ทริปที่สองเริ่มต้นจริงจังที่ปรากครับ หลังจากว่างเว้นไปประมาณสองปี และแล้วชีพจรก็ลงเท้าอีกครั้งหนึ่ง เมืองก่อนหน้าที่เราแวะคืออัมสเตอร์ดัมและฮัมบูร์กนั้น ขอไม่นับรวมนะครับเพราะอยู่กันแต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนกันเลย ต่อจากนั้นจึงนั่งรถไฟจากฮัมบูร์ก หยุดแวะเปลี่ยนขบวนที่เบอร์ลินแป๊บนึง แล้วจึงมุ่งหน้าสู่ชายแดนผ่านทางเดรสเดน นับเป็นข่าวที่น่ายินดีเล็ก ๆ สำหรับพวกเรา ที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสำรองที่นั่งใด ๆ เลย สำหรับตั๋วยูเรลฯและการรถไฟในเช็ก
ปราสาทร้างกลางทางสู่ปราก
กลิ่นอายของความเป็นคอมมิวนิสต์ยังคงมีให้เห็นอยู่ราง ๆ ตลอดรายทางจากชายแดนเยอรมันสู่ปราก ไม่ว่าจะเป็นผู้คน,ภาษา,เสื้อผ้าและการแต่งกาย รวมถึงบ้านเมืองก็ดูช่างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด มีโรงงานเก่า ๆ ผุพังซอมซ่อให้เห็นอยู่ทั่วไป อีกทั้งเหมืองถ่านหินและภูเขาที่ถูกทลายลงลูกแล้วลูกเล่า ภาพวิวสองข้างทางยามเมื่อผ่านเข้าเขตสาธารณรัฐเชคนี้ ดูช่างเงียบเหงาหดหู่เหลือเกินครับ และแล้วก็มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบอันแสนเคร่งขรึม เดินขึ้นมาสุ่มตรวจเอกสารบนรถไฟนิดหน่อยพอเป็นพิธี หลังจากนั้นก็เหลือแต่ความเงียบและใจอันลุ้นระทึกหล่ะครับ เพราะเสมือนได้นั่งรถไฟผ่านไปยังอีกโลกหนึ่งซึ่งไม่คุ้นเคย และพวกเราก็ดูเหมือนจะแปลกแยกเข้าไปทุกทีในอดีตดินแดนหลังม่านเหล็กแห่งนี้
สะพานเหล็กข้ามแม่น้ำ ดูมีกลิ่นอายของคอมมิวนิสต์อยู่เต็มเปี่ยม
ภาพที่ปรากฏเหมือนจะพาเราย้อนสู่อดีตอันไกลโพ้น สู่บ้านเมืองในยุคก่อนเก่า ที่มีปราสาทใหญ่หลังคายอดแหลมตั้งเด่นอยู่บนเนินเขา ห้อมล้อมด้วยหมู่อาคารบริวารที่ลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้น ๆ ดูจะเป็นธรรมเนียมนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วหล่ะครับ ที่บ้านเมืองในยุโรปมักจะตั้งอยู่บนเนินเขา ทั้งด้วยเหตุผลด้านการปกครองและความมั่นคง อีกทั้งเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูในยามสงคราม โดยมีวังพร้อมป้อมปราการและโบสถ์วิหารอยู่บนส่วนยอดสุด จากนั้นจึงลดหลั่นกันลงมาด้วยอาคารสำนักงานและบ้านเรือน พอนานวันเข้าเมื่อตัวเมืองแผ่ขยายออกไป จึงทำให้ดูเหมือนกับว่า บ้านเมืองเหล่านี้ตั้งอยู่บนเขาเป็นลูก ๆ และมีหลายเมืองที่กินอาณาบริเวณครอบคลุมเนินเขาไปอีกหลายลูก ซึ่งปรากก็เป็นหนึ่งในเมืองเหล่านั้นครับ
ปราก เมืองแห่งปราสาทร้อยยอด
บ้านแถบชานเมืองในวันฝนพรำ
สายฝนเหมือนจะตามเราไปทุกที่ มันก็ช่างเป็นเหตุบังเอิญเสียเหลือเกินนะครับ ที่พวกเราเลือกมาได้จังหว่ะเหมาะอะไรอย่างนี้ เริ่มต้นด้วยภูเขาไฟระเบิดในไอซ์แลนด์ ที่ทำเอาเราเกือบต้องยกเลิกทริปอย่างไม่มีกำหนด แต่พอมาถึงแล้วก็ดันเจอฝนหลงฤดูขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับเถ้าภูเขาไฟหรือเปล่านะครับ แต่ยังไงเสียเมื่อได้มาเที่ยวปาร์คกันทั้งที เขาบอกว่าก็ต้องเที่ยวในวันฟ้าหม่นฝนพรำนี่่หล่ะครับถึงจะได้อารมณ์ แต่ก็อย่างว่า ถ้าฝนตกอย่างเดียวโดยไม่หนีบเอาความเหน็บหนาวจนเข้ากระดูกมาด้วยหล่ะก็ การกางร่มเดินเที่ยวปาร์กคงจะโรแมนติคกว่านี้เป็นไหน ๆ
ลงจากรถได้ก็รีบวิ่งไปถามทางไปโรงแรมก่อนเป็นอันดับแรก เจ้าหน้าที่เขาก็ดีใจหายมาบอกให้เราเดินไป เห็นเขาบอกว่าย่านที่เราพักคือจตุรัสแวนเซสสลาส(Wenceslas Square) ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีเท่าไหร่ ในเมื่อเขาบอกให้เดินเราก็เดินกันหล่ะครับ จะฝนจะหนาวแค่ไหนเราก็(ยัง)ไม่ท้อ ขอเพียงแต่ได้เที่ยวให้สนุกและประหยัดหล่ะเป็นใช้ได้
แต่การณ์กลับไม่เป็นไปดังคาด เหตุเพราะย่านที่เราเลือกไปพักนั้นค่อนข้างกว้างใหญ่เหลือเกิน แล้วโรงแรมก็ดันไปตั้งอยู่ที่สุดปลายขอบอีกฟากหนึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือของชายหนุ่มชาวปาร์คผู้แสนดี ในที่สุดพวกเราก็ถ่อสังขารไปถึงที่พักจนได้ หลังจากนั้นจึงจัดการเปิดกระเป๋า เอาเสื้อผ้าและสัมภาระที่เปียกชื้นออกผึ่งลม พลางก็นึกแช่งพนักงานขายกระเป๋าที่เมืองไทยอยู่ในใจ ก็ไหนตอนซื้อพี่แกบอกว่ากันน้ำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หล่ะครับเนี่ย
โคนต้นไม้ประดับด้วยตะแกรงเหล็กหล่อสวยงาม
จุดชมวิวเมืองปรากจากเนินปราสาท
บ้านเมืองบนเนินเขา
วันนี้ฝนตกพรำ ๆ ทั้งวัน อากาศหนาวเสียจนต้องกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อ โชคดีที่ยืมเสื้อกันหนาวมาตัวนึงจากอัมสเตอร์ดัม ไม่งั้นคงต้องหนาวตายอยู่ที่นี่แน่ ๆ เพราะแจ็คเก็ตตัวเก่งที่หนีบไปจากเมืองไทยตั้งสองตัวนั้น ขนาดว่าใส่ซ้อนสองสามชั้นแล้ว ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เลยหล่ะครับ
แล้วจึงพากันนั่งรถรางไต่ขึ้นเขาไปเที่ยวบนปราสาทฮราดคานี(Hradcany Castle) ซึ่งก็คืออีกชื่อหนึ่งของปราสาทปรากนั่นเองครับ ปราสาทแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นปราสาทที่เก่าแก่แล้วก็ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในบริเวณเดียวกันนี้เป็นที่ตั้งของพระราชวังเดิม ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสำนักงานและที่ทำการของรัฐบาล มีพิพิธภัณฑ์แล้วก็มหาวิหารเซนต์วีตุส(St.Vitus's Cathedral) พวกเราเลือกเข้าชมแต่มหาวิหารเพราะเขาเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรี ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค แต่ก็มีการผสมผสานกันระหว่างศิลปต่างยุคสมัย นั่นก็เป็นเพราะเข้าใช้เวลาในการก่อสร้างนานร่วมหกร้อยกว่าปีนั่นเองครับ(การก่อสร้างต้องหยุดชะงักไปหลายครั้งเพราะการกบฏ,เพลิงไหม้ แล้วก็สงคราม) ขณะที่กำลังเดินดูความสวยงามของอาณาบริเวณโดยรอบนั่นเอง ฉับพลันก็มีหญิงสาวเอเชียรูปร่างอวบอั๋นนางหนึ่ง ปีนขึ้นไปยืนโพสต์ท่าระทดระทวยอยู่บนขอบผนังตึก ทำตัวราวกับว่าเป็นนางแบบนิตยสารดังระดับโลกก็ไม่ปาน พอถ่ายเสร็จเธอก็วิ่งกลับลงมาแล้วถามเพื่อนคนที่ถ่ายให้ว่า "ได้มั้ย ๆ" เสร็จแล้วก็หัวเราะร่วนเสียงดังชอบใจใหญ่ วินาทีนั้นพวกเรารู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีกันเลยหล่ะครับ ผู้หญิงไทยสมัยนี้ "แรงส์" อย่างไม่รู้จักกาลเทศะจริง ๆ
หน้าจั่วมหาวิหารเซนต์วีตุส
กระจกสีประดับหน้าต่างมหาวิหาร
ปาร์คมีวิธีการทำโทษที่ออกจะขึ้นชื่อในความป่าเถื่อนอยู่สักหน่อย นั่นคือการจับคนโยนออกมาจากหน้าต่างทั้งเป็น(หรือที่บ้านเราเรียกว่าการโยนบกนั่นเองครับ) โดยส่วนใหญ่ก็มักจะไม่เหลือชีวิตรอดกลับมาเล่าประสพการณ์ให้ใครฟังได้หรอกครับ แต่เห็นว่ามีอยู่เคสหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหารย์ เพราะว่าพี่แกดันตกไปใส่กองสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นที่สุมกันอยู่ตรงฐานปราสาท แต่คาดว่าหลังจากที่ได้โยนพลาดไปคราวนั้น บรรดาเหล่าผู้โยนคงจะรู้จักเลือกเล็งจุดตกกระแทกกันได้ดีขึ้นหล่ะครับ
ภายในและภายนอกของมหาวิหารเซนต์วีตุส
จากบนปราสาทมีเส้นทางเดินเชื่อมต่อไปยังสะพานพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 (Charles IV Bridge) สะพานหินแห่งนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างหนึ่งคือ ตรงราวสะพานทั้งสองข้างประดับเรียงรายไปด้วยงานปฏิมากรรมรูปนักบุญขนาดใหญ่กว่า 30 รูป น่าเสียดายที่เขาปิดปรับปรุงไปเสียครึ่งซีก แต่กระนั้นก็ยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนจนแน่นขนัด เรียกได้ว่าต้องแย่งกันเดินแย่งกันถ่ายรูปเลยหล่ะครับ
ปรากเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองที่สามารถพบเจอนักท่องเที่ยวชาวไทยได้ทั่วไป และบนสะพานแห่งนี้เองเราก็ได้พบเห็นเพื่อนร่วมชาติอยู่เป็นระยะ ซึ่งก็พอจะทำให้หายเหงาไปได้บ้างนิดหน่อยครับ
ทางเดินจากปราสาทสู่ตัวเมืองด้านล่าง
ป้อมดินหรือ Powder Tower
เก่าและใหม่อยู่ด้วยกันอย่างไม่ขัดเขิน
ปราสาทปรากและสะพานพระเจ้าชาร์ลส์ที่สี่
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของปรากก็คือป้อมหรือหอคอยสูงที่มีลักษณะเฉพาะ เวลามองดูแล้วให้ความรู้สึกขนลุกเหมือนกับปราสาทท่านเคาท์แดร็คคูลาร์ เราสามารถพบป้อมที่ว่าได้ตรงหัวสะพานนี่เองครับในทั้งสองฝั่ง แล้วถ้าเดินต่อไปตามป้ายอีกหน่อยก็จะเจอป้อมลักษณะคล้าย ๆ กันอีกแห่ง เรียกว่าป้อมดินปืนหรือ "Powder Tower" ที่เรียกชื่ออย่างนี้ก็เพราะเขาเอาไว้เก็บดินปืนในสมัยโบราณนั่นเองครับ
กลิ่นอายจากยุคคอมมิวนิสต์ ที่ปัจจุบันมีไว้แค่โชว์นักท่องเที่ยวเท่านั้น
บริเวณใกล้ ๆ กันยังเป็นจตุรัสใหญ่เรียกว่าจตุรัสกลาง อันเป็นที่ตั้งของโบสถ์ติน (Tyn Church) และหอนาฬิกาดาราศาสตร์ ที่เวลาแขกไปใครมาเป็นต้องแวะมาเยี่ยมชมให้ได้ นาฬิกาที่ว่าเป็นนาฬิกาขนาดยักษ์ซึ่งติดตั้งอยู่บนศาลาว่าการเก่า เรื่องเวลาหรือสัญลักษณ์บนหน้าปัดนั้นดูกันไม่รู้เรื่องหรอกครับ แต่ไฮไลต์อยู่ที่ทุกครั้งที่เจ้านาฬิกานี่ตีบอกเวลา บรรดาตุ๊กตุ่นตุ๊กตาต่าง ๆ ที่ประดับอยู่โดยรอบหน้าปัด ก็จะพากันเคลื่อนไหวอย่างกับมีชีวิต มีทั้งบาทหลวง โครงกระดูก แขกมัวร์และพวกเติร์ก ส่วนโบสถ์ตินนั้นจะโดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรม ที่กล่าวกันว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะและดั้งเดิมของที่นี่ โดยยังปราศจากการเจือปนของอิทธิพลในเชิงสถาปัตยกรรมจากยุโรปภูมิภาคอื่น
นาฬิกาดาราศาสตร์
โบสถ์ติน
จตุรัสกลาง
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของบ้านเรือนที่นี่ก็คือ ในสมัยก่อนเขาจะไม่มีบ้านเลขที่กันครับ ดังนั้นแต่ละหลังจึงใช้วิธีคิดสัญลักษณ์ประดับหน้าบ้านไว้ เวลามีการส่งของหรือเอกสารเขาก็จะใช้วิธีจ่าหน้าโดยดูจากสัญลักษณ์ที่หน้าบ้านแทน สัญลักษณ์ก็จะมีทั้งคน สัตว์ สิ่งของ ก็ตามแต่จะคิดได้ครับ แต่ว่าห้ามซ้ำกันเด็ดขาดนะครับ ไม่งั้นคนส่งเป็นงงตายแน่
สินค้าที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือโกเมนแล้วก็คริสตัล น่าเสียดายที่พวกเราไม่ใช่ขาช็อปจึงไม่สามารถให้ข้อมูลในด้านนี้ได้ แต่ก็รู้เพียงคร่าว ๆ ว่าเขามีเหมืองโกเมนคุณภาพดีที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ แล้วก็ยังมีงานคริสตัลโบฮิเมียนคุณภาพสูงแข่งกันกับของออสเตรีย แต่ทางออสเตรียดูจะทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ แล้วก็มีแบรนด์ที่มีการประชาสัมพันธ์ไปได้กว้างไกลกว่า ซึ่งแบรนด์ที่ว่าก็คือ "ชวาร์ลอฟสกี้" ไงครับ เอาเป็นว่าขอยกยอดไปพูดถึงอีกทีในบทหน้า ที่ว่าด้วยเรื่องของออสเตรียนะครับ
เครื่องแก้วโบฮิเมียน
เมื่อเดินจากสะพานสู่จตุรัสกลางแล้วเลยต่อมาอีกนิดหนึ่ง ก็จะมาถึงเวนเซสสลาสสแควร์ ตรงนี้นี่เองที่พวกเราเดินหลงหาห้องพักกันตั้งนานเมื่อวานนี้ ไป ๆ มา ๆ ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันจริง ๆ ด้วย จตุรัสแห่งนี้ถือเป็นย่านหัวใจหลักของปาร์คเลยก็ว่าได้ครับ เป็นถนนใหญ่พอ ๆ กับชอมเซลิเซ่ต์ของปารีส สองข้างทางเต็มไปด้วยภัตตาคารและร้านค้าใหญ่โตหรูหรา รวมถึงของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว แล้วในซอกเล็กซอยน้อยบริเวณหัวถนนก็ยังอุดมไปด้วยไนต์คลับเสียด้วยสิครับ
ฝากเตือนบรรดาชายหนุ่มที่ไปเที่ยวปรากนิดนึงนะครับว่า ถ้าเกิดมีหญิงสาวหน้าตาดีมาทำทีตีสนิท แล้วทำชักชวนไปเที่ยวไหนต่อกันสองต่อสองแล้วหล่ะก็ เป็นต้องระวังตัวกันไว้ให้หนักเลยนะครับ เพราะที่ปรากจะขึ้นชื่อมากเรื่องแกงค์มาเฟีย โดยพวกนี้จะมีผู้หญิงสวย ๆ เป็นนางนกต่อไว้ล่อผู้ชาย(โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว) หลังจากนั้นจึงชวนไปเที่ยวในสถานบริการ ที่พวกมาเฟียเหล่านี้เป็นเจ้าของหรือควบคุมอยู่ วิธีการก็มีทั้งหลอกล่อให้ผู้ชายจ่ายเงินเลี้ยงอาหารหรือเครื่องดื่ม ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็จะบวกเพิ่มจนแพงมหาโหด แล้วเมื่อเหยื่อผู้หลงกลบางคนไม่มีปัญญาจ่าย พวกนี้ก็จะจัดการข่มขู่กรรโชกทรัพย์เอาได้ง่าย ๆ เลยหล่ะครับ
การล่องเรือชมวิวในแม่น้ำวัลตาวา (Vltava)
ผู้ชายปรากหน้าตาประมาณนี้ครับ
เราพักที่ปาร์กสามคืนเต็ม ๆ วันนี้ทั้งวันจึงเดินเที่ยวเมืองเสียฉ่ำใจ แต่พรุ่งนี้มีแพลนว่าจะชวนกันนั่งรถไฟย้อนกลับเข้าไปเยอรมันเสียหน่อย จุดหมายปลายทางคือเดรสเดน เมืองเอกเมืองหนึ่งของเยอรมันตรงชายแดนนั่นเองครับ จากปาร์กนั่งรถไฟไปประมาณสองชั่วโมงกว่า วัตถุประสงค์ของเราในวันพรุ่งนี้คือไปดูเพชรกันครับ ฟังดูดีขึ้นมาเชียวใช่มั้ยหล่ะครับ ราวกับว่าพวกเราหอบเงินมากันเป็นฟ่อนเพื่อไปซื้อเพชรกัน แต่เปล่าหรอกครับแค่จะไปดูเฉย ๆ เพชรที่ว่านั้นต่อให้เกิดมาอีกกี่ร้อยชาติก็ไม่มีปัญญาซื้อ เพราะมันคือ The Green Dresden เพชรสีเขียวเม็ดใหญ่ที่แสนโด่งดังไงครับ เอาเป็นว่าบทหน้าเรามาว่ากันต่อด้วยเดรสเดนและ The Green Dresden ของมันกันนะครับ
อ่านเพลิน ได้ความรู้ ภาพสวย.....
ตอบลบขอบคุณ บก.ทิพย์มณีมากครับ
ตอบลบ