วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

รอนดา.....เคว้งคว้างอยู่กลางหาว Ronda, Spain


    วันนี้จะลองให้โอกาสคุณแม่แก้ตัวสักครั้ง เสียเงินเช่าเธอมา 4-5 วันนี้ยังหาประโยชน์อันใดไม่ได้ อะไรที่ควรจะง่ายเธอกลับทำให้มันยากกว่าเก่าหลายเท่า จะว่าไปก็เหมือนเอานกแก้วนกขุนทองมาเกาะหน้ารถไว้ แล้วหล่อนก็จ้อไปเรื่อยเปื่อยเหมือนไม่รู้ความหมาย คนที่ต้องคอยทำตามอย่างพวกเรามีแต่เหนื่อยกับเหนื่อยหล่ะครับ
       หลังจากเก็บข้าวเก็บของขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย ก็เป็นอันว่าพร้อมจะออกเดินทางแล้ว ก่อนออกรถก็ไม่ลืมที่จะตั้งค่าปลายทางเสียหน่อย เอาอย่างง่ายที่สุดก็คือใส่แต่ชื่อเมืองอย่างเดียวเลยแล้วกัน คุณแม่จะได้ไม่งงมากนัก เมื่อรถพร้อม คนและระบบนำทางพร้อม ก็ออกเดินทางกันได้แล้วครับ

ที่ราบสูงแห้งแล้งสลับทิวเขาและสวนมะกอก

       พี่สารถีขับตามที่เธอบอกมาได้ซักพัก จนเกือบจะพ้นเขตเมืองอยู่มะรอมมะร่อ ชนิดที่ว่ามองไปข้างหน้าแค่ไม่กี่ช่วงตึก ก็จะเห็นที่ราบโล่งอันเป็นสัญลักษณ์ของโลกภายนอกแล้ว อยู่ ๆ คุณแม่ก็บอกให้เลี้ยวรถเข้าไปในซอยเล็ก ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ เอาไงดีหล่ะครับทีนี้ ในเมื่อแม่บอกให้เลี้ยวเราก็เลี้ยวสิครับ ตามประสาคนว่านอนสอนง่ายเขาพึงกระทำกัน
       แต่แล้วซอยที่เลี้ยวเข้าไปนั้นมันก็กลับแคบลง ๆ จนพวกเราหายใจแทบไม่ออกเพราะกลัวรถติด (ในที่นี้หมายถึงติดอยู่ในซอยนะครับ เพราะรถคันใหญ่แต่ซอยแคบมากแถมยังต้องเลี้ยวหักมุมอีกหลายจุด) สุดท้ายด้วยความสามารถของพี่โซเฟอร์ จึงได้ค่อย ๆ นำรถกระเถิบออกมาจนทะลุปากซอยได้ แต่อนิจจา ปากซอยที่เราโผล่ออกมามันก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับทางเข้าเมื่อกี้นี้ แถมยังอยู่บนถนนเส้นเดียวเส้นเดิมอีกต่างหาก แล้วคุณแม่ให้พวกเราดั้นด้นเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ นั้นเพื่อหาสวรรค์วิมานอะไรกันหล่ะครับเนี่ย


       เอาเป็นว่าสำหรับคุณแม่แล้ววันนี้พอแค่นี้ก่อน ถ้าให้เธอทำหน้าที่ต่อ เห็นทีพวกเราจะต้องเหนื่อยไปมากกว่านี้ ตกลงกันว่าพอออกนอกเขตเมืองแล้ว ขับรถตามป้ายไปจะเป็นการดีกว่า ช่วงไหนหาป้ายไม่เจอค่อยปลุกเธอขึ้นมาถามใหม่ ดูท่าพื้นเพคุณแม่คงจะเป็นคนบ้านนอกหน่ะครับ เธอเลยถนัดกับเส้นทางสายนอกเมืองแถบชนบทมากกว่าในเมืองอย่างที่เห็น
       แล้วก็ถึงรอนดาจุดหมายปลายทางแห่งสุดท้ายของทริปนี้ครับ หลังจากเข้าที่พักเอากระเป๋าสัมภาระไปเก็บเป็นที่เรียบร้อย ก็พากันลุยเดินเที่ยวต่อกันเลย


บ้านเรือนสองฝั่งตั้งประจันหน้ากันโดยมีหุบเหวและผากั้น

       รอนดาเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยสเน่ห์อันน่าฉงนฉงาย อย่างที่เคยกล่าวถึงมาบ้างแล้วในบทก่อน ๆ นะครับ ว่าบ้านเมืองส่วนใหญ่ในสเปนจะนิยมสร้างอยู่บนเนินเขาหรือที่ราบสูง วัตถุประสงค์ก็เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ข้าศึกรุกรานได้ง่าย ๆ นั่นเอง แต่ที่รอนดาแห่งนี้คือสุดยอดของที่สุดครับ เพราะเล่นตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันร่วมร้อยเมตรเลยทีเดียว ลักษณะเด่นของภูมิประเทศอันเป็นที่ตั้งของเมืองก็คือ เป็นที่ราบที่ยกตัวสูงขึ้นด้วยเหตุผลบางประการทางธรณีวิทยา แล้วก็มีโตรกธารน้ำเชี่ยวกรากผ่ากลาง คอยกัดเซาะให้ผืนดินแยกจากกันเป็นหุบเหวลึก แล้วก็ยังมีสายลมเป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง เลยทำให้หน้าผาแต่ละด้านสูงชันจนน่าใจหาย
       อาคารหลายหลังสร้างไว้ชิดอย่างหมิ่นเหม่อยู่ริมผาสูง โดยบางหลังอาจจะเว้นที่ห่างออกมาจากขอบผา เพียงแค่หนึ่งหรือสองช่วงตัวเท่านั้นเองครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียวไส้จนเกินไปนัก บ้านบางหลังจึงทำขอบกั้นนิดหน่อยให้พอเป็นพิธี แล้วดัดแปลงพื้นที่ตรงลานนั้นเป็นเฉลียงหลังบ้านเอาไว้นั่งรับลมชมวิว



ตึกรามบ้านเรือนที่ตั้งชิดอยู่ริมหน้าผาอย่างหมิ่นเหม่

       ด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก มีทัศนียภาพสวยงามแปลกตาและโรแมนติคอยู่ในที รอนดาจึงดูจะเหมาะมากกับบ่าวสาวคู่ข้าวใหม่ปลามัน สำหรับมาฮันนีมูนหรือดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันครับ แต่ดูท่าคงจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับคู่รักที่อยู่กันมานานจนระหองระแหง ความที่ว่าเส้นทางเดินชมวิวสองฝั่งเหวนั้นสูงชัน จับพลัดจับผลูดันทะเลาะกันขึ้นมากลางทางแล้วหล่ะก็ ดีไม่ดีอาจจะเกิดการบันดาลโทสะผลักใครคนใดคนหนึ่งลงไปได้ง่าย ๆ
       คนอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ควรมาเที่ยวรอนดาเลย ก็คือพวกที่มีปัญหาชีวิตรุมเร้าจนหาทางออกไม่ได้นั่นแหล่ะครับ ขนาดว่าผมเองเป็นคนที่ไม่ค่อยมีปัญหาชีวิตอะไรกับเขา แต่ทุกครั้งที่เดินไต่เดินข้ามแล้วแอบชะโงกลงไป ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้ากลั้นใจโดดวูบเดียวก็คงจบ
       บ้านเรือนที่นี่จะสร้างกันหลังไม่ใหญ่มากนัก แม้แต่วังของเจ้าเมืองเองก็ดูเป็นบ้านคนธรรมดา ๆ ซึ่งถ้าไม่มีป้ายบอกไว้ก็คงจะไม่มีใครรู้ ด้วยขนาดของเมืองที่ไม่ได้กว้างขวางมากนัก จึงใช้เวลาเดินแค่ครึ่งวันก็ทั่วแล้วหล่ะครับ เมืองนี้แบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยมีเหวลึกกั้นกลาง ฝั่งเล็กเป็นเขตเมืองเก่า ส่วนฝั่งที่ใหญ่กว่าเป็นเขตเมืองใหม่ ไฮไลต์สำคัญอีกอย่างของเมืองก็คือสะพานสูงใหญ่เชื่อมแผ่นดินสองฝั่งนั่นเอง



สะพานใหม่เชื่อมเมืองสองฝั่งเมื่อมองจากมุมต่าง ๆ

       สะพานแห่งนี้มีชื่อว่า ปูเอนเต้ นูโว(Puente Nouvo) หรือแปลเป็นไทยได้ง่าย ๆ ว่าสะพานใหม่ครับ ตัวสะพานนับได้ว่าเป็นนวัตกรรมแห่งยุคเลยทีเดียว เพราะสร้างเชื่อมในจุดที่แคบสุด แต่ก็เป็นจุดที่ลึกสุดอีกเช่นกัน สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1793 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 43 ปี โดยที่ก่อนหน้านั้นราวสิบกว่าปีก็ได้มีความพยายามสร้างในจุดเดียวกันนี้มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอใช้งานไปได้แค่ 5 ปีสะพานก็พังทลายลง มา หลังจากนั้นจึงได้มีการพยายามสร้างขึ้นมาใหม่ โดยออกแบบโครงสร้างให้แข็งแรงแน่นหนากว่าเดิมครับ


สะพานมัวร์

       เหตุที่เขาขนานนามสะพานแห่งนี้ง่าย ๆ ว่าสะพานใหม่ ก็เพราะว่าในบริเวณใกล้ ๆ กันนั้นยังมีสะพานเล็ก ๆ อีกสองแห่งที่เก่าแก่กว่ามากตั้งอยู่ครับ สะพานแห่งแรกตั้งอยู่ในจุดต่ำสุดและเข้าถึงง่ายที่สุดเป็นของโรมัน ส่วนสะพานอีกแห่งอยู่สูงขึ้นมาอีกหน่อยเป็นของมัวร์ ตัวเมืองทั้งสองฝั่งถึงแม้จะโอบล้อมด้วยหน้าผาสูงชัน แต่ก็มีด้านข้างค่อนไปทางหลัง ที่พอจะเป็นทางลาดให้ชาวเมืองอาศัยเดินเข้าเดินออกได้ ในด้านนี้ของเมืองจึงมีการสร้างประตูเมืองและกำแพงกั้นโอบไว้อีกชั้นหนึ่งครับ  
       มาถึงสเปนทั้งที ถ้าไม่ได้พูดถึงกีฬาประจำชาติอย่างการสู้วัวกระทิงก็กระไรอยู่ ความจริงตั้งใจจะพูดถึงตั้งแต่เมืองแรก ๆ แล้วหล่ะครับ แต่ที่ยกยอดมาไว้ในบทสุดท้าย ก็เพราะกีฬาประเภทนี้มีพัฒนาการก้าวสำคัญเกิดขึ้นที่นี่ครับ


       แรกเริ่มเดิมทีนักสู้วัวหรือมาร์ทาดอร์จะนั่งอยู่บนหลังม้า จนกระทั่งราวศตวรรษที่ 18 นักสู้วัวชาวรอนดาชื่อ ฟรานเซสโก โรเมโร และ เปโดร โรเมโร ได้เป็นผู้ริเริ่มให้การสู้วัวเป็นอาชีพขึ้นมา โดยมีการปรับเปลี่ยนเป็นยืนสู้วัวอยู่บนพื้นดินแทน เขาเป็นผู้คิดใช้เสื้อคลุมสีแดงมาล่อวัว ตลอดชีวิตของพวกเขาได้อุทิศให้กับการสู้ และการฝึกนักสู้วัวจนได้รับการยกย่อง ว่าเป็นบิดาแห่งกีฬาสู้วัวกระทิงยุคใหม่ของสเปนครับ
       ในบริเวณฝั่งเมืองใหม่ใกล้ ๆ กันกับสะพาน Puente Nouvo มีสนามกีฬาสู้วัวกระทิงตั้งอยู่ เห็นเขาบอกว่าสนามแห่งนี้เป็นสนามที่สวยที่สุดในสเปน เพราะมีฐานและเสาลูกกรงรอบทำจากหินล้วน แต่ว่าพวกผมก็ไม่ได้เข้าไปชมข้างในกันหรอกนะครับ ได้แต่เดินผ่าน ๆ เพราะแดดร้อน แล้วพากันหลบเข้าไปนั่งเล่นอยู่ในสวนสาธารณะใกล้ ๆ นั้นแทน ภายในสวนแห่งนี้มีอาณาบริเวณร่มรื่นมากแล้วก็มีรูปหล่อโลหะของบรรดานักสู้วัวกระทิงคนดังในประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ แน่นอนว่าต้องมีสองคนที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้วรวมอยู่ด้วยครับ


ระเบียงชมวิวที่ทำยื่นออกไปในอากาศ

       ด้านหลังของสวนแห่งนี้ประชิดติดขอบผา มีจุดชมวิวที่ทำเป็นระเบียงยื่นเลยออกไปกลางอากาศ สำหรับนักท่องเที่ยวเดินออกไปให้ใจหายเล่น ผมเองไปยืนดูวิวอยู่ตรงนั้นได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องถอยออกมา เพราะมันทั้งสูงและเสียวจนแข้งขาอ่อนไปหมด หลังจากเดินเที่ยวมาค่อนบ่ายทั้งเหนื่อยและหิว ก็พอดีกับที่สายตาเหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งที่คุ้นเคย 'แม็คโดนัลด์' ไงครับ และแล้วก็เกิดเรื่องตื่นเต้นขึ้นจนได้
       แต่ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องความประทับใจเล็ก ๆ ก่อนนะครับ กล่าวคือขณะที่กำลังรอคิวจะสั่งอาหารอยู่นั่นเอง ก็มีเด็กอนุบาลตัวเล็ก ๆ เข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ พากันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวล้อมเคาท์เตอร์เต็มไปหมด เมื่อพนักงานหันมากำลังตั้งท่าจะรับออร์เดอร์จากเด็ก ๆ  ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นบอกเขาไปประมาณว่า เด็กมาทีหลังพร้อมทั้งชี้มือมาทางผมเป็นนัยว่าคนนี้มาก่อน ตรงนี้อยากจะขอชมเชยเขาเหลือเกินครับว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ที่รู้จักปลูกฝังให้คนของเขามีระเบียบวินัยตั้งแต่ยังเล็ก แม้มันจะเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตามที


       เรื่องการต่อแถวเข้าคิวทำธุระหรือซื้อของนั้น จากประสพการณ์ตรงของผมเองคิดว่า ชนชาติที่มีมารยาทในด้านนี้ค่อนข้างแย่ก็คือ อินเดีย จีน เกาหลี แล้วก็ไทยครับ แล้วก็จะเป็นกับผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเพราะอะไรผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะแย้งขึ้นมาว่า ผมอาจจะลำเอียงหรือมีอคติทางเพศและเชื้อชาติ ยังไงก็หาทางพิสูจน์กันเอาเองนะครับ จะลองจดดูเป็นสถิติเอาไว้ก็ได้ หากได้ข้อมูลอะไรที่สามารถหักล้างกันได้ ผมก็พร้อมและน้อมรับเสมอครับ


บ้านเรือนบางส่วนที่ตั้งอยู่ริมเชิงผาเมื่อมองลงไปจากด้านบน

       เอาหล่ะครับนอกเรื่องไปเสียไกล เรามาเข้าเรื่องกันต่อเลยดีกว่า ขณะที่ยืนรอจะสั่งอาหารนั้นเอง ผมรู้สึกว่ามีเด็กผู้ชายอายุอานามน่าจะไม่เกิน 13 ปี กำลังมองมาทางผมด้วยความสนใจ ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจนักและนึกว่าคิดไปเอง จนมาแน่ใจเมื่อเพื่อนผมสะกิดบอกว่าเด็กคนนั้นมองอยู่จริง ๆ หลังจากกินเสร็จแล้วผมก็ไปเข้าห้องน้ำ เด็กคนเดิมคนนี้ก็วิ่งตามเข้ามาแล้วถามผมว่า "เป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่า" ผมก็ตอบปฏิเสธไปว่า "ไม่ใช่" พลางคิดในใจว่า 'ชะรอยไอ้เด็กคนนี้สงสัยจะดูหนัง AV เย๊อะเสียจนฝังใจอะไรกับคนญี่ปุ่นแน่ ๆ' หลังจากยืนคุยไปได้สักพักพอเห็นผมไม่มีท่าทีตอบสนองใด ๆ เขาก็เลยขอตัวเดินจากไป เฮ้อ! เกือบไปแล้วสิครับ เกือบโดนซิวเข้าตะรางฐานพรากผู้เยาว์เสียแล้ว



       เย็นนี้ได้มีโอกาสชิมอาหารทะเลสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน เป็นจานลวกง่าย ๆ กินแกล้มกับไวน์ แต่น่าเสียดายดันโรยเกลือมาเสียเค็มปี๋ ยังนึกอยู่เลยครับว่าถ้ามีน้ำจิ้มสามรสคงจะอร่อยกว่านี้ พวกเรานั่งกินกันไปคุยกันไปจนชักจะออกรส และดูท่าว่าจะเสียงดังเกินไปซักหน่อย สังเกตได้จากอาการโต๊ะข้าง ๆ ที่คอยหันมามองเชิงตำหนิอยู่เป็นระยะ ถึงตอนนี้แต่ละคนเมากรึ่มจนได้ที่ คงไม่มีใครฟังใครแล้วหล่ะครับ
       คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของที่นี่และเป็นทริปสุดท้ายของผมในยุโรป วันถัดมาพวกเราขับรถตรงสู่เซบีญ่าโดยไม่แวะที่ไหนอีก คุณแม่ยังคงพูดจ้อไปเรื่อยเปื่อยเหมือนเดิมซึ่งก็ไม่มีใครซีเรียสอะไรแล้ว เมื่อถึงเซบีญ่าเราก็ตรงดิ่งสู่สนามบินแล้วเอาเธอไปคืนพร้อมรถที่นั่น จากนั้นก็หอบกระเป๋าขึ้นเครื่องบินกลับอัมสเตอร์ดัมทันที

ใต้สะพานเหนือช่องโค้งมีห้องที่ในสมัยก่อนใช้คุมขังนักโทษคดีอุกฉกรรจ์



       แล้วก็เหมือนเคยครับ กับระยะเวลาสองชั่วโมงกว่าที่ต้องนั่งทนเขย่าโขยกไปตลอด สอบถามพวกพี่ ๆ เขาก็บอกว่าเป็นเพราะบินไม่สูงมากเครื่องเลยสั่นแบบนี้ ดูคนอื่น ๆ เขาก็ทำหน้าเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติ เลยทำให้ผมค่อยคลายความกังวลลงหน่อย
       เมื่อถึงอัมสเตอร์ดัมทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ พวกพี่ ๆ ไปทำงานกันส่วนผมก็พักผ่อนเอาแรงอีกสองวันก่อนเดินทางกลับ และแล้วก็มาถึงบทส่งท้ายเสียทีนะครับสำหรับทริปแรก ขอบคุณทุกคนที่ได้ติดตามอ่านเรื่อยมา การเดินทางไกลแต่ละครั้งมักจะมีเรื่องราวรายทางให้ได้เก็บเกี่ยวเป็นประสพการณ์เสมอ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราวของผมที่ได้นำเสนอไป จะเป็นตัวช่วยจุดประกายหรือเปิดโลกทัศน์ให้ใครต่อใครอีกหลายคน และหากว่าจะมีโอกาสกันสักครั้งก็อยากให้ลองจัดทริปไปกันเองดูนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่ยากเลย ในยุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดนอย่างทุกวันนี้ ขอให้ทุกคนโชคดี สวัสดีครับ      
      
      
      

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

แกรนาดา.....ในความคำนึง Granada, Spain


      "There is no pain in life so cruel as to be blind in Granada." "ไม่มีความเจ็บปวดใดอีกแล้วในชีวิตที่จะแย่ยิ่งกว่าการตาบอดในแกรนาดา" คำกล่าวอ้างที่จารึกไว้บนกำแพงวังแห่งนี้ ดูไม่เกินจริงเลยในทางโลกสำหรับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเรานะครับ มนุษย์กิเลสหนาผู้ที่ยังยึดติดกับรูปสัมผัสอยู่ สำหรับคนที่ตาบอดแต่กำเนิดคงจะไม่เท่าไหร่ แต่หากเกิดและเติบโตมาในที่แห่งนี้ แล้วต้องโชคร้ายตาบอดในภายหลัง ก็คงยากที่จะทำใจได้


ทิวทัศน์ของเมืองแกรนาดา เมื่อมองลงมาจากพระราชวังอัลฮัมบรา

       "There is no worse than to be lost in Granada with a stupid GPS" คุณแม่เล่นพวกเราอีกแล้วครับ หลังจากที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งตั้งครึ่งค่อนวัน ขับฝ่าเนินเขาและดงสวนมะกอกลูกแล้วลูกเล่า กว่าจะมาถึงแกรนาดาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยและเพลียไปหมด พวกพี่ ๆ คงไม่เท่าไหร่หรอกครับ เพราะกลางทางได้แวะทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อยแล้ว ส่วนผมไม่ได้ทานอะไรกับเขาเลย(อาหารไม่ถูกปากอีกแล้ว) ระหว่างที่รอเลยเดินไปดูสวนมะกอกแถวนั้น หมายจะเก็บลูกมันมาแทะเล่นประทังหิวเสียหน่อย แต่พอลองเด็ดจากต้นมากัดดู  โอ้โห...รสชาติฝาดปนขมบอกไม่ถูก

ทีมงานและรถคู่ใจ ขณะจอดพักดูสวนมะกอกระหว่างทาง

       ผู้คนแถบนี้เขาปลูกมะกอกกันเป็นล่ำเป็นสัน ชนิดที่ว่าแทบจะไม่สามารถหาพืชผักหรือไม้ผลชนิดอื่นได้เลยหล่ะครับ เห็นเขาบอกว่าพืชที่สามารถขึ้นได้ดีในสภาพดินและอากาศแบบนี้ ก็เห็นจะมีแต่มะกอกเท่านั้น โชคดีเป็นของเขาไปนะครับ ที่น้ำมันมะกอกสามารถทำราคาได้ แล้วก็มีตลาดรองรับใหญ่ ๆ อยู่ทั่วโลก ชาวสวนมะกอกเลยไม่ต้องคอยปวดหัวกับนโยบายรับจำนำหรือประกันราคา ที่คอยสับเปลี่ยนไปมาตามอารมณ์รัฐบาลเหมือนกับบ้านเรา แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดสงครามขึ้นมา หรือเกิดภัยพิบัตข้าวยากหมากแพงจะหาอะไรกินได้หนอ จะให้แบกเสียมเข้าป่าหาเผือก,กลอยหรือหน่อไม้นั้น คงจะเป็นอะไรที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด
       แล้วเราก็หลงทางเป็นรอบที่ร้อยแปด เสียเงินเช่าคุณแม่มาคงเพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงาเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องใช้ระบบดั้งเดิมที่สุดนั่นคือจอดรถถามทางเอา แต่มันก็เหนื่อยตรงที่หาคนพูดภาษาอังกฤษได้ยากเต็มทีอีกนั่นแหล่ะครับ สุดท้ายแล้วก็หาโรงแรมเจอจนได้แต่อุปสรรคก็ยังไม่หมดไป โรงแรมเจ้ากรรมดันอยู่ตั้งชั้น 5 แล้วลิฟท์ก็เสียอีกแล้ว(โรงแรมชั้น 5 กับลิฟท์เสีย ทริปนี้เจอสองรอบแล้วครับ) กว่าจะลากกระเป๋าขึ้นไปได้หมดก็เล่นเอาหืดจับกันเลยทีเดียว


ร้านรวงและบ้านเรือนในแกรนาดายามค่ำคืน

       เย็นนี้เป็นโปรแกรมชมเมืองแบบผ่าน ๆ ครับ แล้วพวกพี่ ๆ ก็พากันไปดินเนอร์กันที่ร้านอาหารเชิงเขาข้างพระราชวัง ผมเองก็ไปด้วยแต่ไม่อยากทานเลยแยกไปเดินเล่นและถ่ายรูปอยู่แถวนั้น เสร็จแล้วจึงเดินกันต่อเป็นการย่อยอีกซักพักแล้วจึงกลับห้องแยกย้ายไปนอน
       แกรนาดา(Granada) เป็นเมืองหลวงและที่มั่นของมัวร์แห่งสุดท้ายในภูมิภาคนี้ครับ แคว้นอันดาลูเซียถูกปกครองโดยแขกมัวร์อยู่นานร่วม 780 ปี หลังจากที่โดนสเปนปิดล้อมอยู่แรมปี สุดท้ายสุลต่านมัวร์โบอับดิลแห่งราชวงศ์นาสริดส์(Nasrids)จึงยอมจำนนเปิดประตูและมอบกุญแจเมืองให้แต่โดยดี

วิวเมืองอีกด้านหนึ่งจากพระราชวังอัลฮัมบรา อาคารหลังใหญ่สุดที่เห็นคือมหาวิหารแห่งแกรนาดา

       คำว่าแกรนาดาเป็นภาษาอาหรับแปลว่า "สวนทับทิม" บ้านเรือนที่นี่เน้นทาสีขาวปลูกลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา พวกเราเดินผ่านไปยังย่านหนึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นแหล่งของพวกศิลปิน เพราะตามผนังตึกและกำแพงเต็มไปด้วยภาพกราฟฟิตี้ ฝีมือในการพ่นนั้นต้องถือว่าระดับมืออาชีพเลยหล่ะครับ  ผลงานที่ได้จึงมีความเป็นศิลปสูงและดูไม่รกหูรกตาเหมือนที่เคยเห็นตามเมืองอื่น ๆ




ภาพกราฟฟิตี้สวย ๆ ข้างทาง

       วันถัดมาเรารีบขึ้นรถเมล์เพื่อไปเที่ยวพระราชวังอัลฮัมบรา(Alhambra)กันแต่เช้าตรู่ พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขายอดตัดสัญฐานคล้ายเรือเดินสมุทร โครงสร้างหลักของอาคารทั้งหมดสร้างจากอิฐและหินสีแดง คำว่า "อัลฮัมบรา" เป็นภาษาอาหรับแปลว่าสิ่งที่มีสีแดง ดังนั้นชื่อของพระราชวังถ้าจะให้สละสลวยก็น่าจะแปลได้ว่า "ประสาทสีแดง" ถึงตอนนี้อยากจะเตือนทุกท่านเรื่องตั๋วนิดหน่อยนะครับ เหตุเพราะว่าพระราชวังแห่งนี้เปิดให้เข้าชมเป็นรอบ แต่ละรอบจำกัดจำนวนคนได้แค่หลักร้อย ดังนั้นควรจะเผื่อเวลาซักนิดนึงสำหรับซื้อตั๋ว หรือลองติดต่อสอบถามผ่านทางเคาท์เตอร์โรงแรมหรืออินฟอร์เมชั่นล่วงหน้า อย่างตอนที่ผมไปคราวนั้นขนาดว่าออกกันแต่เช้าแล้วนะครับ ยังเกือบพลาดได้ตั๋วรอบตั้งบ่ายสี่โมง แถมยังต้องยืนต่อคิวนานเป็นชั่วโมงอีกต่างหาก ดีว่าไปกันเองเลยรอได้ หลังจากได้ตั๋วเสร็จเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราเลยพากันไปเดินเล่นในเมืองก่อน


       เรานั่งรถเมล์ลงเขาไปตั้งหลักกันที่กลางเมือง ยังจุดอันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารแห่งแกรนาดา ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดค่าโดยสารจะตกอยู่ที่คนละ 1 ยูโรตลอดสาย เส้นทางหลักที่รถวิ่งรับส่งขึ้นลงเขาค่อนข้างแคบและชัน แต่ถึงกระนั้นก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้นดีครับ ที่คงจะตื่นเต้นมากกว่าก็น่าจะเป็นบ้านเรือนแถวนั้น ไม่รู้ว่าวันดีคืนดีรถจะร่วงใส่หลังคาบ้านเมื่อไหร่
       ที่มหาวิหารแห่งนี้ต้องเสียค่าเข้าชมครับ ภายในนอกจากโถงหลักแล้วยังแบ่งเป็นห้องอีกหลายส่วน รวมทั้งพิพิธภัณธ์ขนาดเล็กที่จัดแสดงเครื่องบูชาและสัมบัติของราชวงศ์ อีกทั้งในบริเวณใกล้กันยังเป็นที่ตั้งของสุสานหลวง ซึ่งเป็นที่เก็บพระศพของพระราชินีอิซเบลล่าและกษัตริย์เฟอร์ดินานด์อีกด้วยครับ ดูเหมือนว่าทั้งสองพระองค์นี้จะมีคุณูปการใหญ่หลวงแก่แผ่นดินสเปนในยุคทองที่สุด เพราะไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนเป็นต้องมีสิ่งเชื่อมโยงถึงพวกท่านตั้งอยู่ 

การตกแต่งภายในมหาวิหารแห่งแกรนาดาเน้นโทนขาว


       น่าเสียดายที่พระนางเป็นคนเคร่งศาสนาเกินไป หลังจากรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้แล้วจึงมีพระราชดำริให้ก่อตั้งศาลศาสนาขึ้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อกำจัดมุสลิม,ยิวและพวกนอกรีตให้หมดไป อันเป็นการเปิดฉากยุคมืดของการเข่นฆ่าและทรมานที่แสนยาวนาน หลังจากนั้นมาด้วยเหตุและปัจจัยอีกหลายอย่าง ก็ได้มีส่วนทำให้สเปนเข้าสู่ยุคเสื่อมถอยลงเป็นลำดับ
       ด้วยความมั่งคั่งจากเงินทองที่ขูดรีดมาจากแผ่นดินในอาณานิคม ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นส่วนหนึ่งหมดไปกับการใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างระดับเมกะโปรเจคส์ ประกอบกับการแพ้สงครามระหว่างประเทศอีกหลายครั้ง สงครามที่สเปนก่อขึ้นโดยอ้างว่าทำเพื่อพระศาสนา ซึ่งก็ได้ผลาญเงินไปจนเกือบหมดท้องพระคลังหลวง ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ กำลังตื่นตัวกับการเพิ่มผลผลิตในยุคพัฒนาอุตสาหกรรม  แต่สเปนกลับจมปลักอยู่กับความหรูหราฟุ้งเฟ้อด้วยสินค้าที่นำเข้าจากทั่วโลก ข้อผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่สลักสำคัญนัก แต่ก็กลับมีผลโดยตรงต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ นั่นก็คือการเนรเทศชาวยิวซึ่งเป็นพ่อค้าและนักการธนาคาร ผู้ซึ่งกุมบังเหียนหลักส่วนใหญ่ในทางธุรกิจออกไปจากประเทศจนเกือบหมด ส่งผลให้สเปนเริ่มซวนเซนับจากนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ไงครับ

แท่นบูชาและออแกนขนาดใหญ่เป็นสีทองสุกปลั่ง

       มหาวิหารแห่งแกรนาดานี้ นับได้ว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่มีความงดงามลงตัวที่สุด เท่าที่เคยเห็นมาในสเปนครับ การตกแต่งทั้งภายนอกภายในเป็นแบบเรอเนสซองส์ ที่ดูโอ่อ่าปราณีตแต่ก็ไม่รกรุงรังจนเกินไปนัก โครงสีหลักคือสีขาวแล้วตัดด้วยสีทองอร่ามของแท่นบูชา ที่ช่วยขับเน้นให้บรรยากาศข้างในดูสว่าง,สงบและมลังเมลืองน่าเลื่อมใสอยู่ในที เสียดายว่าพวกเรามีเวลากันไม่มากนัก ยังดูได้ไม่ทั่วถึงก็ต้องรีบไปกันต่อแล้วหล่ะครับ
       เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องด้วยรอบการเข้าชมพระราชวังอัลฮัมบรานั่นเอง ซึ่งถ้าหากว่าไปสายเกินกำหนดเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเป็นอันโดนตัดสิทธิ์ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมพระราชวังแห่งนี้ถึงเล่นตัวนักหนา ต่อเมื่อได้เข้าชมข้างในแล้วถึงค่อยเข้าใจดังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ครับ

พระราชวังอัลฮัมบราเมื่อมองจากเนินเขาด้านหลัง

       แรกเริ่มทีเดียวที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นป้อมปราการก่อน ด้วยชัยภูมิที่ตั้งอยู่บนเนินสูงล้อมรอบด้วยหุบเขาและโตรกธาร อันเป็นแนวป้องกันทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ภายหลังสุลต่านมัวร์แห่งราชวงศ์นาสริดส์จึงค่อย ๆ ต่อเติมป้อมปราการแห่งนี้ให้เป็นพระราชวังขึ้น ลักษณะของอาคารแต่ละส่วนจึงเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่วางซ้อน ๆ กันออกไป ความสวยงามในทางโครงสร้างแล้วดูธรรมดามากครับ หากนำไปเทียบกับสถาปัตยกรรมยุโรปที่ดูซับซ้อนกว่ามาก สิ่งที่เหนือชั้นกว่าคือรายละเอียดอ่อนช้อยของลวดลายที่ตกแต่ง อย่างที่เคยบอกไปว่าหลักศาสนาอิสลามห้ามใช้รูปคนและสัตว์มาเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นลวดลายจึงเน้นไปทางเลขาคณิต,เครือเถาดอกใบ แล้วก็ตัวอักษรบทสวดจากในพระคัมภีร์ครับ



การประดับตกแต่งอย่างละเอียดบรรจงภายในพระราชวังนาซารีส์

       แต่ละห้องที่วางตำแหน่งซ้อน ๆ กันไป มีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยรายละเอียดตั้งแต่พื้นจรดเพดาน นั่นคือสาเหตุที่เขาต้องจำกัดการเข้าชมเป็นรอบ ๆ ไงครับ เพราะถ้าขืนปล่อยให้เข้าไปทีเดียว ฝูงชนคงแออัดยัดทะนานกันในนั้นจนของเขาพังหมดแน่ ๆ ท้องพระโรงแต่ละห้องมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะ แต่ที่ผมจำได้แม่นสุดก็คือห้อง'ทูตานุทูต'ครับ เพราะท้องพระโรงห้องนี้นี่เองที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระนางอิสเบลล่า เพื่อทูลขอให้ทรงช่วยอุปถัมภ์ทุนรอนในการสำรวจโลกใหม่ นอกจากท้องพระโรงอันแสนงดงามแล้ว ภายในยังมีลานน้ำพุแทรกอยู่ระหว่างหมู่ตำหนักอีกด้วยครับ เท่าที่จำได้ก็มีลานสระไม้หอม ซึ้งตั้งชื่อตามต้นไม้ที่ปลูกล้อมรอบสระนั้นที่มีกลิ่นหอม แล้วก็ลานน้ำพุสิงห์โต ที่ตอนนี้ตัวน้ำพุและสิงห์โตได้อันตรธานหายเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ผมเข้าใจว่าคงจะมีการทำของใหม่มาทดแทนให้ในเร็ววันนี้ครับ





การตกแต่งภายในพระราชวังนาซารีส์เน้นความละเอียดบรรจงของลวดลายที่ซับซ้อน

       ส่วนที่จำกัดการเข้าชมจริง ๆ ก็คือแค่ส่วนที่เรียกว่าพระราชวังนาซารีส์(Palacios Nazaries)เท่านั้นครับ แต่นอกเหนือจากนั้นไม่ว่าจะเป็นวังพระเจ้าคาร์ลอสที่ 5 (Palacio de CARLOS V) ที่สร้างอยู่ติดกัน แล้วก็พระราชวังฤดูร้อนเฆเนราลีเฟ(Generalife)นั้นสามารถเดินเข้าเดินออกได้ตามอัธยาศัยครับ
       จุดเด่นของพระราชวังอัลฮัมบราแห่งนี้อีกอย่างก็คือระบบน้ำครับ ด้วยความที่ตั้งอยู่บนที่สูง แต่ชาวมัวร์สามารถทดน้ำจากแหล่งเข้าไปเก็บไว้ใช้บนนั้นได้ โดยในส่วนฐานของป้อมปราการด้านหน้ามีการสร้างแทงค์น้ำขนาดใหญ่คอยเก็บกักน้ำไว้ใช้ตลอดปี ดังนั้นลานน้ำพุและสระน้ำตามสวนต่าง ๆ จึงมีน้ำให้ใช้ได้อย่างเหลือเฟือ

พระราชวังฤดูร้อนเฆเนราลีเฟ

       เสร็จจากดูสวนดูวังจนหนำใจแล้วจึงพากันกลับลงมา โดยตอนขากลับเราเลือกวิธีเดินลงกันครับเพื่อจะได้ดูเมืองไปด้วย ระหว่างทางพวกพี่เขาแวะทานอาหารในร้านท้องถิ่น ส่วนตัวผมไม่กล้าเสี่ยงเลยขอแยกมาทานแมคโดนัลด์คนเดียว ระหว่างที่กำลังนั่นกินอยู่นั่นเองก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วย ในตอนแรกเข้าใจว่าเธอจะมาขอเงิน แต่กลับกลายเป็นว่ามาขอสลิปค่าอาหารต่างหาก ด้วยความแปลกใจก็เลยถามไปว่าจะเอาไปทำอะไร
       เธอบอกว่ามาจากบราซิลครับ ทางบริษัทส่งมาทำธุระอะไรซักอย่าง ในส่วนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของที่นี่เธอต้องสำรองจ่ายเองหมด มีทั้งค่ารถ,ค่าอาหารและที่พักซึ่งก็หนักหนาสำหรับเธอพอควร แล้วหนำซ้ำบางทีตอนนั่งแท็คซี่เขาก็ไม่ออกใบเสร็จให้ด้วย เธอเลยอยากจะขอใบเสร็จค่าข้าวเราเอาไปเบิกบริษัทเพิ่มเท่านั้นเองครับ
       ได้ฟังอย่างนี้แล้วก็เห็นใจเธอครับ บราซิลกับบ้านเรารายได้ต่อหัวก็พอกัน บิลค่าอาหารเล็กน้อยแค่นี้ ยกให้เธอไปก็คงจะไม่ถือเป็นการช่วยเธอคอรัปชั่นอะไรนัก ถ้าหากหวังจะรวยทางนี้เธอคงไปหาคุ้ยเอาตามถังขยะ ดูน่าจะได้เย๊อะเป็นกอบเป็นกำกว่า คุยเสร็จแล้วผมก็เลยยื่นสลิปให้เธอไปด้วยความรู้สึกอิ่มใจนิด ๆ ที่อย่างน้อยก็ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันคนหนึ่งแล้วในวันนี้

สวนในพระราชวังฤดูร้อนเฆเนราลีเฟ

       พรุ่งนี้ยังเหลืออีกเมืองครับสำหรับทริปนี้ การเดินทางครั้งแรกมักมีเรื่องราวน่าประทับใจให้เราได้จดจำเสมอ เอาเป็นว่าบทหน้ามาว่ากันต่อในบทส่งท้ายกันนะครับ ด้วยเมืองเล็ก ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยสเน่ห์มากมายอย่างรอนดา สำหรับคนที่ชอบความสูง ความเสียว และกีฬาสู้วัวกระทิงไม่น่าพลาดนะครับ ขอบคุณครับ