอนแรกพวกนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาสมทบด้วย แต่พอผมปรายตามองแวบหนึ่งก็เหมือนเขาจะพากันเดินหลบไป เธอถามผมว่าพอจะมีเศษเงินบ้างมั้ย ผมถามเธอต่อว่าจะเอาไปทำอะไร เธอบอกว่าจะเอาไปซื้ออาหารเพราะตัวเธอเป็นเด็กเร่ร่อนหนีออกจากบ้านมา ผมเลยได้ทีย้อนกลับไปว่า หน้าตาท่าทางเธอก็ดูเป็นเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่น่าจะเป็นคนมีปัญหาชีวิตต้องเร่ร่อนกับเขาไปได้ เธอเลยเล่าให้ฟังว่าเด็กเร่ร่อนแบบเธอนี้มีอยู่ทั่วไปในบูดาเปสต์ แล้วก็เล่าตามด้วยเหตุผลอะไรอีกนิดหน่อยซึ่งก็คงจะเป็นเหมือนกันทั้งโลก
ด้วยความเห็นใจผมเลยคิดว่าน่าจะให้เงินเธอไปซักหน่อยตามสมควร แต่ถ้าให้มากเกินไปก็คงจะไม่เป็นการดีนัก เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปกินเหล้ากินยาหรือเปล่า อีกอย่างหากเธอเห็นว่าสามารถเดินขอเงินใครข้างถนนได้ง่าย ๆ อีกหน่อยคงไม่คิดจะทำงานทำการอะไรอีก พอได้เงินแล้วเธอก็กล่าวขอบคุณแล้วเดินจากไป จากนั้นผมก็พลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีเด็กผู้ชายที่มาด้วยกันอีก 3-4 คนอยู่แถวนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะไปดักรอเราอยู่ตรงไหนอีกหรือเปล่า โชคดีโรงแรมอยู่ไม่ไกลมากนัก และพรุ่งนี้เราก็จะออกเดินทางกันแต่เช้า เหตุการณ์แบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้นอีก
อนุเสาวรีย์เสรีภาพบนเนินเขาแกลแลร์ท
ทำไปทำมาบทความท่องเที่ยวของผมชักจะกลายเป็นจดหมายเหตุไปเสียแล้วสิครับ เอาเป็นว่าขอตัดบทจบเรื่องบูดาเปสต์แต่เพียงเท่านี้ก่อน แล้วบทหน้าเรามาว่ากันต่อ ด้วยเรื่องของเมืองแห่งหุบเขาและเสียงดนตรีอย่างซาร์ลสบรูกซ์กันดีกว่านะครับ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น