วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ซาลซบวร์ก... Salzburg, Austria


       ในบรรดารถไฟของหลาย ๆ ประเทศในยุโรปที่เคยนั่งมา ก็มีของออสเตรียนี่แหล่ะครับที่ดีเลย์บ่อยที่สุด จะพูดว่าบ่อยเฉย ๆ ก็คงจะไม่ได้สิ เพราะพี่แกดีเลย์ทุกเที่ยว เที่ยวละไม่ต่ำกว่า 15 -30 นาทีซะด้วยซ้ำ น่าแปลกที่คนเชื้อชาติเดียวกันพูดภาษาเดียวกันอย่างเยอรมันและออสเตรีย จะมีมาตรฐานการทำงานที่ต่างกันมากขนาดนี้ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่ารถไฟเยอรมันตรงเวลาและเป๊ะทุกรายละเอียด ถึงขนาดที่ว่าผู้โดยสารสามารถรู้จุดขึ้นรถได้เลยว่าตู้โบกี้ของตนจะจอดเทียบตรงเสาต้นไหน แต่ของออสเตรียไม่เป็นอย่างนั้นครับ ผู้โดยสารต้องรอให้รถจอดเทียบก่อน แล้วค่อยนับหมายเลขโบกี้ไปจนกว่าจะเจอแล้วถึงค่อยขึ้น คงเพราะด้วยเหตุนี้กระมังครับ ที่ทำให้การจอดรับผู้โดยสารในแต่ละสถานีค่อนข้างช้า แล้วมันก็เลยดีเลย์สะสมไปจุดละนิดละหน่อย กว่าจะไปถึงปลายทางได้ก็เลยทำให้ช้าไปเป็นชั่วโมง
       นั่งรถไฟออกจากบูดาเปสต์ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงก็มาถึงเวียนนา รถจอดแวะรับผู้โดยสารที่สถานีหลัก 2-3 แห่ง แล้วจึงออกวิ่งต่อไปยังซาลซบวร์กอันเป็นจุดหมายถัดไปของเรา ขณะที่รถกำลังวิ่งผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยรายทางไปได้ซัก 4-5 เมือง พลันก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นมาทำนองว่าเกิดการขึ้นรถผิดขบวนกันขึ้น ต้นเสียงเป็นหญิงสาวผมบลอนด์หน้าตาสะสวยคนหนึ่ง เธอเที่ยวไล่ไปถามใคร ๆ ว่ารถคันนี้ไม่ได้กำลังจะแล่นไปยังบูดาเปสต์หรอกหรือ เมื่อได้คำตอบจนสาสมแก่ใจว่า "ไม่ใช่" เธอเลยวิ่งแจ้นไปถามนายตั๋วว่าจะต้องไปลงรถเปลี่ยนขบวนที่สถานีไหน ฟังดูก็น่าสงสารเธอนะครับ ต้องเสียเวลานั่งรถย้อนกลับไป แถมไม่พอยังอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาอีก ถ้าใช้ตั๋วยูเรลพาสต์ก็สบายไป แต่ถ้าไม่ใช่ก็คงต้องคุยกันยาว

     
       ซาลซบวร์กเป็นเมืองสวยตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา แต่ในช่วงพี่พวกเราไปอากาศแย่จัด ฟ้าปิดจนมองไม่เห็นภูเขาซักลูก และที่โชคร้ายยิ่งกว่าก็คือเรื่องที่พัก ที่บังเอิญดันเลือกโรงแรมที่อยู่นอกเมืองไปหน่อย จะว่าหน่อยก็คงจะไม่ถูกเสียแล้ว เพราะอยู่ตกขอบเลยออกไปนอกแผนที่เลยทีเดียว
       มีเรื่องแปลกอยู่อย่างเกี่ยวกับการถามทางในยุโรป หากเราเห็นใครเดินท่อม ๆ อยู่ข้างทาง พอเข้าไปถามมักจะได้คำตอบเหมือน ๆ กันว่าไม่รู้จักสถานที่นั้น บ้างก็ว่าไม่ใช่คนแถวนี้ หรือบางทีก็แกล้งเดินหนีไปเฉย ๆ เหมือนไม่อยากคุย หลายครั้งจึงต้องอาศัยโชคช่วย และครั้งนี้ก็อีกเช่นกันครับ หลังจากถามใครที่ผ่านไปผ่านมาอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็เจอผู้นำทางจนได้ เธอคนนี้กำลังจะเดินไปทำงานยังโรงแรมที่เราพักอยู่พอดี ดังนั้นจึงไม่ต้องเสียเวลาอธิบายทางให้มากความ เธอบอกให้พวกเราเดินตามไปเลย พอบทจะง่ายก็ง่ายเสียจนคาดไม่ถึงเลยหล่ะครับ
       ตัวเมืองซาลซบวร์กตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำซาลซัค ในอดีตเมืองนี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ด้วยแหล่งแร่ เกลือ ทอง และทองแดง ถึงจะดูเล็กแต่ก็เป็นความเล็กที่ลวงตาครับ หลังจากเก็บของเข้าที่พักเสร็จ คิดกันว่ายังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าฟ้าจะมืด(ยุโรปในหน้าร้อนฟ้ามืดช้ากว่าบ้านเรามาก) สองคนเลยพากันออกไปเดินเล่น แต่เดินไปเดินมาเหมือนหลงทิศ ไอ้ที่ว่าใกล้กลับไปไม่ถึงซักที สุดท้ายเลยต้องยอมจำนนเดินกลับห้องมานอนแต่โดยดี

เขตเมืองเก่าริมฝั่งแม่น้ำซาลซัค

       เช้าวันที่สองฝนหยุดตกแล้วแต่ฟ้ายังปิดอยู่ วันนี้เราจะซื้อตั๋วรถประจำทางใช้กันแล้วหล่ะครับ เหตุผลที่ต้องรอซื้อวันนี้ก็เพื่อความประหยัดนั่นเอง จากหน้าโรงแรมเราขึ้นรถบัสไปลงยังศูนย์กลางของเขตเมืองเก่า ที่ถึงแม้จะเล็กแต่ก็มีรถบัสบริการครอบคลุมทุกเส้นทางอย่างทั่วถึง ไฮไลต์ของเมืองอยู่ที่ปราสาทโฮเฮนซาลซบวร์ก(Hohensalzburg) ซึ่งเป็นหมู่อาคารสีขาวตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง ปราสาทแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองในยุคเก่า เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและศูนย์บัญชาการของเจ้าเมืองหรืออาร์คบิชอป ดูจากตำแหน่งแล้วน่าจะเป็นพวกนักบวชเสียมากกว่านะครับ เพราะตามบรรทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของชนชั้นปกครองเมืองนี้ มีการแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจกันอยู่เสมอระหว่างศาสนจักรและจักรวรรดิ ซึ่งก็น่าเหนื่อยใจแทนชาวเมืองอยู่เหมือนกันนะครับ ที่ทั้งนักบวชและกษัตริย์ต่างแย่งชิงอำนาจกันไปมาจนชาวบ้านตาดำ ๆ ต้องลำบาก


ทางเดินเท้าขึ้นไปบนปราสาท

       ปราสาทยุคกลางแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดย่อมที่โอบล้อมด้วยตัวเมืองรอบด้าน ภาพลักษณ์ภายนอกของมันดูชวนฝันเหมือนในการ์ตูนของวอลล์ดิสนีย์ การขึ้นไปเที่ยวชมทำได้สองทางคือเดินเท้าและรถรางครับ แต่ถ้าหากว่ามีแรงและเวลา ขอแนะนำให้เดินขึ้นไปจะเป็นการดีกว่า เพราะนอกจากจะได้ชมวิวเมืองจากข้างบนกันจนอิ่มใจแล้ว เรายังจะได้ออกกำลังกายแก้หนาวกันเป็นของแถมด้วยหล่ะครับ
       ลักษณะเป็นหมู่อาคารล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูง ป้อมปราการ และหอรบ ภายในจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์หลายห้อง จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และการเป็นอยู่ของชนชั้นปกครองในสมัยก่อน รวมไปถึงคอลเล็คชั่นอาวุธและชุดเกราะ แล้วก็ยังมีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามกับแคว้นใกล้เคียง

ลานกว้างภายในปราสาทดูเหมือนเมืองเล็ก ๆ อีกเมืองหนึ่ง

       มีอยู่ห้องหนึ่งที่น่าสนใจแต่ก็ชวนหดหู่อยู่ในที เพราะโบราณวัตถุที่จัดแสดงอยู่ภายใน ได้เผยให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ในด้านมืดของเมืองอันแสนงดงามแห่งนี้ ห้องที่ว่าก็คือห้องที่จัดแสดงอุปกรณ์ทรมานนักโทษในสมัยก่อนครับ  แต่ละชิ้นดูน่ากลัวและโหดร้ายทารุณเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะสรรหากันทำขึ้นมาได้ ผมใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ได้ไม่นานนัก เพราะมองไปทางไหนก็ให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่ากี่ชีวิตแล้วที่ต้องสังเวยให้กับมัน ไม่ว่าจะเป็นตู้ใบใหญ่หน้าตาน่ากลัวที่มีเหล็กแหลมยาวเฟื้อยอยู่เต็มข้างใน เก้าอี้หนาม โซ่เหล็กและลวดหนาม อุปกรณ์ตอกเล็บมือเล็บเท้า ตลอดจนกรงครอบขื่อคาสำหรับสวมหัวสวมตัวนักโทษไปแห่ประจาน

เครื่องทรมานชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับถ่างปาก ทวารหนัก หรืออวัยวะเพศของผู้หญิง

       แล้วก็ยังมีกางเกงในเหล็กสำหรับกันชู้ ที่คนสมัยนี้เห็นเข้าคงหัวเราะกันคิกคักด้วยความขำ แต่ก็คงจะขำไม่ออกแน่หากต้องโดนบังคับให้ใส่มัน วัตถุประสงค์ของการจัดทำสิ่งนี้ขึ้นมาใช้ก็คือ ในสมัยก่อนพวกขุนนางเขาต้องไปทำศึกสงครามกันนานเป็นแรมปี เลยต้องมีกางเกงในหรือเข็มขัดอันนี้ให้ภรรยาใส่เพื่อกันหล่อนนอกใจนั่นเองครับ แล้วผู้เป็นสามีก็จะเป็นคนเก็บลูกกุญแจไว้ แต่ถ้าเกิดพลาดท่าเสียทีตายไปในระหว่างสงคราม คนที่ซวยที่สุดก็น่าจะเป็นภรรยานั่นเอง หวังว่าช่างทำกุญแจในสมัยก่อนคงจะสะเดาะล็อคให้เธอได้นะครับ


       ที่ด้านหลังของปราสาทมองลงไปเบื้องล่าง เห็นเป็นที่แปลงใหญ่ขนาดนับร้อยไร่ แต่ตรงกลางที่แปลงนั้นกลับมีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างเดียวดาย เขาบอกว่าบ้านหลังนั้นคือบ้านของเพชฒฆาตนั่นเองครับ  ดูจากทางเดินเข้าบ้านในแต่ละด้านแล้วยาวไกลหลายร้อยเมตร แต่พื้นที่รอบด้านกลับเปิดโล่งเหมือนจงใจ ให้คนที่เดินผ่านไปมาได้มองเห็นอย่างถนัดถนี่ นี่อาจจะเป็นกุศโลบายของการปกครองในยุคเก่านะครับ ที่จงใจให้บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในที่โล่งที่ใคร ๆ ก็มองเห็นได้ แต่ในขณะเดียวกันก็รักษาระยะห่างให้ดูลึกลับและน่ากลัวที่สุด เหมือนจะเป็นการเตือนสติใครต่อใครให้รู้สึกขยาดไปในที ว่าความตายที่เจ้าของบ้านหลังนี้จะมอบให้แก่ใครบางคนนั้น คือสิ่งที่ชาวเมืองควรจะรู้และรับทราบว่ามันจะมาจากสาเหตุอันใดบ้าง ฉนั้นในทางที่ดีก็ควรจะอยู่ให้ห่าง และอย่าได้คิดข้องแวะกับมันจะเป็นการดีที่สุด


บ้านของเพชฒฆาติที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางทุ่งโล่งดานหลังปราสาท

       หลังจากชมภายในปราสาทจนทั่วแล้ว เราจึงพากันลงมาเที่ยวตัวเมืองด้านล่างกันต่อ ที่ใจกลางเมืองมีจตุรัสและสวนสวยหลายแห่ง แต่สวนที่สวยที่สุดและใหญ่ที่สุดอยู่ที่วังมิราเบล(Mirabell Palace) เพราะจากในสวนสามารถมองเห็นวิวของปราสาทบนเขาได้เต็มตา วังและสวนสวยแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานวิวาห์อยู่บ่อยครั้ง เพราะในปัจจุบันอาคารหลังนี้ถูกใช้เป็นสถานที่จดทะเบียนสมรสกันนั่นเองครับ
       เมืองนี้เป็นบ้านเกิดของศิลปินเอกอย่างโมสาร์ทก็จริง(โยฮันเนส ครือซอสโตมุส โวล์ฟกัง กอทท์ลีบ โมสาร์ท) แต่เจ้าตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มใด ๆ กับดินแดนมาตุภูมิแห่งนี้แม้แต่น้อย นั่นก็เพราะชีวิตในวัยเด็กของเขาที่นี่ค่อนข้างลำบาก เมื่ออาร์คบิชอปคนเดิมผู้ให้การสนับสนุนเสียชีวิตลง อาร์คบิชอปคนใหม่ก็ไม่ได้เหลียวแลเขาอีก แถมชาวเมืองยังผลักไสไล่ส่ง ไม่มีใครแม้ซักคนที่จะชื่นชมผลงานดนตรีของเขา ดังนั้นเขาจึงย้ายไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เวียนนา แต่สุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลงอย่างยากไร้ด้วยวัยเพียงแค่สามสิบต้น ๆ เท่านั้น

จากสวนของวังมิราเบลสามารถมองเห็นปราสาทบนเขาได้อย่างเต็มตา

       เช่นเดียวกับซาลซบวร์ก เมื่อผ่านยุครุ่งเรืองของการทำเหมืองเกลือและสินแร่ ถึงที่สุดเมื่อทรัพยากรถูกผลาญไปจนหมดแล้ว บ้านเมืองก็ถูกทิ้งให้ถดถอยซบเซาอยู่นานนับศตวรรษ และผู้ที่มาจุมพิตปลุกเจ้าหญิงนิทราให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือวิญญาณอมตะของโมสาร์ทนั่นเองครับ
       หลังจากผ่านยุคแห่งความซบเซาอันยาวนาน ได้มีการปลุกกระแสการท่องเที่ยวขึ้นอีกครั้ง ในฐานะบ้านเกิดเมืองนอนของคีตกวีเอกชื่อก้องโลกอย่างโมสาร์ท ซึ่งเรื่องนี้หากเจ้าตัวได้ยินเข้าคงจะแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าเมืองแห่งนี้ที่ครั้งหนึ่งไม่เคยแม้แต่จะคิดเหลียวแลเขา มาถึงวันนี้กลับตั้งหน้าตั้งตาหากินอยู่กับชื่อเสียงของเขาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ว่าจะเป็นชื่อถนนหรือตรอกซอกซอยป้ายร้านไปจนถึงของที่ระลึก ต่างก็ใช้ชื่อและรูปของเขาไปทำเป็นสัญลักษณ์กันอย่างเอิกเกริก


วิวของปราสาทมองจากจตุรัสกลางเมือง

       แล้วก็ยังมีภาพยนต์เพลงอีกเรื่องหนึ่งที่ดังเกรียวกราวมากในอดีต นั่นก็คือเรื่อง The Sound of Music ไงครับ ภาพยนต์ฮอลลีวูดเรื่องนี้ใช้เมืองซาลซบวร์กเป็นฉากหลังในการถ่ายทำเกือบทั้งเรื่อง  พอหนังประสพความสำเร็จดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมา ก็เลยช่วยโหมกระแสการท่องเที่ยวของเมืองให้กระเตื้องขึ้นตามไปด้วย โดยส่วนตัวผมแล้วเกิดไม่ทันยุคหนังเพลงครับ เคยคิดจะไปหาเช่าซีดีมาดูหลายครั้งแต่ก็ไม่สบโอกาสเสียที เห็นเขาบอกว่าเป็นหนังที่ดีมาก มีบทเพลงไพเราะคอยขับขานไปโดยตลอด และที่สำคัญฉากหลังในท้องเรื่อง ก็คือภาพวิวทิวทัศน์อันสุดแสนตระการตาของซาลซบวร์กนั่นเองครับ
       สำหรับคนที่เคยมีโอกาสได้ขึ้นรถรางหรือรถโดยสารประจำทางในยุโรป คงจะมีบ้างที่อาจจะเคยนึกอุตริแอบขึ้นฟรี เพราะรถประจำทางบ้านเค้าไม่ได้มีกระเป๋าหรือกระปี๋หน้าตาดุ มาคอยเดินตรวจตั๋วหรือขายตั๋วแบบบ้านเรา ส่วนใหญ่ใช้วิธีซื้อตั๋วจากเครื่องหรือร้านค้า แล้วถือเดินขึ้นมาประทับตราเองบนรถแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นจะเดินขึ้นเดินลงซักกี่ครั้งก็ไม่มีใครว่า ก็จนกว่าตั๋วที่ถืออยู่จะหมดอายุลงนั่นเองครับ ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องอาศัยความซื่อสัตย์ล้วน ๆ ผมเองยังเคยแอบคิดในใจ ว่าถ้าเราทำตัวเนียนขึ้นรถฟรีซักครั้งสองครั้งคงไม่มีใครรู้ แต่แล้วก็เกิดเรื่องให้ต้องเปลี่ยนใจ

สวนสาธารณะใจกลางเมือง

       อยู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้าเดินเข้ามาถามขอดูตั๋วของพวกเราครับ โชคดีที่เราพกไว้กับตัวตลอด พอดูของเราเสร็จแกก็เดินไปตรวจของคนอื่นต่อ แล้วโชคร้ายก็ตกเป็นของวัยรุ่นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าไม่ได้ซื้อหรือทำหายนะครับ เห็นยืนทำหน้าจ๋อยโดนซักประวัติอยู่นานทีเดียว
       เล่นเอาตกอกตกใจกันเลยนะครับ ที่อยู่ ๆ ก็เกิดการสุ่มตรวจกันขึ้น แถมยังเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบปลอมปนมากับผู้โดยสารเสียอีก ลองใช้มุกนี้แล้วหล่ะก็คงจะไม่มีใครหน้าไหนกล้าแอบขึ้นฟรีกันอีก ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีมาตรการลงโทษผู้โดยสารประเภทนี้กันเด็ดขาดแค่ไหนนะครับ แต่คงจะไม่ถึงขนาดต้องใช้เครื่องทรมานอย่างยุคก่อน สำหรับผมแล้วแค่การโดนจับได้คาหนังคาเขาต่อหน้าธารกำนัล ก็ถือเป็นการประนามกลาย ๆ ให้ได้อายจนแทรบแทรกแผ่นดินหนีกันเลยหล่ะครับ ไหนเรื่องจะไปถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องอีก เรียกได้ว่าถ้ารู้ไปถึงไหนก็อายไปถึงนั่นเลยหล่ะครับ

หมู่อาคารสมัยใหม่ถูกจัดพื้นที่ให้อยู่นอกเขตเมืองเก่าออกไป

       หลังจากเดินดูนั่นดูนี่ในเมืองจนไม่รู้จะไปไหนต่อแล้ว พวกเราเลยลองนั่งรถบัสกันไปเรื่อยเปื่อยดูครับว่าจะไปสุดสายที่ไหน แล้วรถก็พาเราลอดผ่านอุโมงค์ใต้ปราสาทออกมานอกเขตเมืองเก่า มายังย่านที่อยู่อาศัยแถบชานเมือง อาคารร้านค้าสองข้างทางที่ดูหนาตา เริ่มแปรเปลี่ยนแทนที่ด้วยบ้านหลังเล็กหลังน้อย ถนนหนทางก็ดูจะเล็กลงแคบลงไปทุกที แต่รถบัสคันใหญ่ยักษ์ก็ยังแล่นไปได้อยู่เรื่อย ๆ แถมแต่ละป้ายที่จอดก็มีแต่คนขึ้นจนผู้โดยสารเริ่มเบียดกันแน่น เลยยิ่งทำให้พวกเรารู้สึกฉงนสนเท่ห์กันเข้าไปใหญ่ ว่ารถคันนี้จะแล่นไปยังที่ไหนกันแน่
       แล้วคำตอบก็มาเฉลยในตอนท้าย เมื่อรถมาจอดสนิทสิ้นสุดการเดินสายที่หน้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เล่นเอาพวกดีใจจนออกอาการกระดี๊กระด๊ากันใหญ่เลยหล่ะครับ ถึงตรงนี้แล้วขอชมเชยเขาสักหน่อย เรื่องการจัดผังเมืองและระบบการขนส่งที่รองรับ เขตเมืองเก่าก็คือเมืองเก่าจริง ๆ ไม่มีอะไรแปลกปลอมให้เห็นแล้วขัดลูกกะตาเหมือนบางบ้านบางเมือง

ภูเขาคาพูซีเนอร์แบร์กตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำซาลซัค

       หลังจากเดินห้างจนใกล้ค่ำก็ชวนกันกลับที่พัก แต่ด้วยความที่มันยังสว่างอยู่ ผมเลยขอเดินเที่ยวต่อคนเดียว แล้วปล่อยให้เพื่อนแยกกลับไปคนเดียวก่อน เวลาขณะนั้นประมาณทุ่มกว่า ๆ ร้านรวงปิดหมดแล้ว มองขึ้นไปบนเนินเขาคาพูซีเนอร์แบร์ก(Kapuzinerberg) ซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับตัวปราสาท เห็นคนยังเดินกันขวักไขว่ เลยคิดว่าน่าจะขึ้นไปหามุมสวย ๆ ถ่ายรูปบนนั้น แต่พอขึ้นไปถึงข้างบนจริง ๆ ผู้คนที่เห็นเดินกันอยู่เมื่อกี้ กลับอันตรธานหายไปอย่างกับชาวลับแล เมืองแทบทุกเมืองในยุโรปมักจะเป็นแบบนี้กัน นั่นก็คือพอหลังเวลาเลิกงานประมาณหกโมงเศษ เขาก็จะพากันหลบเร้นกลับเข้าที่พักกันหมด ไม่มีการมาเดินเล่นกินลมจนดึกดื่นเหมือนบ้านเรา จะมีก็แต่เมืองแห่งแสงสีไม่กี่เมืองเท่านั้นที่คนยังพลุกพล่าน แต่ก็จะเป็นแต่เฉพาะตามแหล่งบรรเทิงเริงรมณ์เท่านั้น ส่วนที่ซาร์ลบรูกซ์นี่เงียบเหงาวังเวงอย่างกับป่าช้ากันตั้งแต่หัวค่ำแล้วหล่ะครับ

สวนสวยในวังมิราเบล

       เมื่อเห็นว่ามันเปลี่ยวจนไม่น่าเดิน ผมจึงตัดสินใจวกกลับลงมา เจอกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่นกำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่ริมทาง ดูท่าทีไม่น่าไว้วางใจเลยพยายามเดินเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เห็นหนึ่งในนั้นโบกมือให้แล้วยิ้มทักเลยค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ใจนึงก็ยอมรับว่ากลัวครับ เพราะเคยอ่านเจอจากหลาย ๆ ที่เหมือนกัน ที่คนต่างถิ่นหรือนักเดินทางมักจะโดนกลุ่มวัยรุ่นหัวรุนแรงรุมทำร้ายเอา ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็คงจะมีเหมือน ๆ กันนั่นแหล่ะครับ ทางที่ดีถ้าเป็นไปได้เราอย่าเข้าไปเฉียดใกล้พวกนี้จะเป็นการดีที่สุด
       และแล้วหนึ่งวันในซาลสบวร์กก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ความจริงวันนี้เรามีโปรแกรมสั้น ๆ จะนั่งรถไปหมู่บ้านริมทะเลสาบแสนสวยแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าฮัลสแตท แต่ด้วยสภาพอากาศที่ปิด มีเมฆหมอกและสายฝนโปรยปรายตลอดวัน แผนการณ์นี้เลยเป็นอันต้องพับไปก่อน แต่ถึงกระนั้นการเดินเที่ยวเมืองในวันนี้ก็ถือได้ว่าไม่เลวทีเดียวหล่ะครับ เอาเป็นว่าไว้คราวหน้าถ้าได้มีโอกาสกลับมาที่นี่อีก คงไม่พลาดที่จะไปเยือนฮัลสแตทให้ได้ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ สำหรับวันนี้ขอพอแค่นี้ก่อน บทหน้าเจอกันใหม่ที่อินน์สบรูกครับ
 

3 ความคิดเห็น: