วันนี้ฝนตกหนักแต่เช้าอีกแล้ว รถประจำทางที่จะพาเราไปยังสถานีรถไฟเมืองซาร์ลบวร์ก ไม่มีแล่นผ่านหน้าโรงแรมแม้เพียงซักสายเดียว เราจึงต้องกางร่มเดินตากฝนออกมาอย่างทุลักทุเล อากาศที่นี่เวลาฝนตกก็ช่างหนาวจับจิตจับใจดีเหลือเกินครับ เป็นฝนสั่งลาจากฟ้าเมืองซาร์ลบวร์ก แล้วดูท่าจะไปตั้งเค้ารอเราอยู่ที่เมืองถัดไป ก็เมืองที่เรากำลังจะเดินทางไปกันวันนี้นั่นไงหล่ะครับ
รถไฟมาสายจนเป็นเอกลักษณ์ รถด่วนของออสเตรีย(ซึ่งคงจะด่วนแค่ชื่อคล้าย ๆ บ้านเรา) นอกจากจะมีชั้นเฟิร์สคลาสธรรมดาแล้ว ยังจะมีชั้นที่หรูยิ่งขึ้นไปกว่าเฟิร์สคลาสให้บริการ ผมกับเพื่อนเคยหลงเข้าใจผิดเข้าไปนั่งทำดี๊ด๊ากันใหญ่ เพราะดูเป็นห้องหับส่วนตัวมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน แต่สุดท้ายต้องหน้าแตกตอนเขามาตรวจตั๋ว เห็นว่าต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละเกือบสองพัน เลยต้องถอยกันจนแทบไม่เป็นขบวนเลยหล่ะครับ จะว่าไปแค่เฟิร์สคลาสธรรมดาก็ว่าหรูมากแล้ว แต่สำหรับลูกค้าบางคนอาจจะยังไม่พอ ยังต้องการอะไรที่มันเอ็กส์คลูซีฟยิ่งขึ้นไปอีก ก็ไม่ว่ากันหล่ะครับหากเต็มใจจ่าย แต่จะว่าไปแล้วในขบวนที่เราขึ้นกันวันนั้น ลูกค้าเอ็กส์คลูซีฟอย่างที่ว่าก็ไม่ยักมีมาให้เห็นซักคนเลยหล่ะครับ
อินน์สบรูคเมืองที่ถูกขนาบด้วยภูเขาสูงชัน
วันนี้หมอกลงหนาตาเหลือเกิน จากหน้าต่างรถไฟมองออกไปเห็นแต่ความขาวโพลนไปหมด คนในเมืองร้อนอย่างพวกเราคงยากจะจินตนาการถึง ต้องได้มาเห็นกับตาถึงจะเข้าใจครับ ว่าที่ได้ยินได้ฟังเขาเล่าต่อ ๆ กันมามันเป็นอย่างนี้นี่เอง เคยเห็นก็แต่ในข่าวหรือในหนัง ว่าอุบัติเหตุที่เกิดกับ รถ เรือ หรือว่าเครื่องบิน สาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่มักจะเจอกันบ่อยก็คือหมอกที่ลงหนาจัดนี่เอง
แล้วก็ถึงที่หมายเสียทีหลังจากต้องทนนั่งอุดอู้กันมานาน ครั้งนี้เหมือนโชคจะเข้าข้างพวกเรานิดหน่อยเรื่องที่พัก หลังจากที่เลือกผิดไปอยู่เสียไกลปืนเที่ยงในเมืองที่แล้ว ที่อินน์สบรูคนี้โรงแรมของเราตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟจนแทบจะเป็นตึกเดียวกันเลยหล่ะครับ
หลังจากลืมเรื่องการเมืองอันแสนจะร้อนแรงของบ้านเรามาได้พักใหญ่ แต่แล้วก็ต้องมีเหตุมาสะกิดสะเกาขึ้นอีกจนได้ ก็เพราะความเล่อล่าของพวกเราที่ดันหาห้องพักไม่เจอ เลยเดินเข้าไปถามกับแม่บ้านที่ทำงานอยู่แถวนั้น ด้วยความที่หน้าตาเธอเหมือนคนไทยมาก ผมเลยหลุดปากถามไปว่าเธอมาจากไหน ได้คำตอบกลับมาว่ามาจากธิเบต แต่พอเธอรู้ว่าพวกเรามาจากเมืองไทยเท่านั้นแหล่ะครับ เธอทำท่าตกอกตกใจใหญ่ บอกว่าเหตุความรุนแรงในบ้านเราเป็นข่าวเกรียวกราวที่นี่มาก(พฤษภาเลือด พ.ศ.2553) แล้วเธอยังถามพวกเราต่อว่า ผู้ชุมนุม(เสื้อแดง)ถูกฆ่าตายไปเป็นพันแล้วจริงมั้ย
ข่าวจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเกี่ยวกับเมืองไทย
คำถามสุดท้ายนี่เล่นเอาเครียดไปเลยหล่ะครับ พอเราพยายามชี้แจงข้อเท็จจริง ว่าไม่ได้มีคนเจ็บคนตายมากขนาดนั้น เธอก็ทำหน้าแปลก ๆ เหมือนไม่อยากจะเชื่อ คงเพราะเธอมาจากเมืองปิดอย่าง ทิเบต จีน หรือ พม่า เลยคิดว่าข้อมูลข่าวสารจากทางการอาจจะถูกบิดเบือนเหมือนบ้านเมืองของตนที่จากมา แต่ในกรณีบ้านเราที่เป็นเมืองเปิดมันไม่ได้เป็นแบบนั้น อีกทั้งผู้สื่อข่าวต่างชาติก็เข้าไปทำหน้าที่ติดตามข่าวกันได้อย่างเสรี งานนี้ถ้ามีเวลาคงจะขอนั่งสาธยายกับเธออีกยาวเลยหล่ะครับ
เย็นนี้เลยพากันไปเดินสำรวจเมืองคร่าว ๆ ก่อน ด้วยสภาพอากาศที่ปิดและสายฝนโปรยปรายจึงทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก จำได้ว่าไฮไลต์เด่นของเมืองที่หลาย ๆ คนคงจะพอผ่านตากันมาบ้าง ถ้าไม่ได้ดูมาจากหนังสือท่องเที่ยวก็จากโทรทัศน์ นั่นก็คือระเบียงโบราณที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีทองนั่นไงครับ เราจึงตกลงกันว่าอย่างน้อย เย็นนี้ก็น่าจะพากันไปเดินเล่นบริเวณนั้นเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องกันก่อน ดูจากแผนที่แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ไกลจากโรงแรมซักเท่าไหร่ แต่แล้วก็ต้องเดินวนหาอยู่เป็นนาน ทั้งที่ความรู้สึกหรือสัญชาตญาณมันบอกว่าน่าจะอยู่แถวนั้น
ในวันที่ฟ้าปิดอากาศมัวซัวจนมองแทบไม่เห็นยอดเขา
หลังจากเดินหลงจนเหมือนกับจะออกนอกเส้นทางมาไกล ก็ได้คุณป้าฝรั่งใจดีคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าจะไปไหน คงเพราะแกเห็นเราง่วนกับแผนที่กันอยู่นั่นเองครับ พอรู้ว่าเรากำลังหาหลังคาทองกันอยู่แกเลยจัดแจงบอกทางให้อย่างละเอียด แถมยังกำชับพวกเราอีกว่าถ้าไม่รู้ทางให้ถามเอากับคนท้องถิ่นได้เลยไม่ต้องเกรงใจ หลังจากกล่าวขอบคุณในน้ำใจของแกด้วยความซาบซึ้งแล้ว พวกเราก็พากันเดินไปตามทางที่แกบอกไว้ แต่ในใจก็ยังนึกแอบค้านอยู่นิด ๆ เรื่องคนที่นี่กับการถามทาง เพราะจากประสพการณ์หลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา มันไม่ค่อยมีเรื่องให้ประทับใจซักเท่าไหร่นั่นเองครับ
หลังคาทอง
แล้วก็ไปถึงหลังคาทอง(Goldenes Dachl, Golden Roof)จนได้ แต่ก็แอบผิดหวังนิด ๆ กับขนาดที่เล็กเกินคาดของมัน มิน่าพวกเราเดินวนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ที่แท้ก็เพราะโดนตึกอื่นบังไปเสียหมดนั่นเอง หลังคาทองแห่งนี้แต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงพระราชวังนอยเยอร์โฮฟ(Neuer Hof) แต่เดี๋ยวนี้รอบด้านกลายเป็นตึกแถวไปเสียแล้วหล่ะครับ ถ้าจะเรียกให้ถูกสถานที่แห่งนี้ก็น่าจะเรียกว่าสีหบัญชร ไว้สำหรับให้พระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จออกมาทอดพระเนตรการประลองตลอดจนริ้วขบวนต่าง ๆ ในสมัยก่อนนั่นเองครับ
บริเวณล้านด้านหน้าเป็นจัตุรัสแคบ ๆ ทอดยาวไกลแลดูคล้ายถนนมากกว่าลาน ในอดีตคงใช้สำหรับอัศวินในการประลองทวนยาวบนหลังม้า บริเวณกึ่งกลางลานมีเสาสูงประดิษฐานรูปปั้นพระแม่มารีอยู่บนยอด ในวันที่ฟ้าเปิดและหากได้มุมกล้องที่เหมาะสม ช่างภาพฝีมือดีสามารถถ่ายรูปออกมาให้ดูเหมือนพระแม่ลอยคว้างอยู่กลางหาว ห้อมล้อมรอบด้านด้วยยอดเขาสูงเสียดฟ้า ซึ่งมุมกล้องที่ว่าผมพยายามหาแล้วครับ แต่มันคงเกินความสามารถไปหน่อย สงสัยคงต้องพึ่งนั่งร้านและเลนส์ซูมคุณภาพสูงสำหรับตากล้องมืออาชีพ กล้องเล็ก ๆ สำหรับมือสมัครเล่นคงหมดสิทธิ์ครับ
ลานหน้าหลังคาทอง
หลังจากเดินหลงอยู่เป็นนาน กว่าจะเจอลานหลังคาทองได้ก็ปาเข้าไปใกล้ค่ำ พวกเราจึงพากันเดินกลับไปนอนพักเอาแรงก่อน ก่อนนอนก็ลองเปิดทีวีดูข่าวสารของบ้านเมืองเค้า แล้วก็เป็นอย่างที่แม่บ้านชาวทิเบตคนนั้นพูดจริง ๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหนก็มีแต่ข่าวเหตุการณ์ความรุนแรงที่กรุงเทพฯ เต็มไปหมด เนื้อหาที่นำเสนอก็ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทุกช่อง มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญตาน้ำข้าวมาวิเคราะห์สถานการณ์กันเป็นเรื่องเป็นราว เสียดายที่ฟังภาษาเขาไม่เข้าใจครับ แต่ก็ถือว่าโชคดีไป เพราะถ้าขืนฟังออก แล้วเขาดันวิเคราะห์จากมุมมองที่สวนทางกับเราเข้า ก็คงจะพาลทำให้เครียดกันมากขึ้นกว่าเดิมอีกแน่ ถึงตรงนี้แล้วอยากเล่าเรื่องพี่อีกคนหนึ่งให้ฟังครับ พี่เขาเดินทางไปธุระที่ออสเตรเลียในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับพวกเรา พอกลับมาพี่แกบอกว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวในเมืองไทยเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ผมละทึ่งกับพี่แกจริง ๆ เลยครับ ไม่รู้ว่าไปอยู่บ้านไหนเมืองไหน ถึงได้ตัดขาดจากโลกภายนอกได้ถึงเพียงนั้น
ยอดเขาแรกที่พวกเราตัดสินใจจะขึ้นแต่ปรากฏว่าเขาปิดดำเนินการในฤดูนี้
เช้าวันถัดมาพวกเราตัดสินใจซื้อตั๋วอินน์สบรูคการ์ด(Innsbruck Card) ซึ่งมันก็คือตั๋วเหมาอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเองครับ แต่ของที่นี่จะพิเศษกว่า(แถมยังแพงกว่า)ที่อื่นอยู่นิดหน่อย เพราะนอกจากจะนั่งรถโดยสารทุกชนิดในเมืองได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว(ภายในระยะเวลาที่กำหนด)แล้ว ยังสามารถใช้เป็นตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ของเมืองทุกแห่งได้ฟรี แล้วยังสามารถใช้นั่งเคเบิลคาร์หรือกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนยอดเขาได้อีกคนละ 1 เที่ยวอีกด้วย (มีอยู่ 3 เส้นทางแต่ควรเช็คก่อนว่าเส้นทางไหนเปิดให้บริการบ้าง)
คอลเลคชั่นชุดเกราะที่ดูสวยงามทันสมัย
ค่าตั๋วอินน์สบรูคการ์ดคนละ 24 ยูโร(หนึ่งพันบาทเศษ)สำหรับ 24 ชั่วโมงต่อคน ซึ่งถือว่าไม่แพงนักเมื่อเทียบกับค่าเดินทางและเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ ทริปแรกหลังจากกางแผนที่ เห็นมีเส้นทางขึ้นเขาอยู่เส้นหนึ่งผ่านไปทางปราสาทเก่าแก่ตรงเชิงเขา เราเลยเลือกเส้นทางนั้นเพราะอยากแวะดูปราสาทด้วย ปราสาทแห่งนี้มีชื่อว่า Schloss Ambras เป็นปราสาทขนาดไม่ใหญ่โตมากนักตั้งอยู่ตรงเชิงเขา การตกแต่งภายในไม่ได้วิจิตรตระการตาอะไรมาก ข้างในเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงคอลเล็คชั่นภาพเขียนของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในราชวงศ์ฮับสเบิร์กและสเปน นอกจากนั้นยังมีของเก่าและอัญมณีที่เจ้านายบางพระองค์สะสมไว้ รวมทั้งพัดใบลานและพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ จากเมืองไทยอีก 2-3 ชิ้น แต่คอลเล็คชั่นที่น่าตื่นตาที่สุดของที่นี่กลับเป็นชุดเกราะครับ มีหลากหลายรูปแบบตั้งแต่เล็กที่สุดสำหรับเด็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับคนรูปร่างสูงใหญ่ร่วมสองเมตรกว่า หลายชุดยังดูทันสมัยแม้จะผ่านกาลเวลาไปหลายร้อยปีก็ตาม
ชุดเกราะสำหรับเด็กชายวัยต่าง ๆ
หลังจากชมตรงนี้เสร็จเราตัดสินใจนั่งรถรางไปยังหมู่บ้านบนเนินเขา อันเป็นที่ตั้งของสถานีเคเบิลคาร์หรือกระเช้าลอยฟ้าสำหรับนั่งขึ้นไปจนถึงยอด ก่อนออกจากปราสาทก็ได้ถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นนิดหน่อยเรื่องการเดินทาง เขาบอกจะโทรไปเช็คข้างบนให้ว่ากระเช้าปิดดำเนินการหรือเปล่า แต่ผมก็บอกไปว่าไม่ต้องเช็คก็ได้เพราะถึงปิดก็อยากลองนั่งรถเล่นดูวิว พอได้ยินดังนั้นเขาก็เลยปล่อยพวกเราเลยตามเลยครับ
จากหน้าปราสาทต้องเดินขึ้นเนินไปอีกนิดหน่อยเพื่อไปขึ้นรถรางต่อไปยังหมู่บ้านบนไหล่เขา หนทางขึ้นเขาเป็นป่าทึบและเปลี่ยวมากจนแทบไม่น่าเชื่อว่ารถรางจะแล่นขึ้นมาถึง หลังจากรอได้พักใหญ่รถก็แล่นมาจอดรับที่จุดตรงตามเวลาเป๊ะ น่าแปลกที่รถรางซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่และยาวกว่ารถบัส หรือรถประจำทางสองตอนแบบที่เห็นวิ่งรับส่งผู้โดยสารที่กรุงเทพฯ จะสามารถไต่ระดับวกเวียนขึ้นเขาฝ่าป่ารกและคดเคี้ยวขึ้นมาได้ เมื่อนั่งรถไปลงที่สถานีสุดทางแล้วเราต้องเดินผ่านหมู่บ้านซึ่งเป็นรีสอร์ตสกีแถบนั้นไปอีกพักใหญ ๆ โชคดีที่มีนักท่องเที่ยวสองสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินสวนกลับลงมา เขาบอกพวกเราว่าถ้าจะไปขึ้นกระเช้าไม่ต้องขึ้นไปนะเพราะฤดูนี้เขาปิด และแล้วอินน์สบรูคคาร์ดในครึ่งวันแรกก็หมดไปกับปราสาท Ambras และหมู่บ้านบนเนินเขาแห่งนี้
เมืองบนเขาก่อนถึงสถานีเคเบิลคาร์
หลังจากนั่งรถลงเขามาได้พวกเราก็ไม่รีรอ รีบหาทางต่อไปยังอีกสถานีหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง และเพื่อความชัวร์จึงพากันไปถามเส้นทางกับคุณป้าคนหนึ่งที่นั่งรอรถอยู่ด้วยกันบริเวณนั้น แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยครับ แต่ก็ยังโชคดีที่เพื่อนผมพอจะฟังภาษาเยอรมันเข้าใจได้นิดหน่อย แกอธิบายเส้นทางรถให้โดยละเอียด แล้วถามเรากลับว่ามาจากไหน แล้วก็เหมือนเดิมครับ พอแกรู้ว่าเรามาจากเมืองไทยเท่านั้นแหล่ะ แกทำท่าทางตกใจเอามือทาบอกทำตาถลน ถึงตอนนี้พวกเราชินเสียแล้วหล่ะครับ เพราะตลอดทางตั้งแต่บินออกจากเมืองไทยมา คุยกับใครรายไหนรายนั้นเป็นต้องทำตกใจกันใหญ่โต
สถานีรถรางขึ้นเขาแห่งที่สองที่อยู่ใกล้ใจกลางเมือง
และแล้วก็มาถึงสถานีรถรางขึ้นเขาแห่งที่สอง ซึ่งเส้นทางนี้เขาบอกว่าใหม่ที่สุดและสูงชันที่สุด ความจริงก็มีคนแนะนำมาก่อนแล้วหล่ะครับว่าน่าขึ้น แต่ที่พวกเราไม่ได้เลือกแต่แรกเพราะเห็นว่ามันใกล้เกิน(สถานีต้นทางอยู่ริมฝั่งแม่น้ำใกล้ใจกลางเมืองเลยหล่ะครับ) ด้วยความงกเลยเลือกเส้นทางที่ไกลที่สุดเพราะคิดว่าน่าจะคุ้มกว่าถ้าได้นั่งรถดูวิวออกไปไกล ๆ สถานีเคเบิลคาร์เส้นทางใหม่แห่งนี้อยู่ใต้ดินครับ การตกแต่งดูทันสมัยเหมือนในหนังวิทยาศาสตร์ไซ-ไฟ เส้นทางช่วงแรกเป็นรถรางคันเล็ก ๆ เหมือนแคปซูลนั่งได้ไม่เกิน 6 คนต่อหนึ่งตู้ พาเรามุดผ่านอุโมงค์ใต้ดินไปโผล่ขึ้นริมแม่น้ำ จากนั้นจึงค่อยทะยานขึ้นเขาไปจบยังสถานีรถกระเช้าข้างบนเกือบจะครึ่งทางก่อนถึงยอด แล้วถึงจะได้ขึ้นกระเช้าลอยฟ้าอีกต่อหนึ่งเพื่อไปยังยอดเขาจริง ๆ
สถานีปลายทางของรถรางขึ้นเขาก่อนต่อเคเบิลคาร์
บนสถานีหลักครึ่งทางแห่งนี้เป็นจุดชมวิวที่ดีเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเลยทีเดียว ภาพที่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเทือกเขาแอลป์ล้อมรอบตัวเราอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อมองลงไปจากตรงนี้จะเห็นว่าอินน์สบรูคเป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางหุบเขาที่ขนาบไปด้วยภูเขาสูงชันทั้งซ้ายขวา และที่ไหลพาดผ่านตรงกลางคือธารน้ำใสสีเขียวอมฟ้าซึ่งก็คือแม่น้ำอินน์ อันเป็นที่มาที่ไปของชื่อเมืองนั่นเองครับ หลังจากชมวิวได้ซักครู่ก็ได้เวลาขึ้นกระเช้าต่อไปยังยอดเขา ยอมรับว่าตื่นเต้นมากครับเพราะกลัวความสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเส้นทางนี้ก็สูงชันมาก ๆ เสียด้วย โชคดีที่กระเช้ามีขนาดใหญ่ แต่มันก็น่าหวาดเสียวอยู่ดีเพราะห้อยโตงเตงไปบนเชือกหรือสายเคเบิ้ลเส้นเล็ก ๆ เพียงเส้นเดียวเท่านั้น
เมืองอินน์สบรูกในหุบเขามีแม่น้ำอินน์ไหลผ่านกลาง
ถึงตรงนี้แล้วคงจะถอยไม่ได้อีกแล้วหล่ะครับ กระเช้าพาเราไต่ระดับทะยานขึ้นสู่ยอดเขาผ่านป่าสนที่ค่อย ๆ ต่ำเตี้ยบางตาลง แล้วจากนั้นจึงแทนที่ด้วยโขดหินสูงชันที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน สายฝนที่โปรยปรายเป็นฟองฝอยอยู่ตรงตีนเขาเมื่อครู่ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นละอองหิมะบางเบาดูสวยงามแต่ก็หนาวจนจับขั้วหัวใจ ใครที่พยายามปล่อยข่าวว่าหิมะจะตกที่เชียงใหม่ภายในปีนั้นปีนี้ คงต้องทบทวนคำพูดกันให้ดี ๆ แล้วหล่ะครับ อย่าพยายามสร้างข่าวหลอกคนไทยให้ตื่นเต้นกันอีกเลย เพราะโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้นั้นมันยากเสียยิ่งกว่ายาก ต้องอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมเท่านั้นถึงจะมีหิมะตกได้ อีกอย่างฤดูหนาวที่เมืองไทยก็ไม่มีร่องมรสุมมาสมทบเสียหน่อย ลำพังจะหาฝนตกซักห่าก็นับว่ายากเต็มที อย่าว่าแต่หิมะหรือลูกเห็บเลยครับ
และแล้วก็ถึงยอดเขาด้วยความโล่งอก แต่วันนี้ฟ้าปิดลมแรงและหิมะตกหนาตาเหลือเกิน หลังจากลองออกไปเดินข้างนอกได้ซักพักก็ทนความหนาวกันไม่ไหว อีกอย่างกลัวไถลลื่นพลัดตกเขากันด้วยแหล่ะครับ สภาพอากาศมัวซัวจนมองไม่เห็นว่าตรงไหนชันตรงไหนลื่น หลังจากถ่ายรูปกันคนละช็อตสองช็อตก็รีบชวนกันลงมาก่อนจะแข็งตายครับ
ตะแกรงกันหิมะถล่ม
กระเช้าสำหรับนักเล่นสกี
เดินกางร่มออกจากสถานีไปเรื่อยเปื่อย ชักเริ่มย่ามใจไปถามทางกับคุณป้าใจดีอีกคนหนึ่ง ซึ่งแกก็ช่วยบอกให้อย่างละเอียด แถมไม่พอยังเดินไปเป็นเพื่อนพวกเราอีกด้วย แกบอกว่าเป็นทางเดียวกับที่แกกำลังจะไปพอดี เดินไปพลางก็ชี้ให้ดูว่าตรงนั้นตรงนี้คืออะไร(ภาษาเยอรมันครับ ซึ่งผมก็ได้แต่ผงกหัว) ตรงไหนโบสถ์ตรงไหนวัง เสียดายว่าตอนนี้เลยเวลาเปิดทำการของสถานที่สำคัญต่าง ๆ เสียแล้ว อินน์สบรูคการ์ดของพวกเราเลยได้ใช้เข้าชมแค่ปราสาท Ambras แล้วก็ขึ้นเขาลงเขาเท่านั้น
ท่าทางผู้คนเมืองนี้คงจะเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวจริง ๆ แล้วก็ตามสูตรเดิมเป๊ะ คือพอรู้ว่าพวกเรามาจากไหนก็ทำท่าตกใจกันอีกยกใหญ่ แต่ถึงจะมีเสียมันก็ยังมีได้อยู่นิด ๆ ครับ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายกันยาวเลยว่าเมืองไทยคืออะไรอยู่ตรงไหนไหน แค่บอกว่า Thailand ไปแค่นั้นแหล่ะทุกคนถึงบางอ้อกันเลยในแทบจะทันที น่าเสียดายที่วันนี้หมดวันลงไปอย่างรวดเร็ว ความจริงก็ยังไม่ค่ำมากนัก แต่รู้สึกว่าเวลาเปิดทำการของสถานที่ต่าง ๆ จะถึงแค่ไม่เกินบ่ายสี่ ร้านค้าทั่วไปปิดหกโมงเย็นแถมหยุดทุกวันอาทิตย์อีกต่างหาก ถ้าใครโชคร้ายไปเที่ยวจังวันอาทิตย์อาจต้องลำบากกันหน่อย
อินน์สบรูคดูท่าจะเป็นเมืองเก่าที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งของราชวงศ์ฮับสเบิร์ก เห็นว่าเคยเป็นที่ประทับของราชวงศ์ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 เมืองนี้ในปัจจุบันมีสถานะเป็นเมืองหลวงของแคว้นทีโรล บริเวณเขตเมืองเก่าเป็นที่ตั้งของโบสถ์ วิหาร พระราชวังหลวงและพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่งที่พวกเราไม่มีโอกาสได้เยี่ยมชม และนอกเมืองออกไปยังเป็นที่ตั้งของโรงงานและโชว์รูมชื่อคริสตัลเวิลด์อันแสนโด่งดัง สถานที่ดังกล่าวเป็นของบริษัทผู้ผลิตคริสตัลเจียรไนยี่ห้อดังชื่อชวาร์รอฟสกี้ (Swarovski) แต่ด้วยความที่พวกเราไม่ใช่ขาช็อป รายการทัวร์คริสตัลเวิลด์จึงถูกตัดออกไปอย่างไม่ใยดีตั้งแต่ต้นแล้วหล่ะครับ
โลโก้ของเครื่องแก้ว ชวารอฟสกี้
จำได้ว่าเคยติดค้างคุณผู้อ่านเรื่องเครื่องแก้วคริสตัลอยู่ ถึงตรงนี้เลยขอเล่าอย่างพอสังเขปเท่าที่ได้รู้ได้ฟังมานะครับ ว่าเดิมทีเครื่องแก้วอาจจะถูกคิดค้นต่อยอดขึ้นมาจากการผลิตเครื่องปั้นดินเผาหรือเครื่องเคลือบ ซึ่งทำกันมาตั้งแต่สมัยอียิปต์หรือไกลออกไปกว่านั้น โดยอาจจะเป็นเหตุบังเอิญจากการเผาที่บรรพบุรุษของเรา เขาสังเกตเห็นว่าในอุณหภูมิหรือความร้อนที่สูงมากในระดับหนึ่ง สามารถหลอมแร่ธาติในดินในทรายให้กลายเป็นผลึกใส ๆ ขึ้นมาได้ หลังจากนั้นจึงมีการพัฒนาต่อยอดและคิดค้นเทคนิคในการทำเครื่องแก้วกันเรื่อยมาจากรุ่นสู่รุ่น จนถึงวันนี้ก็นับได้ว่าหลายพันปีแล้วหล่ะครับ
เกาะมูราโน่ เมืองเวนีซ ประเทศอิตาลี
ว่ากันว่าแหล่งผลิตแก้วชั้นดีของโลกอย่างเครื่องแก้วมูราโน่ที่เวนิซนั้น เขาหวงแหนวิชาความรู้ในเรื่องเครื่องแก้วของเขามาก ถึงขนาดเก็บงำความลับเอาไว้ไม่ให้แพร่งพราย โดยถึงกับตั้งโทษประหารกันเลยทีเดียวสำหรับใครก็ตาม ที่นำความลับในการผลิตเครื่องแก้วของเขาไปเผยแพร่ แต่องค์วิชาความรู้ย่อมไม่สามารถเก็บงำเป็นความลับไว้ได้นานนัก ดูอย่างผ้าไหมและเครื่องกระเบื้องจากเมืองจีนนั่นไงครับ ที่สุดท้ายพวกฝรั่งชาติยุโรปก็สามารถคิดค้นทำเลียนแบบได้สำเร็จ เรื่องนี้ก็เช่นกันครับ ในที่สุดเครื่องแก้วชั้นดีอย่างคริสตัลก็ถือกำเนิดขึ้น ด้วยเทคนิคการผสมโลหะหนักบางชนิดเข้าไป ทำให้เนื้อแก้วที่ได้มีคุณภาพสูง แวววาว และแข็งแกร่งจนสามารถเจียรไนได้อย่างเพชรพลอยอัญมณี และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมแก้วคริสตัลถึงได้ราคาแพงสูงลิบลิ่วยังไงหล่ะครับ
ชวารอฟสกี้เป็นแบรนด์เครื่องแก้วเจียรไนอันดับหนึ่งของออสเตรีย ที่สามารถสร้างชื่อเสียงทำตลาดได้กว้างไกลระดับโลก โดยมีคู่แข่งสำคัญอย่างเครื่องแก้วโบฮิเมียนจากสาธารณรัฐเชค ที่ทำราคาได้ย่อมเยากว่าในขณะที่อ้างว่าคุณภาพทัดเทียมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันซักเท่าไหร่ แล้วก็ยังมีพวกเครื่องแก้วชั้นสูงอย่างบัคคาร่า(Baccarat)และลาลิกของฝรั่งเศสที่คอยแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับบนอยู่อย่างมีนัยสำคัญ
ลานกระโดดสกีโอลิมปิคมองเห็นอยู่ไกลลิบหน้าเนินเขาอีกด้านของเมือง
อินน์สบรูกยังเป็นเมืองที่ได้ถูกคัดเลือก ให้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวถึงสองครั้งด้วยกันครับ อนุสรณ์สถานที่เหลืออยู่จากการแข่งขันคราวนั้นก็อะทิเช่น ลานโอลิมปิคสกีจัมป์(Olympic ski jumps) พร้อมอัฒจันทร์ซึ่งสามารถจุคนดูได้ถึง 60,000 คน แล้วก็ยังมีลานกีฬาน้ำแข็ง (Olympic ice stadium) ที่ตั้งอยู่อย่างถาวรที่ขอบเมืองด้านหนึ่งริมเชิงเขาอีเซิล นอกจากนั้นรอบเมืองยังมีหมู่บ้านและรีสอร์ตสกีขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง ไว้สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักในฤดูหนาวอีกด้วย เมืองนี้ถึงจะค่อนข้างเล็กแต่ก็นับได้ว่าสวยงามเปี่ยมสเน่ห์ที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรป และที่สำคัญผู้คนยังเป็นมิตรกับคนแปลกหน้า(โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว)เสียจนน่าประหลาดใจเลยหล่ะครับ
และแล้วก็หมดวันในอินน์สบรูกเสียที พรุ่งนี้คงต้องเดินทางต่อแล้ว แต่ในใจของผมก็ยังมีเรื่องให้ติดใจอยู่นิดหน่อย นั่นก็คือเรื่องเพื่อนชาวทิเบตคนนั้น ก่อนออกจากห้องในวันถัดมา ผมจึงวางโน๊ตพร้อมด้วยทิปหรือสินน้ำใจเล็กน้อยวางไว้บนหัวเตียงให้เธอ เนื้อหาใจความก็เพื่อจะอธิบายสถานการณ์ความเป็นไปของบ้านเรา ให้เธอได้รับรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้นั่นเองครับ เพราะถ้าหากไม่ทำอย่างนี้ผมก็คงจะคาใจไปอีกนาน
เมืองอินน์สบรูคมองจากบนเขาลงมา
ถึงตรงนี้แล้วก็อดจะเล่าต่ออีกนิดไม่ได้ เกี่ยวกับคนพม่า(ที่ไม่ใช่แรงงานต่างด้าว)อีกหลาย ๆ คนที่ผมรู้จักที่เชียงใหม่ บุคคลเหล่านี้เป็นนักธุรกิจ นักศึกษา แล้วก็ปัญญาชนที่เข้ามาทำงานในองค์กรต่าง ๆ ของเขา ที่มีสำนักงานอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ จากที่ได้คุยแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องการเมืองกันมา ผมรู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจสถานการณ์ในบ้านเมืองของเราได้ดีกว่าคนไทยหลาย ๆ คนเสียอีกครับ นอกจากนั้นยังรักและเทิดทูนในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ต่างไปจากพวกเราเลย เวลามีเรื่องร้ายใด ๆ เกิดขึ้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะวิพากย์วิจารย์อย่างตรงไปตรงมา จนบางครั้งผมเองก็อดน้ำตาคลอเพราะตื้นตันใจไปไม่ได้ เสียดายว่าพอเหตุการณ์สงบก็ไม่ได้มีโอกาสเจอกันอีก
ตอนนี้เห็นว่าบ้านเมืองของเขาเริ่มเข้ารูปเข้ารอยแล้ว ใจก็นึกอยากจะเจอกันอีกสักครั้งเพื่อแสดงความยินดีไปกับเขา และซักนิดซักหน่อยก็อยากจะฝากถ้อยคำไปกับเขา ให้ช่วยอธิบายสถานการณ์บางอย่างในบ้านเราให้อองซานซูจีได้เข้าใจ ว่าประชาธิปไตยอย่างที่บ้านเราเป็นนั้นมันซับซ้อนกว่าในพม่าหลายชั้นนัก ก็ได้แต่หวังว่าซักวันหนึ่งเมื่อเธอได้โดดเข้ามาทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว เธอคงจะเข้าใจด้วยตัวของเธอเองอย่างถ่องแท้เสียทีนะครับ ถึงเล่ห์เพทุบายของนักการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งหลาย ทั้งนักการเมืองพม่าตลอดจนบ้านเรา และจากอีกทั่วสารทิศที่หวังจะไปกอบโกยผลประโยชน์จากชาติของเธอ แล้วถึงวันนั้นค่อยมาดูกันอีกทีนะครับ ว่าเธอจะยังยืนหยัดอยู่ในอุดมการณ์เดิมอันแน่วแน่ได้อยู่หรือเปล่า