วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บูดาเปสต์....เพชรงามแห่งลุ่มน้ำดานูบ Budapest, Hungary

 
       จากที่เคยกล่าวไว้ในบทก่อนหน้า ว่าเวียนนาตั้งอยู่เกือบปลายสุดของเทือกเขาแอลป์ ถัดจากนั้นมาก็คือที่ราบฮังการีอันแสนกว้างใหญ่ และดูท่าว่าคงจะกว้างใหญ่จริง ๆ เสียด้วยสิครับ เพราะภาพวิวสองข้างทางดูเวิ้งว้างชอบกล มองไปทางไหนเห็นแต่ทุ่งดอกไม้เหลืองโพลนเต็มไปหมด หากเป็นแถวบ้านเราคงนึกว่าเป็นดงผักกาด แต่นี่มันกลางทวีปยุโรปไม่ใช่เมืองจีน ข้อสันนิษฐานเรื่องดอกผักกาดจึงเป็นอันตกไป ตอนแรกเห็นดอกเหลือง ๆ ก็เข้าใจไปเองว่าน่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับมัสตาร์ด แต่แล้วก็แอบได้ยินสองพ่อลูกในที่นั่งถัดไปเขาคุยกัน ว่าแท้จริงแล้วมันคือดอกต้นฮอบส์ซึ่งไม่ได้ปลูกเพื่อการบริโภคใด ๆ แต่ว่าเขาเอาไปสกัดน้ำมันทำไบโอดีเซลต่างหาก ถึงว่าหล่ะครับทำไมพักหลัง ๆ พวกฝรั่งเขาถึงได้เป็นห่วงกันนักเรื่องวิกฤติการขาดแคลนอาหาร คงเพราะที่ดินทำกินส่วนใหญ่ของเขา ดันเอาไปปลูกไปทำพืชพลังงานทดแทนกันหมดนั่นเอง
       และแล้วก็มาถึงบูดาเปสต์ด้วยความไม่แน่ใจ รถไฟค่อย ๆ แล่นช้า ๆ เหมือนกับว่าจะถึงปลายทางอยู่มะรอมมะร่อ แต่สองข้างไหล่ทางก็ยังดูเป็นป่าละเมาะเสื่อมโทรม แถมบ้านเรือนที่ปลูกแซมอยู่ประปรายก็ดูเก่าโกโรโกโส และแล้วก็มีเสียงประกาศสามภาษาดังขึ้น ตบท้ายด้วยเสียงภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นอย่างเคย ว่าตอนนี้มาถึงบูดาเปสต์เป็นแน่แล้ว เมื่อเห็นผู้โดยสารคนอื่นเขากุลีกุจอเตรียมตัวทำท่าจะลง พวกเราจึงรีบตระเตรียมข้าวของตามเค้าโดยไม่ลังเล

สะพานโซ่ สะพานหลักในหลาย ๆ สะพาน ที่เชื่อมสองฝั่งบูดาและเปสต์
 
       รถไฟมาจอดสนิทตรงสถานีที่ชานเมืองฝั่งหนึ่ง ร่องรอยของความเจริญแรกที่เห็นก่อนเหยียบย่างลงจากรถที่นี่ ก็คือห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่ข้างสถานีรถไฟนั่นเอง ธรรมดาแล้วห้างใหญ่โตขนาดนี้มักจะไม่ค่อยมีให้พบเจอมากนักในยุโรป คงจะเป็นด้วยเรื่องกฏหมายควบคุมการก่อสร้างที่เข้มงวดมากของเขานั่นเอง แต่สำหรับพวกเราแล้ว การได้มาเจอสถานที่แบบนี้ในดินแดนอันไกลโพ้น ก็เหมือนกับเจอโอเอซีสกลางทะเลทรายนั่นเลยทีเดียวหล่ะครับ
       เดินลงจากรถไฟเหมือนออกจากแมชชีนย้อนกาลเวลา รถด่วนขบวนพิเศษจากออสเตรียที่เรานั่งมาเหมือนหลงเข้ามาจอดผิดยุค สถานีแห่งนี้เป็นอาคารโครงเหล็กหลังใหญ่ร่วมรุ่นเดียวกันกับหัวลำโพง  แต่โครงสร้างพื้นผนังยันหลังคายังเป็นของเดิมอยู่มาก ซึ่งของเดิมในที่นี้ก็คือเก่ามายังไงก็เก่าไปอย่างนั้นครับ ทางเข้าทางออกกั้นคอกตรวจคนไว้แน่นหนา แต่ไม่รู้ทำไมถึงปล่อยให้แท็คซี่เถื่อนไปเที่ยวไล่จับผู้โดยสารถึงตีนกระไดรถได้ เรื่องการจับผู้โดยสารแบบนี้ก็เป็นอะไรอีกอย่างที่แทบไม่มีให้เห็นเลยในยุโรป หรือจะว่าไปแม้แต่ในเมืองไทยก็ตามที โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กรุงเทพฯ ซึ่งก็ไม่ค่อยเห็นมีใครทำกันแล้ว ที่ยังจะพอมีให้เห็นอยู่บ้างก็ตามขนส่งแถวต่างจังหวัดเท่านั้น

สะพานโซ่ทอดข้ามไปสู่ฝั่งเปสต์

       กว่าจะออกจากสถานีรถไฟได้ก็เล่นเอาสบักสบอมพอสมควร ไหนจะต้องคอยหลบหลีกปฏิเสธพวกแท็คซี่และเกสต์เฮ้าส์ และด้วยความที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ เลยโดนใช้ให้ไปรอผิดห้องนานเกือบสองชั่วโมง(ช่วงพักเที่ยงของเขาลากยาวไปถึงบ่ายสอง) เจ้าหน้าที่ Information ของที่นี่ช่วยอะไรไม่ได้เลยครับ สุดท้ายเลยต้องไปถามทางเอากับเคาท์เตอร์ขายตั๋วริมถนน แล้วป้าคนขายก็ไปถามเด็กวัยรุ่นอีกคนที่ต่อแถวหลังเราให้อีกทีหนึ่ง
       ปัญหาต่อมาก็คือเรื่องเงินครับ ที่บูดาเปสต์ยังคงใช้เงินสกุลเดิมของเขาอยู่(โฟรินต์,Forint  อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน ลองเช็คดูจากเวปไซต์นี้นะครับ http://th.rateq.com/forex_convert_widget.php?c=HUF ) เห็นมีเคาท์เตอร์ตั้งอยู่ทั่วไปในสถานีแต่ก็ไม่กล้าแลก เลยทำทีเป็นเดินไปถามราคาตั๋วรถจากเอเยนต์ขายทัวร์แถวนั้น แล้วเลยถามเขาต่อว่าควรจะไปแลกเงินที่ไหนดี  เขาเลยบอกให้ออกไปแลกข้างนอกสถานี เป็นเคาท์เตอร์เล็ก ๆ ในซอกตึกแห่งหนึ่งซึ่งสภาพก็ดูไม่น่าไว้ใจพอกัน แต่อัตราแลกที่ได้ก็เป็นธรรมกว่ามาก แถมยังไม่มีการชาร์จเพิ่มใด ๆ อีกต่างหาก ดังนั้นพวกเราจึงกลับมาใช้บริการที่นี่อีกหลายครั้ง

เรือสำราญจอดเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดานูบ

       การแลกเงินหรือขายเช็คเดินทางในธนาคารที่ปรากและบูดาเปสต์เป็นอะไรที่ล่าช้ามากครับ ที่ปรากต้องใช้เวลารอคิวเป็นชั่วโมงกว่าคุณเธอจะคำนวน จัดเตรียมเอกสารออกใบเสร็จ แล้วจึงค่อย ๆ คลี่เงินนับเงินให้ ส่วนที่บูดาเปสต์พวกเราเคยลองเข้าใช้บริการธนาคารอยู่ครั้งหนึ่ง ยามเฝ้าประตูพาเราเข้าไปนั่งรอข้างในแล้วก็เหมือนกับว่าลืมพวกเราไปเลย เมื่อนั่งใบ้กันอยู่ตั้งนานไม่เห็นมีใครโผล่หน้าออกมาซักที ก็เลยพากันเดินหลบฉากออกมา แล้วกลับไปใช้บริการเคาท์เตอร์เจ้าเก่าข้างสถานีเหมือนเดิม      
       อากาศที่นี่ในวันแรกแดดจ้าและอบอุ่นกำลังดี แต่มันก็เป็นอย่างนี้มาหลายเมืองแล้ว พอล่วงเข้าวันที่สองทีไรพระพิรุณก็ทำท่าเหมือนจะรู้แกวว่าพวกเรามาถึง และหลังจากนั้นท่านก็จัดหนักมาให้ทั้งฝนทั้งหนาว
       ในเย็นวันแรกพวกเราไม่มัวรีรอ หลังจากเก็บของเข้าที่พักเสร็จ ก็พากันลองนั่งรถสำรวจเมืองคร่าว ๆ กันเลย ตั๋วรถที่ซื้อเป็นแบบเหมามีอายุสามวัน ดังนั้นถ้าจะให้คุ้มก็ต้องใช้แล้วก็ใช้จนกว่ามันจะหมดอายุครับ  จุดหมายแรกที่ใคร ๆ ก็นึกถึงเมื่อไปบูดาเปสต์ก็คือริมฝั่งแม่น้ำดานูบ เพราะอาคารสวยงามที่มีความสำคัญทางประวัติศาสต์ของเมืองตั้งอยู่แถบนั้น เริ่มด้วยอาคารรัฐสภาหลังใหญ่(Parliament) รูปทรงสวยงามแปลกตาในสไตล์นีโอกอธิค อาคารหลังนี้ได้รับแรงบรรดาลใจจากอาคารรัฐสภาที่ลอนดอน ทั้งในแง่ของการจัดวางตำแหน่งริมแม่น้ำเพื่อสร้างความประทับใจจากเงาสะท้อนที่ทอดลงไป อีกทั้งในเรื่องของตัวบทกฏหมายรัฐธรรมนูญที่ยึดเอาประเทศอังกฤษเป็นแบบอย่าง

อาคารรัฐสภาบูดาเปสต์ ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากอาคารรัฐสภาที่ลอนดอน

       ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเยื้อง ๆ กันนั้นคือเนินปราสาท(Castle Hill) อันเป็นที่ตั้งของหมู่อาคารพระราชวังและป้อมชาวประมง(Fishermen's Bastion) เมืองบูดาเปสต์เดิมทีแบ่งออกเป็นสองเมืองเหมือนอย่างกรุงเทพฯและฝั่งธนครับ เมืองที่เก่าแก่กว่าคือเมืองเปสต์ทางฝั่งตะวันออก หลังจากถูกพวกมองโกลรุกรานและทำลายลงจนราบคาบ จึงมีการย้ายหนีมาตั้งเมืองใหม่ทางฝั่งตะวันตกชื่อบูดาแทน หลังจากผ่านยุคแห่งความวุ่นวายและสับสน สองเมืองก็ได้ถูกผนวกรวมกันในปี คศ.1872 ในที่สุด
       เช้าวันถัดมาก็เป็นไปดังคาดครับ สายฝนโปรยปรายแต่เช้าและอุณหภูมิก็ลดลงฮวบฮาบ วันนี้จะให้ไปเดินเที่ยวกลางสายฝนคงไม่ไหวแน่ พอดีเห็นโฆษณาละครสัตว์ในแผ่นพับที่แนบมากับแผนที่คิดว่าน่าสนใจดี เลยลองพากันเสี่ยงดวงนั่งรถไปตามสถานที่ที่แจ้งไว้  พอลงจากรถรางที่สถานีปลายทาง มองซ้ายแลขวาไม่เห็นมันจะมีวี่แววของกระโจมละครสัตว์ที่ตรงไหน ยืนเคว้งได้ซักพักก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่ง พวกเขาพาเดินเข้าแถวเรียงกันไปเหมือนจะไปที่ไหนซักที่ เลยเลยตัดสินใจพากันเดินตาม พอเข้าไปเดินใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่าน้องกลุ่มนี้เขาเป็นเด็กพิเศษครับ(ออทิสติกหรือแอสเพอร์เกอร์) แต่ดูท่าคงได้รับการฝึกมาอย่างดี เพราะท่าทางแต่ละคนเรียบร้อยน่ารัก ในแถวมีพี่เลี้ยงคอยคุมอยู่เป็นระยะ ต่อเด็กทุก 5-6 คนจะต้องมีพี่เลี้ยงหนึ่งคนเดินนำหรือตาม ส่วนท้ายขบวนมีแม้วไทยสองคนเดินทำเนียนตามเขาไปต้อย ๆ และแล้วน้องคนหนึ่งก็คว้าแขนผมไปจูงหน้าตาเฉย ท่าทางแกคงจะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน เดินจูงมือกันไปตั้งนานจนพี่เลี้ยงหันมาเห็นเข้า แกตกใจเอะอะดุน้องเค้าใหญ่เลยหล่ะครับ ไม่รู้ว่าเป็นข้อห้ามอะไรของเค้าหรือเปล่า ท่าทางคงเหมือนอย่างบ้านเรากระมัง ที่ผู้ใหญ่มักจะสอนหรือห้ามเด็กไม่ให้สุงสิงกับคนแปลกหน้า


ภายในโรงละครสัตว์ก่อนโชว์จะเริ่ม

       และแล้วก็มาถึงที่หมายเสียที ที่รู้ว่ามาถึงก็เพราะเห็นโปสเตอร์หน้างานหรอกครับ น้อง ๆ กลุ่มนั้นเขายังพากันเดินต่อไปไหนอีกก็ไม่รู้ ทิ้งให้พวกเรายืนงงอยู่หน้าโรงละครสัตว์เพราะคิดว่ามาผิดวัน สองคนเลยยืนเถียงกันว่าจะเอาไงต่อดี ทำไมหน้าโรงถึงได้ดูวังเวงเงียบเหงาเหมือนเขาเลิกกิจการไปแล้ว ก็เกือบจะถอดใจอยู่แล้วเชียวครับ ถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเข้า เขาเขียนแปะหน้าเคาท์เตอร์ว่า"Please nock for Ticket" ก็เลยลองเคาะกระจกเบา ๆ เสี่ยงดวงดู ได้ผลครับ อยู่ ๆ ก็มีคุณป้าร่างอ้วนโผล่ออกมาจากข้างหลังเคาท์เตอร์มาขายตั๋วให้ แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยแต่ก็พยายามอธิบายราคาและรอบการแสดงให้โดยละเอียด การแสดงจะมีขึ้นในช่วงบ่ายให้เราแวะมาใหม่อีกที ดังนั้นในช่วงเช้าเราจึงมีเวลาไปนั่งรถเล่นกันก่อนเพื่อเป็นการฆ่าเวลา

สินค้าที่วางเรียงรายตู้กระจกร้านขายของชำ

       บูดาเปสต์ในย่านที่นักท่องเที่ยวยังเข้าไม่ถึงค่อนข้างซอมซ่ออยู่มาก ตึกแต่ละหลังถึงแม้จะใหญ่โตโอ่อ่าแต่ก็ทรุดโทรมรอการบูรณะ สิ่งที่ดูแปลกตาสำหรับพวกเราอย่างหนึ่งก็คือ รถบัสกึ่งรางเก่าโกโรโกโสที่ยังคงวิ่งรับส่งผู้โดยสารได้อยู่ หน้าตาก็เหมือนรถบัสหวานเย็นเก่า ๆ ทึม ๆ บ้านเรานั่นแหล่ะครับ แต่ที่แปลกก็คือบนหลังคาจะมีเสาโยงเชื่อมกับสายไฟเหมือนรถรางหรือรถบั๊ม ไม่รู้ว่าถ้าคนขับเผลอทำรถเสียหลักไถลออกนอกรัศมีของขาโยงจะเกิดอะไรขึ้น ร้านขายของชำที่นี่ก็แปลก ดูเป็นกึ่งร้านของชำกึ่งซุปเปอร์มาร์เก็ต หน้าร้านจะเป็นหน้าต่างกระจกบานใหญ่ แล้วเขาก็จะเอาของทุกสิ่งที่มีขายในร้านออกมาวางเรียงโชว์ซ้อนกันจนเต็ม ถ้าลูกค้าอยากได้สิ้นค้าตัวไหนก็ให้ชี้หรือบอก คนขายจะเป็นคนเดินไปหยิบออกมาให้เอง

สภาพความวุ่นวายในรถไฟใต้ดิน

       อีกอย่างที่น่าทึ่งของที่นี่ก็คือระบบขนส่งใต้ดินครับ ถึงแม้จะปิดประเทศไปนานกว่า 40 ปี แต่ระบบขนส่งมวลชนของเขาก็ไม่น้อยหน้าชาติอื่นเลยแม้แต่น้อย รถไฟใต้ดินถึงจะเก่าซอมซ่อไปหน่อยแต่ก็วิ่งได้เร็วจี๋ แถมยังตรงเวลาสุด ๆ เสียด้วยสิครับ สถานีแต่ละแห่งอยู่ในระดับความลึกที่แทบไม่น่าเชื่อ โดยจุดที่ลึกที่สุดคือสถานีที่เชื่อมลอดสองฝั่งแม่น้ำดานูบ เฉพาะบันไดเลื่อนที่พาเราขึ้น-ลงก็สูงประมาณตึก 7-8 ชั้นแล้วหล่ะครับ ที่สำคัญเป็นบันไดเลื่อนท่อนเดียวยาวไปจนสุดโดยไม่มีชั้นพักเสียด้วย เรียกได้ว่าหากต้องขึ้นลงคนเดียวก็คงขาสั่น เพราะถ้าพลาดล้มกลิ้งตกลงไปคงอาการสาหัส แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ว่าปลอดภัยเพราะคนแน่นตลอด ถ้าเกิดเผลอมีใครหน้ามืดเป็นลมขึ้นมากลางทาง ไม่ใครก็ใครคงจะช่วยกันประคองเอาไว้ได้ จะด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็คงต้องทำหล่ะครับ เพราะไม่งั้นอาจจะเซจนล้มลงไปหมดเหมือนโดมิโน่ แต่ถ้าเกิดเหตุบรรไดค้างขึ้นมาก็ตัวใครตัวมันหล่ะครับ เพื่อนใครญาติใครก็ลากกันขึ้นไปเองแล้วกัน


โชว์ชุดเล็ก ๆ เรียกน้ำย่อยก่อนโชว์ชุดใหญ่

       และแล้วก็ถึงเวลาโชว์เสียที เรากลับมาที่หน้าโรงละครสัตว์ในตอนบ่ายด้วยความแปลกใจ ก็ที่หน้าโรงอันแสนจะเงียบเหงาเมื่อตอนเช้า ในเวลานี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนอย่างกับมีงานวัด ส่วนใหญ่มากันเป็นหมู่คณะทั้งเด็กประถมและมัธยม ส่วนคนในวัยผู้ใหญ่พอมีให้เห็นบ้างประปราย ซึ่งดูท่าก็น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากที่อื่น แต่ที่ไม่มีให้เห็นเลยก็คือชาวเอเชียครับ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมีสายตาหลาย ๆ คู่มองมาทางเราสองคนด้วยความแปลกใจ
       ละครสัตว์คณะนี้เป็นคณะเล็ก โชว์ที่แสดงก็เป็นแบบมาตรฐานทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษซับซ้อนมากนัก หลัก ๆ ก็มีกายกรรมต่อตัว การโยนของ โยนห่วง และการแสดงกับสัตว์เช่น สุนัข ม้าหรือแม้กระทั่งสิงห์โต แต่ที่ดูจะถูกอกถูกใจน้อง ๆ หนู ๆ ชาวฮังกาเรียนที่สุดก็คือตลกหน้าม่านหรือโจ๊กเกอร์ครับ ขนาดเราเองซึ่งเลยวัยนั้นมามากแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสนุกสนานไปกับเค้า ช่วงที่สนุกที่สุดก็คือการให้คนดูลงไปแสดงหรือเล่นเกมส์ร่วมกัน ซึ่งเด็กฝรั่งดูจะเต็มใจเล่นและแตกต่างจากเด็กไทยเป็นอันมาก ในเรื่องของการกล้าแสดงออก ดังนั้นโชว์ในวันนี้จึงจบลงได้อย่างสนุกและสมบูรณ์แบบ โดยไม่มีการเคอะเขินอันใดเกิดขึ้น


การแสดงกับสิงห์โตต้องล้อมตาข่ายเพื่อความปลอดภัย ให้สังเกตชั้นลอยด้านหลังที่มีนักดนตรีบรรเลงสดอยู่


       ถึงละครสัตว์คณะนี้จะเป็นคณะเล็ก แต่ก็เล็กอย่างมีคุณภาพครับ อย่างหนึ่งที่น่าชมเชยก็คือดนตรีประกอบซึ่งเป็นดนตรีสด ถึงแม้จะมีเครื่องดนตรีเพียงไม่กี่ชิ้นแต่ก็บรรเลงได้ไพเราะเหมือนมืออาชีพ ดังนั้นหลังการแสดงจบจึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่เห็นเด็ก ๆ รวมทั้งผู้ใหญ่บางคนยังพูดคุยกันต่อถึงโชว์ที่พึ่งจบไปอย่างออกรส
       โชว์เสร็จตอนบ่ายแก่ ๆ ถึงตอนนี้ฝนซาเม็ดลงแล้วแต่อากาศก็ยังคงหนาวยะเยือกอยู่ มีสถานที่น่าสนใจที่น่าดูแต่พวกเราก็ไม่ได้ไปดู เลยยังทำให้นึกเสียดายอยู่จนถึงทุกวันนี้ สถานที่ที่ว่าก็คือสระน้ำแร่หรือโรงอาบน้ำขนาดใหญ่ของเขานั่นเองครับ ตามริมฝั่งแม่น้ำดานูบมีบ่อน้ำพุร้อนเรียงรายอยู่กว่า 120 แห่ง ที่ดัง ๆ หน่อยก็เช่นโรงอาบน้ำคีลาลี(Kiraly baths),โรงอาบน้ำเกลแลร์ท(Gellert)และโรงอาบน้ำเซเชนนืย(Szechenyi) ผมเคยเห็นผ่าน ๆ จากในหนังสือและทีวี รวมทั้งได้ยินจากปากคำของใครหลายคนว่าสร้างได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก แต่ด้วยสภาพอากาศในวันนี้ที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งหนาวทั้งฝนจนไม่น่าจะมีใครนึกอุตริออกมาแช่น้ำกัน จะให้พวกเราเดินตัวสั่นไปดูแต่สระเปล่า ๆ ก็ใช่ที่ครับ ดังนั้นทริปชมโรงอาบน้ำจึงถูกตัดออกด้วยเหตุผลดังกล่าว


       ดังที่ได้เคยเกริ่นไปตั้งแต่ต้น ว่าสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของบูดาเปสต์ส่วนใหญ่ ต่างมาตั้งกระจุกรวมตัวกันอยู่ริมฝั่งน้ำ เริ่มจากตึกรัฐสภาที่ไม่ว่าจะเดินทางมาจากส่วนไหนของเมือง ก็มักจะต้องผ่านบริเวณนี้หมดเหมือนเป็นไฟลต์บังคับ ตัวอาคารถึงแม้จะได้รับอิทธิพลจากตึกรัฐสภาที่เมืองลอนดอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความงามและเอกลักษณ์อันโดดเด่นของดีไซน์เฉพาะได้อย่างยอดเยี่ยม ภายในอาคารเปิดให้สาธารณะชนเข้าชมเป็นรอบ แต่ต้องทำการนัดหมายและเข้าไปเป็นหมู่คณะโดยมีเจ้าหน้าที่นำชมเท่านั้นครับ      
       จากรัฐสภาเดินข้ามฝั่งน้ำมายังอีกฟากจะเป็นเนินประสาท ลักษณะเป็นเนินเขาหินปูนสูงชันปานกลาง มีทางเท้าและซอกซอยให้เดินขึ้นได้โดยไม่ลำบากนัก แต่ถ้าคุณเป็นคนขี้เกียจหรือมีเวลาจำกัดเขาก็มีรถรางไว้คอยบริการครับ บนยอดเนินเป็นที่ตั้งของหมู่อาคารพระราชวังในยุคจักรวรรดิ ประวัติศาสตร์ของชาตินี้สับสนอลหม่านพอ ๆ กันกับเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ในภูมิภาค ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนับพันปี ต้องถูกยึดครองโดยต่างชาติและเปลี่ยนมือกันไปหลายครั้งในหลากหลายราชวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพมองโกลในปี คศ.1241 จากนั้นก็ตามมาด้วยการเข้ายึดครองโดยพวกเติร์กในปี คศ.1686

หมู่อาคารบนเนินปราสาท

       ยุคทองที่เฟื่องฟูที่สุดของบูดาเปสต์ น่าจะเป็นช่วงที่ถูกปกครองโดยราชวงศ์ฮับสบรูกซ์แห่งออสเตรียครับ เมื่อประเทศถูกผนวกรวมเข้าเป็นจักรวรรดิออสเตรียฮังการี โดยบูดาเปสต์เคยมีสถานะเป็นนครหลวงของจักรวรรดิอยู่พักหนึ่ง เมื่อราชวงศ์ฮับบรูกซ์ต้องย้ายศูนย์บัญชาการมาอยู่ที่นี่ ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกหนีจากอิทธิพลของ นโปเลียน โบนาปาร์ด นั่นเอง แต่แล้วหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จักรวรรดิออสเตรียฮังการีก็ล่มสลายลง ประเทศที่พึ่งแยกตัวถูกยึดครองโดยนาซีอีกครั้งในสงครามโลกครั้งที่สอง สุดท้ายก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียตและการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ 
       จากภาวะสงครามหลายครั้งในยุคแห่งความยุ่งเหยิง เมืองส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ โดยเฉพาะหมู่อาคารพระราชวังบนเนินปราสาท ที่ถูกกองทัพเยอรมันทำลายลงจนเกือบหมด แต่ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์ให้ฟื้นคืนดังเดิมในที่สุด และด้วยผลแห่งการทำลายนั้นเอง ที่เปิดโอกาสให้นักโบราณคดีได้สำรวจพื้นที่แถบนี้โดยละเอียด จนนำไปสู่การค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติอีกหลายท่าน    



ป้อมชาวประมงยามพลบค่ำ

       ถัดจากหมู่ปราสาทเมื่อเดินย้อนกลับขึ้นมาทางต้นน้ำจะเป็นที่ตั้งของป้อมชาวประมงครับ(Fishermen's Bastion) ป้อมแห่งนี้พึ่งก่อสร้างขึ้นในยุคต้นศตวรรษที่ 20 ชื่อของป้อมตั้งตามเมืองท่าชาวประมงในยุคกลางที่ตั้งอยู่เบื้องล่าง จากบริเวณป้อมเราสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำฝั่งตรงข้ามและอาคารรัฐสภาได้ชัดเจน น่าขำที่ป้อมแห่งนี้ซึ่งมีอยู่แค่เพียงสองชั้น แต่กลับปล่อยให้นักท่องเที่ยวไปยืนชมวิวตรงระเบียงชั้นล่างได้ฟรี ในขณะที่ดาดฟ้าชั้นบนซึ่งเปิดโล่งต้องเสียตังค์ค่าเข้า ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงพากันมายืนออดูวิวฟรี ๆ กันอยู่ตรงระเบียงชั้นล่างเต็มไปหมด ในขณะที่ดาดฟ้าชั้นบนเงียบเหงาแทบไม่มีคนแล
       ท้องฟ้าช่วงต้นฤดูร้อนที่ยุโรปมืดช้าลงไปทุกที คืนนี้ก็อีกเช่นกันที่เราตั้งใจอยู่รอชมความงามของแสงไฟยามค่ำ กว่าฟ้าจะยอมมืดได้ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า และแล้วทั่วทั้งเมืองก็สว่างไสวไปด้วยแสงไฟงามระยับจับตาสมใจคนคอย หลังจากนั้นก็ได้เวลากลับห้องไปพักผ่อนเสียที วันนี้ถือเป็นวันที่คุ้มค่าที่สุดวันหนึ่งครับ ได้รู้ได้เห็นประวัติศาสตร์ที่แสนวุ่นวายของบ้านเขา ผ่านเรื่องเล่าและร่องรอยที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่ตามซอกมุมอันเก่าแก่ แล้วก็อดหวนคิดเป็นห่วงบ้านเราในช่วงเวลานั้นไม่ได้ 


  
       แล้วคืนนั้นเองที่เราได้รับข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง นั่นก็คือข่าวการเสียชีวิตของเสธ.คนดัง ผู้มีบทบาทสำคัญในการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงขึ้นในเมืองไทยนั่นเอง จริงอยู่ที่เราไม่ควรยินดีในความสูญเสียของใคร แต่ในเวลานั้นก็อดที่จะโล่งใจไม่ได้ ที่อย่างน้อยต้นเหตุของความวุ่นวายก็หมดไปอีกหนึ่ง
       เช้าวันต่อมาอากาศอบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข่าวคราวจากเมืองไทยยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายอยู่ หลายฝ่ายต่างกล่าวโทษกันไปมาถึงสาเหตุการตายของเสธ.ผู้นั้น ถึงตอนนี้จะด้วยน้ำมือของฝ่ายใดก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ในเมื่อเขาได้ต่อสู้และคิดว่าตายอย่างสมเกียรติในสมรภูมิที่ตั้งใจก่อ ผิดหรือถูกต่างฝ่ายก็ล้วนทราบกันดีอยู่แก่ใจ ในเมื่อเป้าหมายและอุดมการณ์ของทั้งสองฝ่ายต่างแยกไปคนละทาง และดูท่าว่าคงจะไม่มีวันมาบรรจบพบกันได้อีก

เนินเขาแกลแลร์ทโดดเด่นอยู่ริมฝั่งน้ำ

       ประจวบเหมาะกันเหลือเกินที่บังเอิญวันนี้เราจะพากันไปเดินเที่ยวบนเนินเขาแกลแลร์ท(Gellert Mountain) ซึ่งเป็นที่ตั้งของป้อมปราการเก่าแก่และอนุเสาวรีย์เสรีภาพ ซึ่งสร้างอุทิศให้กับผู้เสียชีวิตในช่วงสงครามโลก เนินเขาแห่งนี้อยู่ถัดไปไกลพอควรจากเนินปราสาท แต่ก็หาทางไปได้ไม่ยากเย็นนักเพราะตั้งเด่นอยู่ริมคุ้งน้ำ และอนุเสาวรีย์ที่อยู่บนยอดก็ดูโดดเด่นแม้จะมองมาจากมุมไหนของเมืองก็ตาม ป้อมปราการและอาวุธยุทธโธปกรณ์ที่ตั้งโชว์เรียงรายอยู่บนยอดเนินนั้น ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใด ๆ จากคนหน่ายสงครามอย่างพวกเราได้เลยครับ หากแต่เป็นทิวทัศน์มุมกว้างของเมืองจากยอดเขาต่างหากที่น่าสนใจกว่า ตลอดจนพุ่มกุหลาบป่าที่ออกดอกบานสะพรั่งแน่นหนาปกคลุมอยู่ตามไหล่เขา  ซึ่งก็ทำให้พวกเราตื่นเต้นกันพอสมควรเพราะไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน เคยอ่านเจอมาบ้างก็แต่ในหนังสือ ว่าเป็นพืชพื้นถิ่นของแถบนั้นแถบนี้ แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้มาเจอในช่วงออกดอกบ่านสะพรั่งอย่างนี้

กุหลาบป่า ต้นตระกูลของกุหลาบสายพันธ์ต่าง ๆ

       ยังมีสถานที่เขียวชอุ่มอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้เป็นเสมือนปอดของเมือง นั่นก็คือเกาะกลางแม่น้ำดานูบที่อยู่ค่อนไปทางต้นน้ำด้านทิศเหนือ เกาะแห่งนี้มีชื่อว่าเกาะมาร์กาเร็ตครับ(Margaret Island) มีขนาดใหญ่โตกว้างขวางพอ ๆ กับเมืองหรือหมู่บ้านขนาดย่อม ๆ หนำซ้ำยังมีรถประจำทางวิ่งให้บริการรอบเกาะเสียด้วยสิครับ แต่ถึงกระนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะก็ถูกอนุรักษ์ไว้ให้เป็นสวนสาธารณะและลานกิจกรรมสันทนาการ แล้วก็ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลดนตรีในช่วงฤดูร้อนของทุกปีอีกด้วย
       ถนนหนทางในบูดาเปสต์ใหญ่โตกว้างขางต่างจากเมืองอื่น ๆ การข้ามถนนในทุกทางข้ามทางแยกของที่นี้ใช้วิธีเดินลอดอุโมงค์เอาครับ ซึ่งก็นับว่าสะดวกสบายเอาการอยู่ แต่มันก็เปลี่ยวและน่ากลัวเหมือนกันหากต้องเดินคนเดียวในช่วงมืดค่ำ จากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่มั่นคง อัตราการว่างงานของประเทศนี้น่าจะอยู่ในเกณฑ์สูง โดยสังเกตเอาจากคนเร่รอนจำนวนมากที่เกาะกลุ่มกันอยู่ตามสถานีรถไฟใต้ดิน และชาตินี้คงเป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติที่มีเกณฑ์อายุเฉลี่ย ของพนักงานขายหน้าร้านฟาสต์ฟู้ดจำพวกแม็คโดนัลด์หรือเบอร์เกอร์คิงส์ที่สูงที่สุด ผมเห็นหลาย ๆ คนอายุอานามน่าจะเลยวัยเกษียณไปแล้วเสียอีกครับ เห็นแล้วก็อดที่จะนึกชื่นชมพวกเขาเหล่านั้นอยู่ในใจไม่ได้ ทั้งผู้บริหารกิจการที่มีจิตใจเปิดกว้าง และตัวของพวกเขาเหล่านั้นเองที่ไม่นึกย่อท้อแม้จะมีอายุมากแล้ว


       เมื่อพูดถึงคนที่ทำงานแล้ว ทีนี้ก็มาดูอีกหลาย ๆ คนที่ไม่ยอมทำงานกันบ้าง เคยมีเจ้าของเกสต์เฮ้าส์คนหนึ่งแกเข้ามาคุยกับผมที่สถานีรถไฟ ตอนแรกก็ตั้งใจจะมาขายห้องให้ แต่เมื่อรู้ว่าเรามีห้องพักแล้วและอยู่ตรงย่านไหน แกก็เลยพูดเป็นทำนองเตือน ๆ ว่าให้ระวังตัวหน่อยเพราะย่านนั้นเป็นที่มั่วสุมของพวกจรจัดและยิปซี ในตอนแรกผมก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเท่าไหร่นักหรอกครับ จนกระทั่งในคืนสุดท้ายที่ผมกับเพื่อนแยกกันกลางทางเพื่อแวะซื้อของก่อนกลับห้อง
       หลังจากซื้อของเสร็จเดินกลับกำลังจะถึงหน้าโรงแรม ก็มีวัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหา หน้าตาท่าทางเหมือนเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป ในกลุ่มเธอมีเด็กพังค์ผู้ชายอีก 3-4 คน ตอนแรกพวกนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาสมทบด้วย แต่พอผมปรายตามองแวบหนึ่งก็เหมือนเขาจะพากันเดินหลบไป เธอถามผมว่าพอจะมีเศษเงินบ้างมั้ย ผมถามเธอต่อว่าจะเอาไปทำอะไร เธอบอกว่าจะเอาไปซื้ออาหารเพราะตัวเธอเป็นเด็กเร่ร่อนหนีออกจากบ้านมา ผมเลยได้ทีย้อนกลับไปว่า หน้าตาท่าทางเธอก็ดูเป็นเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่น่าจะเป็นคนมีปัญหาชีวิตต้องเร่ร่อนกับเขาไปได้ เธอเลยเล่าให้ฟังว่าเด็กเร่ร่อนแบบเธอนี้มีอยู่ทั่วไปในบูดาเปสต์ แล้วก็เล่าตามด้วยเหตุผลอะไรอีกนิดหน่อยซึ่งก็คงจะเป็นเหมือนกันทั้งโลก
       ด้วยความเห็นใจผมเลยคิดว่าน่าจะให้เงินเธอไปซักหน่อยตามสมควร แต่ถ้าให้มากเกินไปก็คงจะไม่เป็นการดีนัก เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปกินเหล้ากินยาหรือเปล่า อีกอย่างหากเธอเห็นว่าสามารถเดินขอเงินใครข้างถนนได้ง่าย ๆ อีกหน่อยคงไม่คิดจะทำงานทำการอะไรอีก พอได้เงินแล้วเธอก็กล่าวขอบคุณแล้วเดินจากไป จากนั้นผมก็พลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีเด็กผู้ชายที่มาด้วยกันอีก 3-4 คนอยู่แถวนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะไปดักรอเราอยู่ตรงไหนอีกหรือเปล่า โชคดีโรงแรมอยู่ไม่ไกลมากนัก และพรุ่งนี้เราก็จะออกเดินทางกันแต่เช้า เหตุการณ์แบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้นอีก


       วันต่อมาออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ ตั๋วเหมาทั้งสองใบยังมีอายุใช้งานได้อีกครึ่งวัน ด้วยความเสียดายผมจึงคิดว่าน่าจะเอาไปให้คนเดินทางคนอื่น ๆ ไปใช้ประโยชน์ได้อีก ในตอนที่ลากกระเป๋าเดินเข้าสถานีรถไฟอยู่นั่นเอง ก็เห็นผัวเมียวัยชราเอเชียคู่หนึ่งกำลังเข้าแถวรอคิวเพื่อซื้อตั๋วอยู่พอดี ผมจึงเดินเขาไปหาพลางยื่นตั๋วให้เขาและบอกว่า "คุณสองคนเก็บตั๋วนี้เอาไว้ใช้ก่อนสิ มันยังใช้ได้จนถึงช่วงบ่ายนะ" พวกเขาทำหน้าตกใจแล้วตอบปฏิเสธเสียงแข็งว่า "NO" โดยไม่หลุดแม้คำขอบคุณในภาษาใด ๆ ออกมา จะไปโทษใครได้หล่ะครับในสถานการณ์แบบนี้ ใครจะไปเชื่อใจคนแปลกหน้าที่ไหนได้  จะว่าไปพวกเขาก็ทำถูกแล้วหล่ะครับที่ปฏิเสธและไม่สานสัมพันธ์ใด ๆ กับเรา ผู้ที่ไม่รู้ว่าจะมีวัตถุประสงค์ร้ายใด ๆ แอบแฝงมาหรือเปล่า และในทางที่ถูกเราเองต่างหากหล่ะครับที่ควรจะระมัดระวังตัวให้ได้เหมือนกับเขา

อนุเสาวรีย์เสรีภาพบนเนินเขาแกลแลร์ท

       จุดหมายต่อไปของเราคือเมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาของออสเตรียครับ ไม่รู้ว่าสภาพอากาศในอีกสองเมืองข้างหน้าจะอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ ๆ หลังจากพวกเราออกจากบูดาเปสต์ไปได้แค่วันเดียว ที่นี่ก็เจอพายุฝนกระหน่ำและโคลนถล่ม จริงแล้วก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาหรอกครับ แต่มารู้ความจริงเอาในตอนหลังเมื่อกลับถึงอัมสเตอร์ดัมแล้ว โชคดีที่พวกเราออกจากเมืองมาเสียก่อน การเดินทางตอนนี้ก็ได้ดำเนินมาเกือบครึ่งค่อนแล้วหล่ะครับ ท่ามกลางความฉุกละหุกทุลักทุเลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติอย่างภูเขาไฟระเบิด พายุฝนและอากาศหนาวเย็นผิดฤดู ไปจนถึงความวุ่นวายทางการเมืองที่กำลังปะทุอยู่ที่เมืองไทย หลายคนแซวว่าพวกเราหนีภัยการเมืองมา ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่ได้หนีไปไหนพ้นหรอกครับ สื่อต่างชาติทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ประโคมข่าวกันไม่เว้นแต่ละวัน อีกอย่างการติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตก็สะดวกรวดเร็วเสียจนไม่รู้สึกว่าไกลบ้าน ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะปิดหูปิดตาไม่รับรู้ได้
       ทำไปทำมาบทความท่องเที่ยวของผมชักจะกลายเป็นจดหมายเหตุไปเสียแล้วสิครับ เอาเป็นว่าขอตัดบทจบเรื่องบูดาเปสต์แต่เพียงเท่านี้ก่อน แล้วบทหน้าเรามาว่ากันต่อ ด้วยเรื่องของเมืองแห่งหุบเขาและเสียงดนตรีอย่างซาร์ลสบรูกซ์กันดีกว่านะครับ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
      
      
  

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เวียนนา.....นครหลวงแห่งศิลปและการดนตรี Vienna,Austria


       จากปรากเรานั่งรถไฟบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งตรงสู่นครเวียนนาอันจุดหมายถัดไปของทริปนี้ครับ รถด่วนพาเราแล่นผ่านย่านชนบทอันแสนเงียบเหงาและห่างไกลของสาธารณรัฐเชค ด้วยทิวทัศน์ที่ดูซ้ำซากจำเจน่าเบื่อหน่าย มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะทำให้เผลอนั่งสัปหงกกันไปตลอดทาง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องคอยตื่นตัวกันแทบทุกครั้งที่ได้ยินเสียงประกาศ เพราะถ้าขืนมัวหลับไหลกันไปอย่างไม่ลืมหูลืมตาแล้วหล่ะก็ เผลอไผลอาจนั่งรถเลยป้ายไปไกลจนจับต้นชนปลายไม่ถูกกันเลยทีเดียวครับ
       รถไฟข้ามแดนอย่างนี้เสียงประกาศอย่างน้อยจะต้องมี 3 ภาษา(นอกเสียจากว่าสองชาติจะใช้ภาษาเดียวกัน) คือ 1.ของชาติที่เราจากมา 2.ของชาติที่เรากำลังจะไป และ 3.ภาษาอังกฤษ(ซึ่งมักจะฟังยากมาก) ดังนั้นทุกครั้งที่เสียงประกาศดังขึ้น พวกเราจึงต้องถ่างหูรอฟังกันแต่ชื่อเมือง ซึ่งเค้าก็จะทวนสองครั้งและพยายามเน้นเสียงให้ชัดเจนที่สุด พอได้ยินว่ากำลังจะถึงแน่แล้ว เราก็ต้องเตรียมกระเป๋าและสัมภาระให้พร้อมก่อนลงจากรถหล่ะครับ


ทุ่งดอกหญ้าชานเมืองเวียนนา

       เวียนนาเป็นเหมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ตั้งอยู่เกือบปลายสุดของเทือกเขาแอลป์ซึ่งค่อนไปทางยุโรปฝั่งตะวันออก แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าเป็นชาติพันธมิตรและเมืองหน้าด่านของยุโรปฝั่งตะวันตกครับ ในอดีตประเทศนี้ถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนบ้านคอมมิวนิสต์ถึงสามด้านด้วยกัน อันประกอบไปด้วยประเทศฮังการี อดีตประเทศเชคโกสโลวาเกียและอดีตประเทศยูโกสลาเวีย ที่ใช้คำว่าอดีตก็เพราะว่าในปัจจุบันนี้ ไม่มีชื่อประเทศเหล่านั้นหลงเหลืออยู่บนแผนที่อีกต่อไปแล้วหล่ะครับ จะเป็นด้วยปัญหาภายในทั้งเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา หรืออุดมการณ์ทางการเมืองบางอย่าง สุดท้ายประเทศเหล่านั้นก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย อย่างที่พวกเราพอจะทราบกันดีจากข่าวดังเกรียวกราวเมื่อกว่าสิบปีก่อนไงหล่ะครับ และกรณีที่โด่งดังที่สุดก็คงเป็นการแยกตัวของประเทศในกลุ่มอดีตยูโกสลาเวีย ที่เกิดสงครามการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ระหว่างชาวเซิร์บกับพวกมุสลิมชาวบอสเนียและแอลเบเนีย ในสงครามแหลมบอลข่านครั้งหลังสุดที่เหมือนจะรอวันปะทุได้อีกทุกเมื่อ


       ด้วยทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างเทือกเขาแอลป์และที่ราบบูดาเปสต์ เวียนนาและออสเตรียจึงมีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านของยุโรปฝั่งตะวันตกในหลากวาระด้วยกัน นับจากสงครามต่อต้านพวกมุสลิมชาวเติร์กในอดีต ไปจนถึงความตึงเครียดในยุคสงครามเย็น ที่ประเทศนี้ถูกขนาบรอบด้านไปด้วยเพื่อนบ้านถึงสามชาติด้วยกัน ที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์และอยู่ภายใต้ร่มเงาของสหภาพโซเวียต อันเป็นชาติมหาอำนาจที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับฝั่งตะวันตก จนถึงทุกวันนี้ที่ถึงแม้ระบอบคอมมิวนิสต์จะล่มสลายลงไปนานแล้ว และร่องรอยแห่งอดีตดังกล่าวก็ได้ถูกลบเลือนไปจนเกือบหมด แต่กระนั้นก็ยังพอมีกลิ่นอายบางอย่าง ที่ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราพอจะรู้สึกถึงความต่างได้บ้าง นั่นก็คือความเจริญและค่าครองชีพของที่นี่ ที่ดูจะสูงกว่าเพื่อนบ้านโดยรอบอยู่มากเลยหล่ะครับ แล้วก็ยังมีบรรดาผู้อพยพจากตุรกีและยุโรปตะวันออกอีกจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด


       เราเดินทางออกจากปรากกันแต่เช้าตรู่ กว่าจะมาถึงเวียนนาก็ปาเข้าไปบ่ายโข แล้วก็เช่นเดียวกันกับทุกเมืองหล่ะครับ ที่พอไปถึงวันแรก เราเป็นต้องเสียเวลาสาละวนหาโรงแรมกันอยู่นานกว่าจะเจอ โปรแกรมการชมเมืองจึงต้องยกยอดไปไว้ในวันถัดไป คืนนี้จึงมีเวลาศึกษาแผนที่และโบรชัวร์เพื่อวางแผนเที่ยวในวันรุ่งกันอย่างเหลือเฟือ โชคดีที่โรงแรมมีบริการWirelessฟรี ก่อนนอนจึงได้อาศัยช่องทางนี้ ในการอัพเดทข่าวสารจากเมืองไทยในช่วงพฤษภาเลือด(ตามหลักแล้วเวลาไปพักผ่อนเราต้องตัดการติดต่อสื่อสารออกไปให้หมดนะครับ ถึงจะถือได้ว่าไปพักผ่อนจริง ๆ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ได้ทุกที)

ลานหินด้านหน้าพระราชวังฤดูร้อนเชินบรูนน์

       เวียนนามีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมายเต็มไปหมด หากเลือกไปมันทุกที่คงต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ เราเลยเลือกไปกันแต่สถานที่หลักที่พอจะรู้จัก และเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เขานิยมไปกันครับ โดยในตอนเช้าเริ่มต้นกันด้วยพระราชวังฤดูร้อนเชินบรูนน์(Schloss Schonbrunn) เสร็จแล้วช่วงบ่ายค่อยกลับเข้ามาเที่ยวกันต่อในเมือง พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองครับ แต่ด้วยตั๋วระบบขนส่งแบบเหมาจ่ายรายวัน เราจึงสามารถไปไหนได้ทั้งวันโดยไม่จำกัดประเภทและจำนวนเที่ยว ที่ตั้งของวังอยู่ในเขตเชินเนอร์บรูนเนิน(Schoner Brunnen แปลว่า น้ำพุงาม) ดังนั้นชื่อเชินบรูนน์จึงน่าจะมาจากชื่อเขตในพยางค์ที่หนึ่งและสามนั่นเองครับ
       ว่ากันว่าจักรพรรดิโยเซฟที่ 1 ผู้คิดริเริ่มสร้างวังแห่งนี้ ทรงมีดำริที่จะสร้างให้ใหญ่โตทัดเทียมพระราชวังแวร์ซายเลยทีเดียว แต่ด้วยปัญหาทางการเงินจึงทำให้โครงการนี้ไม่อาจสำฤทธิ์ผลไปได้ สุดท้ายเลยต้องลดสเป็คลงเหลือเท่าที่เห็น แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือได้ว่าโอ่อ่าอัครฐานเกินธรรมดาอยู่ดีหล่ะครับ


       เชินบรูนน์มีห้องอยู่ทั้งสิ้น 1,200 ห้องครับ แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแค่ 40 ห้องเท่านั้น นอกจากนั้นยังต้องซื้อตั๋วแยกต่างหากเป็นส่วน ๆ หากต้องการชมสวนหรือพิพิธภัณฑ์ก็ต้องซื้อเพิ่ม ผมจำไม่ได้แล้วหล่ะครับว่าข้างในเขาห้ามถ่ายรูปหรือเปล่า แต่เมื่อถึงตอนจะใช้คราวเขียนบล็อคนี้ พอกลับไปค้นหารูปถ่ายภายในเชินบรูนน์ก็ไม่เจอแล้วหล่ะครับ
       ห้องหับต่าง ๆ ของที่นี่ ยังคงรักษารูปแบบการจัดวางและการตกแต่งให้อยู่ในสภาพเดิมที่สุด เสมือนหนึ่งเมื่อตอนที่เหล่าราชวงศ์ยังคงใช้ชีวิตกันอยู่ที่นี่ ห้องหลัก ๆ ที่เปิดให้ชมก็จะมีห้องบรรทม ห้องทรงงาน ห้องจัดเลี้ยงอันแสนหรูหรา แล้วก็บรรดาห้องทำงานของมหาดเล็กและเจ้าพนักงานต่าง ๆ ซึ่งจำลองสภาพการทำงานในวังให้นักท่องเที่ยวได้ชมโดยละเอียด หลังจากเดินชมข้างในจนครบทั้ง 40 ห้องแล้ว พวกเราจึงพากันออกไปเดินเล่นที่ลานน้ำพุด้านหลังพระราชวังกันต่อครับ


กระท่อมน้อยที่ปลายเนิน

       ด้วยอาณาบริเวณที่กินพื้นที่กว้างไกลจนสุดสายตา เขาจึงคิดสร้างอาคารสวยงามหลังย่อม ๆ อีกหลังหนึ่ง ไว้สำหรับเป็นจุดรวมสายตาที่สุดปลายเนินด้านหลังของพระราชวัง เราพากันดั้นด้นเดินขึ้นเนินไปถึง จึงได้รู้ว่านอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว บนเนินแห่งนี้ยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ สำหรับส่งน้ำลงมาจากที่สูงสู่น้ำพุเบื้องล่าง โดยใช้หลักทฤษฎีแรงโน้มถ่วงในการสร้างแรงดันของน้ำพุยังไงหล่ะครับ นอกจากนั้นอาคารบนเนินแห่งนี้ ยังเปิดเป็นร้านเค้กหรูหราไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย เพื่อนผมทำท่าทีเล่นทีจริงจะชวนกันเข้าไป เล่นเอาต้องรีบส่ายหัวปฏิเสธเลยหล่ะครับ สำหรับผมแล้วมันคงเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆ หากจะต้องเข้าไปนั่งเชิดหน้าจิบชาเคล้าบรรยากาศอยู่ในนั้น ( ผิด = ไม่ถูก = แพงแน่ ๆ ) พอเห็นเค้ากินอะไรก็เลยชักเริ่มหิวขึ้นมาบ้าง จึงชวนกันเดินกลับลงมา แล้วขึ้นรถบ่ายหน้าเข้าเมืองเพื่อหาอะไรถูก ๆ (แต่อยู่ท้อง) กินประทังหิวกันดีกว่า


สระใหญ่บนเนินที่ทำหน้าที่กักน้ำและส่งต่อลงไปยังน้ำพุเบื้องล่าง

       ระหว่างที่กำลังรอจะขึ้นรถใต้ดินอยู่นั่นเอง ก็มีเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่างคุณลุงแก่ ๆ ชาวเติร์ก ที่เกิดดันไปยืนเงอะงะขวางทางพ่อเทพบุตรผมทองคนหนึ่งเข้า(จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ขั้นเทพอะไรนักหนาหรอกครับ แต่พฤติกรรมมันชวนให้พูดแขวะเท่านั้นเอง) แล้วไอ้ฝรั่งคนนี้ดันปากพล่อยไปด่าเขาด้วยถ้อยคำแรง ๆ บางอย่างเข้า ผู้ชายเติร์กอีกคนที่ไปด้วยกันกับลุงเลยเกิดยั๊วะตะโกนด่าไล่หลังไป ท้าทายให้กลับมาเอาเรื่องให้ได้ สุดท้ายก็ได้หญิงสาวเจ้าถิ่นอีกคนเป็นฝ่ายเคลียให้ แล้วเรียกคุณลุงกับญาติให้รีบขึ้นรถ ผมอดไม่ได้เลยหันไปพูดกับเพื่อนเป็นทำนองว่า "โชคดีแล้วหล่ะที่เราไม่ต้องมาอาศัยเขาอยู่ที่นี่ ต้องมาเป็นพลเมืองชั้นสองให้เขาดูถูกเหยียดหยาม" พูดเสร็จก็เหลือบไปเห็นว่ามีคุณป้าฝรั่งคนหนึ่งกำลังมองพวกเราอยู่อย่างสนใจ ไม่รู้ว่าแกจะฟังที่เราพูดเข้าใจหรือเปล่านะครับ แต่อย่างน้อยก็คงจะรู้สึกแย่ ที่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวได้เห็นภาพแบบนี้เข้า



โขงประตูด้านหนึ่งของพระราชวังหลวงโฮฟบวร์ก

       ที่หมายต่อไปคือพระราชวังหลวงโฮฟบวร์ก(Hofburg) อันเป็นที่ประทับหลักของราชวงฮับเบิร์กซึ่งปกครองดินแดนแถบนี้มานานเกือบพันปี พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าครับ อาณาบริเวณกว้างใหญ่ถูกแบ่งย่อยออกเป็นหลายส่วนให้เลือกชม แต่ด้วยงบประมาณและเวลาอันจำกัด เราจึงเลือกเข้าแต่ในส่วนที่จัดแสดงกรุสมบัติของราชวงศ์เท่านั้น คอลเลคชั่นที่จัดแสดงที่นี่ประกอบไปด้วยเครื่องทอง เครื่องเพชร เครื่องทรงและมงกุฏของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งเป็นคนละอันกันกับอาณาจักรโรมันโบราณนะครับ) ตำแหน่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ถูกอุปโลกน์ขึ้นโดยศาสนจักรโรมันคาทอลิก เพื่อเติมเต็มอำนาจและความชอบธรรมให้แก่ทั้งฝ่ายคริสตจักรและราชอาณาจักร สรุปให้เข้าใจง่ายก็คือคริสตจักรแข็งแกร่งขึ้นด้วยอำนาจของจักรพรรดิและกองทัพของพระองค์ และพระจักรพรรดิก็ได้รับอำนาจและความชอบธรรมจากการแต่งตั้งของศาสนจักร ดังนั้นทรัพย์สมบัติที่จัดแสดงอยู่ที่นี่จึงเน้นไปในทางการศาสนาเสียเป็นส่วนใหญ่ โชคดีที่สถานที่นี้อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ ผมจึงไม่ขอบรรยายอะไรให้เยิ่นเย้อไปกว่านี้นะครับ พูดมากไปเดี๋ยวข้อมูลจะไม่แม่นเสียเปล่า ๆ ขอลงรูปให้ชมแทนคำบรรยายแล้วกันครับ



มงกุฏ คฑา และลูกโลก อันเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของกษัตริย์ทางยุโรป



มงกุฏของจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

จอก เหยือก และถาดรอง ทั้งหมดทำจากทองคำประดับอัญมณี





เครื่องทรงในพระราชพิธีของสมเด็จพระจักรพรรดิ


ดาบและการตกแต่งประดับประดาที่เต็มไปด้วยรายละเอียด


ถุงมือผ้าไหมปักทับด้วยแผ่นทองและอัญมณี

พุ่มไม้ทองคำประดับอัญมณี

โอปอลขนาดเขื่องเท่ากำปันเด็ก

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

งานชิ้นนี้ทำเลียนแบบเข็มกลัดประดับเพชรกรีนเดรสเดรน

ปิ่นปักผมที่ดูเผิน ๆ แล้วคล้ายของทางบ้านเรามาก

งานชิ้นนี้แกะจากมรกตก้อนใหญ่มาก น้ำหนักเมื่อคะเนจากสายตาแล้วน่าจะหนักร่วม 1 กิโลกรัมหรือกว่านั้น





แท่นทองคำและเครื่องบูชาในคริสตศาสนา


เสื้อคลุมและรองเท้าปักเลื่อมประดับอัญมณี

       หลังจากเดินดูเครื่องเพชรจนถอดใจ(ด้วยปริมาณและมูลค่าที่มากมายมหาศาลของมัน) พวกเราจึงพากันเดินกลับออกมา เพื่อไปต่อยังมหาวิหารเซนต์สเตฟานส์ ในบริเวณจตุรัสกลางใจเมืองชื่อเดียวกัน(Stephansdom,Stephansplatz) มหาวิหารแห่งนี้เป็นอาคารในสไตล์กอธิครูปทรงสูงสง่า สัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของวิหารแห่งนี้ เห็นจะเป็นกระเบื้องมุงหลังคาหลากลวดลายและสีสัน แต่น่าเสียดายที่ตอนไปคราวนั้นเขาทำนั่งร้านครอบไว้เพื่อทำการบูรณะครับ เลยอดที่จะได้ภาพสวย ๆ มาฝากกัน วิหารกอธิคส่วนใหญ่ในยุโรป มักจะเน้นการประดับตกแต่งวิจิตรตระการตาที่ด้านนอก ส่วนภายในจะเน้นคานโค้งหัวเสาที่แผ่ออกไปคล้ายพัดคลี่ และการเล่นแสงที่ส่องผ่านเข้ามาทางกระจกสีหรือ Steinglass มากกว่า วิหารเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีครับ แต่โดยมารยาทเราควรจะบริจาคเงินลงกล่องซักนิดหน่อยตามศรัทธา ก็เหมือนกับเวลาเราเข้าวัดแล้วหยอดเงินลงกล่องเป็นค่าบำรุงต่าง ๆ นั่นแหล่ะครับ หลังจากเดินดูจนทั่วแล้วจึงชวนกันขึ้นไปดูวิวบนหอระฆัง ซึ่งตามปกติจะไม่ค่อยกล้าขึ้นกันหรอกครับ สาเหตุก็เพราะกลัวความสูงกันเป็นชีวิตจิตใจนั่นเอง แต่ไหน ๆ ก็คิดว่ามาถึงนี่แล้ว ลองปีนดูซักหอสองหอจะเป็นไรไป




เพดานของวิหารประดับค้านโค้งหัวเสารูปทรงคล้ายพัดคลี่

       บริเวณทางขึ้นหอมีห้องขายตั๋วดักอยู่แต่ไม่ยักมีคนเฝ้า ผมเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนพากันเดินขึ้นไปหน้าตาเฉยก็เลยเดินตามเขาจะขึ้นไป จังหว่ะนั้นเองอีตาคนเฝ้าซึ่งน่าจะเป็นแขกตุรกีก็โผล่ออกมา แกมองหน้าผมทำนองตั้งคำถามว่าจะไปไหน ผมก็เลยทำมือชี้ขึ้นไปข้างบนว่าจะขึ้นหอ พี่แกไม่พูดอะไรซักคำแต่ทำหน้าเหมือนไม่สบอารมณ์แล้วเอามือเคาะแรง ๆ ไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งที่แปะบอกราคาไว้ ผมเลยทำหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้แล้วเดินออกมาเฉย ๆ ซะอย่างนั้น ความจริงถ้าเขาพูดดีกว่านี้เราก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ กลับเต็มใจที่จะจ่ายเสียอีก แต่นี่ทำวางมาดข่มกันเหลือเกิน คงจะดูไม่เหมาะแน่หากเราจะไปอ่อนข้อให้ เขาแข็งมาเราก็แข็งไปหล่ะครับของแบบนี้ ยังไงซะเราก็ไม่ได้มาในฐานะทูตสันถวไมตรีซักหน่อย


ลวดลายบนหลังคาของวิหารบางส่วน

บริเวณโดยรอบจตุรัสเซนต์สเตฟานส์อุดมไปด้วยร้านค้าและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่

       หนึ่งในไฮไลต์สำหรับโชว์นักท่องเที่ยวที่นี่ก็คือการแสดงดนตรีคลาสสิคครับ ในฐานะเมืองเอกแห่งการดนตรี ที่นี่เคยเป็นบ้านและสถานที่แจ้งเกิดของนักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่หลายคน อาทิ ไฮเดน บีโธเฟ่น เชินแบร์ก และ โมซาร์ท บริเวณจตุรัสและสถานที่ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวหลายแห่ง จะมีคนแต่งกายด้วยชุดโบราณคอยยื่นโบร์ชัวร์อยู่เต็มไปหมด ถ้าใครสนใจจะไปชมก็สามารถซื้อบัตรและสำรองที่นั่งที่เขาได้เลยครับ งานมักจะเริ่มในตอนค่ำด้วยดินเนอร์หรู พร้อมตบท้ายด้วยเสียงเพลงขับกล่อมจากวงออเคสตร้าขนาดย่อม แต่หากคุณเป็นคนไม่สันทัดกรณีหรือหูถึงขนาดนั้น ก็ยังสามารถหาชมหาฟังดนตรีคลาสสิคสด ๆ ได้ทั่วไปตามริมถนนครับ ฝีไม้ลายมือของแต่ละคนชั้นครูเลยทีเดียว แถมบางคนยังมาในชุดทักสิโด้เสียเต็มยศ จนอดคิดไม่ได้ว่าพี่แกมารับจ๊อบเล่นริมถนนก่อนไปเล่นจริงกับวงหรือเปล่า เพลงบางเพลงที่เล่นก็ไพเราะเสียจนใครหลายคนแอบปาดน้ำตาไปด้วยขณะฟัง เห็นแล้วอดคิดถึงน้อง ๆ หนู ๆ หลายคนที่พยายามเอาไวโอลินมาสีที่ถนนคนเดินวันอาทิตย์ที่เชียงใหม่ไม่ได้ อยากให้พวกน้องได้มาฟังมืออาชีพเขาเล่นกันที่นี่เหลือเกินครับ เผื่อจะเกิดแรงฮึดในการฝึกซ้อมให้เล่นกันเป็นเพลงกว่านี้ ที่พูดนี่ก็เพื่อให้กำลังใจนะครับ ไม่ได้คิดจะติติงอะไรเลยจริง ๆ

ความสะอาดเรียบร้อยของย่านช็อปปิ้งบริเวณโดยรอบจตุรัสเซนต์สเตฟานส์

       ออสเตรียยังเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรคริสตัล และแบรนด์ที่เชิดหน้าชูตาของเขาที่สุดก็คือสวารอฟสกี้นั่นเองครับ(Swarovski) มีช็อปใหญ่ ๆ เปิดขายอยู่ทั่วไปในเวียนนา แต่โรงงานและแหล่งผลิตจริง ๆ จะอยู่อีกเมืองหนึ่ง เอาไว้บทหน้าถ้าถึงเมืองนั้นจะเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ จริง ๆ แล้วพวกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษหรอกนะครับ กับไอ้เจ้าคริสตัลอะไรที่ว่าเนี่ย ถึงมันจะสวยงามก็จริงแต่ราคาแพงหูฉี่ แถมยังน้ำหนักมากและแตกหักง่ายอีกต่างหาก ด้วยคุณสมบัติพิเศษนานาข้างต้น มันจึงดูไม่เหมาะแก่การเสียเงินซื้อหรือหิ้วกลับไปฝากใครด้วยประการทั้งปวง แต่เมื่อมาถึงแหล่งแล้วจะไม่ให้พูดถึงเลยก็ดูจะกระไรอยู่ อย่างน้อยก็ขอถ่ายภาพวินโดว์ดิสเพลย์สวย ๆ มาฝากแทนก็แล้วกันนะครับ


ดิสเพลย์สวย ๆ หน้าช็อปของสวารอฟสกี้

       วันนี้จบวันในเวียนนาด้วยความอิ่มเอิบครับ โชคดีที่อากาศเป็นใจ บ้านเมืองของเขาสวยงามเป็นระเบียบ แม้ว่าในบางมุมจะดูหวานจนเลี่ยนไปซักหน่อย แต่ก็สมกับชื่อเมืองแล้วหล่ะครับ ที่พอได้ยินทีไร ไพล่นึกไปถึงชุดเจ้าสาวหรือไม่ก็เค้กแต่งงานทุกที ส่วนอาหารการกินข้างถนนที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลาย ด้วยความที่มีชาวตุรกีอพยพมาอยู่กันมาก จึงมีร้านเคบับและพิซซ่าแบบตุรกีที่แสนอร่อยและราคาย่อมเยาให้พบเจออยู่ทั่วไป แปลกแต่จริงที่อาหารในร้านบางอย่างราคาถูกกว่าโค้กและน้ำเปล่าครับ แถมถ้าซื้อกลับบ้านโดยไม่เอาถุงและกล่องก็จะประหยัดเงินไปได้อีกโข ดังนั้นพวกเราจึงเดินถือออกมากินกันข้างนอกร้าน แล้วไปซื้อเครื่องดื่มจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแทนซึ่งราคาถูกกว่าเป็นไหน ๆ แขกตุรกีที่ว่าเขี้ยว ถ้าได้รู้พฤติกรรมของลูกค้าคนไทยกลุ่มนี้เข้า พี่แกคงส่ายหัวด้วยความเอือมกันเลยหล่ะครับ



ตึกสวยและถนนสะอาดในเวียนนา

       เมืองเวียนนาดู ๆ ไปเหมือนจะเล็ก แต่จริง ๆ แล้วกว้างขวางแถมถนนหนทางซับซ้อนจนน่าเวียนหัว ด้วยผู้คนที่หลากหลายและแออัด การเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนอาจก่อให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ก็ถือเป็นสีสันให้พอตื่นเต้นนะครับ คนหนุ่มสาวรูปร่างหน้าตาดีแต่งกายสวยงามทันสมัย แถมยังนิยมฉีดน้ำหอมกันจนฟุ้ง แต่มันน่าติอยู่อย่างคือวัฒนธรรมการสูบบุหรี่ของที่นี่  เหมือนกับว่าพอมีกฏหมายห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่ปิดเช่นสำนักงานร้านค้าหรือภัตตาคารออกมา พ่อเจ้าประคุณแม่คุณถึงได้พร้อมใจกันออกมาสูบกันเต็มถนนหนทางไปหมด เรียกได้ว่าไปหยุดจ่อมกันอยู่ตรงไหนนานไม่ได้หล่ะครับ ไม่ใครก็ใครเป็นต้องควักเอาบุหรี่ออกมาสูบพ่นควันเผื่อแผ่ชาวบ้านเขาไปทั่ว นี่ขนาดว่าผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่สูบ(ซึ่งปัจจุบันเลิกเด็ดขาดแล้ว) ก็ยังอดรู้สึกอึดอัดไปกับควันบุหรี่ไม่ได้ พึ่งรู้ตัวตอนนั้นเองครับว่าควันบุหรี่ที่เราสูบกับเขาสูบนั้น กลิ่นมันฉุนแตกต่างกันลิบลับขนาดไหน



วิวจากหน้าต่างห้องในเช้าวันที่อากาศไม่เป็นใจ

       เราพักกันที่นี่สามคืนครับ ในเช้าวันที่สามอากาศแย่จัด มีหมอกลงหนาแถมสายฝนก็โปรยปรายเสียจนไม่อยากออกไปไหน พอดีอ่านเจอจากหนังสือแนะนำแหล่งเที่ยวว่ามีเส้นทางรถไฟนอกเมืองอยู่สายหนึ่ง มีวิวที่สุดแสนสวยงามชวนฝันก็เลยชวนกันไป ตอนออกตั๋วเจ้าหน้าที่เขาถามว่าจะไปลงที่ไหน แต่ด้วยความไม่รู้เลยบอกไปว่าขอนั่งไปจนสุดทางก็แล้วกัน วันนี้ทั้งวันก็เลยเหมือนไปปิคนิคนอกเมืองกันครับ มีการเตรียมอาหารไปกินกลางทางบนรถไฟกันอย่างเอิกเกริก ตอนนั่งโซ้ยกันอยู่นั่นเองก็มีพนักงานรถไฟเข็นรถมาเสนอขายอาหารจำพวกของว่างและเครื่องดื่มถึงที่  พวกเราตอบปฏิเสธเธอไปด้วยความขวยเขินว่า "เตรียมมาเองจากบ้านแล้ว" พอถึงปลายทางก็ยังไม่วายวิ่งไปดูของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อตุนกลับมากินบนรถไฟในขากลับต่อ สรุปแล้วก็ได้นั่งรถขบวนเดิมนั่นแหล่ะครับกลับมา แถมยังเจอพนักงานรถไฟคนเดิมเข็นรถมาถามอีกเหมือนผีหลอก ฝ่ายเขาก็คงนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าไอ้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เมื่อเช้าก็เห็นมันนั่งโซ้ยอะไรกันอยู่นี่หว่า ขากลับมาเจอกันอีกแล้ว


บ้านเรือนในชนบทของออสเตรีย เนินโล่ง ๆ ด้านหลังคือลานสำหรับเล่นสกีในวันที่หิมะละลายหมดแล้ว


สะพานหินและอุโมงค์ ที่ทำให้การนั่งรถไฟของที่นี่มีสีสันขึ้น

       ไหน ๆ ก็นั่งรถชมวิวทั้งที จะไม่พูดถึงวิวเลยก็คงไม่ได้นะครับ สองข้างทางที่นี่อุดมไปด้วยรีสอร์ตสกีร้างเต็มไปหมด สาเหตุหนึ่งที่ร้างก็เพราะเราไปกันผิดฤดูครับ หิมะละลายสูญสลายไปหมดแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะว่ารีสอร์ตหลายแห่งโดนระเบิดทำลายลงตั้งแต่ยุคสงครามโลก จนป่านนี้ก็ยังไม่มีเงินมาซ่อมแซมบูรณะ สองข้างทางป่าเขาถึงจะดูไม่สวยมากแต่ก็ได้ไอหมอกและสายฝนเป็นตัวช่วย ทำให้บรรยากาศมันเจือความโรแมนติคขึ้นมาอีกโข สำหรับเด็กและไม่เด็กชาวไทยหลาย ๆ คน ที่รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเวลานั่งรถไฟลอดอุโมงค์ขุนตาล ผมขอแนะนำให้มาที่นี่ครับแล้วจะไม่ผิดหวัง เพราะรถไฟสายนี้มุดเข้ามุดออกอุโมงค์เป็นว่าเล่นเสียจนลืมนับ แต่สำหรับผมแล้วอุโมงค์มืด ๆ จะสู้อะไรได้กับวิวนอกหน้าต่าง ยามที่รถไต่เลี้ยวเลาะไปบนขอบเขาและผาชัน อีกทั้งบ้านเรือนหลังเล็กหลังน้อยตามไหล่เขานั่นอีกเล่า ที่แข่งกันปล่อยควันลอยฟุ้งออกมาจากปล่องบนหลังคา เห็นภาพแบบนี้แล้วก็เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ที่ฝรั่งเขาว่า Home Sweet Home นั้น ที่แท้มันหมายถึงอย่างนี้นี่เอง เอาหล่ะครับขอหมดวันที่สามในเวียนนาเสียทีด้วยรถไฟและสายฝนอันเย็นฉ่ำ(ที่ดูท่าว่าจะไม่หยุดเสียที)  


       ก่อนนอนยังอดไม่ได้ที่จะเข้าไปเช็คข่าวคราวทางเมืองไทยจากอินเตอร์เน็ต การเมืองในตอนนั้นตีบตันจนแทบจะหาทางออกไม่เจอ ไม่รู้ว่าคนไทยกลุ่มนี้ยังจะต้องการอะไรอีก ในเมื่อชีวิตนั้นสุดแสนจะโชคดีขนาดนี้ ได้อยู่ในบ้านเมืองที่ร่มเย็นสงบสุข แถมข้าวปลาอาหารยังอุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญได้เกิดมาอยู่ภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนบางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่า อยากให้เขาเหล่านั้นได้ลองสัมผัสรสชาติของสงครามและความอดอยากดูบ้าง หรือไม่ก็ถูกปกครองด้วยระบอบที่ทารุณกดขี่เหมือนหลายชาติแถบนี้เคยพบเจอ เพื่อพวกเขาจะได้รู้กันเสียทีว่าเผด็จการที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร แล้วเมื่อถึงวันนั้น ก็คงจะไม่สามารถเรียกร้องให้อะไรมันกลับคืนเหมือนเดิมได้อีกแล้ว